ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เตือนผู้สูงอายุที่กินยาแก้แพ้อาจส่งให้สมองพัง เพราะตัวยาถูกจัดอยู่ในกลุ่มยาแรงมาก และส่งผลทำให้สมองเฉื่อยชาไม่แล่น
วันนี้ (20 ก.พ.) เฟซบุ๊ก "ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha" หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาโพสต์เตือนผู้สูงอายุที่กินยาแก้แพ้อาจส่งให้สมองพังได้ โดยผู้โพสต์ให้ข้อมูลว่า "แก่แล้วกินยาแก้แพ้ อาจสมองพัง ยาแก้แพ้ แก้เวียน เมารถ เมาเรือ ยาหดหู่ ซึมเศร้า ยาลดปัสสาวะบ่อย ยาเหล่านี้นอกจากเรื่องแพ้ เวียนหัว บ้านหมุน ยังนำมาใช้เป็นยานอนหลับเฉพาะกิจ และยังมีสรรพคุณลดอาการสั่นที่เจอในโรคพาร์กินสันได้ดีพอสมควร
* ฤทธิ์สำคัญคือต้านระบบ Cholinergic (Anti-cholinergic, AC) ดังนั้น อาจมีปากแห้ง น้ำลาย น้ำตาแห้งร่วม บางรายที่มีปัญหาเรื่องปัสสาวะก็อาจจะต้องเบ่ง และอาจมีผลกระทบเรื่องความดันสูงในลูกตา โดยเฉพาะคนเป็นต้อหิน
* มีการจัดอันดับความแรง (Anticholinergic burden score) เป็น 1-2-3 โดยแรงมากคือ เบอร์ 3 ที่ถูกจัดเป็นแรงมาก เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้เวียน Chlorpheniramine Dimenhydrinate (Dramamine) Diphenhydramine (Benadryl) Meclizine ยาอารมณ์ดีด้านเศร้า เช่น doxepin nortriptyline ยาช่วยอาการปัสสาวะลำบากหรือผิดปกติรวมทั้งช้ำรั่ว เช่น Darifenacin Oxybutynin Tolterodine (Detrusitol) Trospium Solifenacin
เริ่มอย่างน้อยตั้งแต่ปี 2005 มีการตั้งข้อสังเกตว่า ยากลุ่มต่างๆ ที่มีฤทธิ์ AC นี้จะมีผลทำให้สมองเฉื่อยชาไม่แล่น การศึกษามาจากกลุ่ม Alzheimer’ s Disease Neuroimaging Initiative (วารสารสมาคมแพทย์อเมริกันทางประสาทวิทยาปี 2016) ทั้งนี้ มีกลุ่มในการศึกษาที่ไม่ได้ใช้ยากลุ่มต้าน Cholinergic (แทนด้วย AC-) 350 ราย และกลุ่มที่ใช้ยา AC ในระดับฤทธิ์ 2 และ 3 (AC+) 52 ราย ลักษณะประจำกลุ่มที่คล้ายคลึงกันคือ อายุเฉลี่ย 73 ปี ผู้ชาย ผู้หญิงใกล้เคียงกัน ระดับการศึกษาพอกัน มียีนอัลไซเมอร์ (28% AC+ เทียบกับ 25% ใน AC-) เป็นคนขาว (84.6 ต่อ 94.2%)
ปริมาณชนิดของยาที่ใช้ประจำใกล้กัน ทั้งสองกลุ่มนี้มีไม่มากนักที่เคยเป็นอัมพฤกษ์ โรคหัวใจ หรือเคยผ่าตัดหัวใจ เส้นเลือด หรือเป็นเบาหวาน รวมทั้งเป็นโรคนอนกรน อากาศไม่เข้าสมอง (ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงสมองเสื่อม) หัวใจเต้นระริก AF ซึ่งจะมีลิ่มเลือดไปอุดเส้นเลือดสมอง โรคซึมเศร้า กังวล นอนไม่หลับ รวมทั้งสมาธิสั้น โรคจิต และอุบัติเหตุสมอง ที่มีเยอะใกล้กันทั้ง 2 กลุ่มคือ มีความดันสูง ไขมันสูง ประมาณกึ่งหนึ่ง และทั้งสองกลุ่มถนัดขวาเป็นส่วนมาก
การติดตามสมองมีทั้งการประเมินพุทธิปัญญา (Cognitive scores) การตรวจดูเมตาบอลิซึมของสมองด้วยเครื่อง PET scan (FDG) ดูการใช้กลูโคสของสมอง รวมทั้งดูความเหี่ยวฝ่อของสมอง โดยใช้คอมพิวเตอร์สมองสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) โดยมีการวัดขนาดปริมาตรของสมองแต่ละส่วนอย่างละเอียดเป็นระยะ
จากการติดตาม 96 เดือน ผลปรากฏว่า กลุ่ม AC+ มีความฝ่อของสมองทั้งปริมาตร เปลือกสมองและบริเวณกลีบขมับ (ควบคุมความจำ) และเนื่องจากสมองฝ่อเลยทำให้มีช่องโพรงน้ำในสมองกว้างขึ้น (Lateral และ Inferior lateral ventricle volumes) รวมทั้งมีการทำงานถดถอยจากการตรวจสมองด้วย PET Scan การตรวจทางพุทธิปัญญามีทั้งความจำ การทำงานด้านการจัดการ (Executive) พบมีคะแนนเลวกว่ากลุ่ม AC- โดยเฉพาะกลุ่ม AC+ ที่ใช้ยาแรงระดับ 3 กลไกของยา AC ไม่ทราบแน่ชัด จะอย่างไรก็ตาม ยาแก้แพ้รวมยากลุ่มอื่นๆ ทางปัสสาวะและช้ำรั่ว ยาอารมณ์ดี เป็นยาสำคัญและมีประโยชน์
ดังนั้น ต้องพิจารณาความจำเป็นและขนาดของยาที่ใช้ และระยะเวลาที่ใช้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่ายาสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ที่เพิ่มสาร Acetylcholine จะสามารถทำให้เซลล์สมองเปล่งปลั่ง ตายช้า ตายยากได้นะครับ อาจเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ใช้ยา อยากทราบว่า ความแรงเท่าใด อาจใช้ anticholinergic burden calculator หาในกูเกิล ACB calculator พิมพ์ชื่อยา ควรเป็นชื่อจริง ชื่อการค้า จะผิดแผกแตกต่างจากเมืองนอกได้"