เริ่มแล้วกับการประชุมสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council) หรือ ABAC 2022 ระหว่างวันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นเวทีที่จัดคู่ขนานกับการประชุมเอเปค (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 และเป็นหนึ่งในฐานะสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ
การประชุม ABAC 2022 จะใช้เวทีในช่วงเวลาเดียวกันนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างสูงสุด แสดงให้เห็นถึงศักยภาพความพร้อมของประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อให้เกิดการบูรณาการทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเพื่อสันติสุขของโลกใบนี้ไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานของเราในอนาคตด้วย
สำหรับบทบาทและภารกิจของภาคธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งสัญญาณดัง ๆ อย่างชัดเจนผ่านข้อเสนอแนะและความคิดเห็นใน 5 ด้านหลักสำคัญ ได้แก่ ด้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ด้านดิจิทัล ด้านวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) และการมีส่วนร่วม ด้านความยั่งยืน ด้านเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งภาพรวมของเนื้อหาได้ระบุประเด็นสำคัญไว้ถึง 69 ข้อย่อย เพื่อนำไปสู่การผลักดันอย่างเป็นรูปธรรมในรูปแบบต่างๆ ได้จริง ภายใต้แนวคิด “EMBRACE. ENGAGE. ENABLE”
แม้ว่า “เสียงของภาคธุรกิจ” ที่ยื่นเสนอไปนั้นอาจไม่สามารถผลักดันออกมาเป็นรูปธรรมได้ครบทั้งหมด เนื่องจากความพร้อมและประสบการณ์ของแต่ละเขตเศรษฐกิจไม่เท่ากัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สถานการณ์ปัจจุบันที่ปนไปด้วยวิกฤต โอกาส และความท้าทายจากปัจจัยภายในและภายนอก ตลอดจนความกังวลต่อสิ่งที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้และจะส่งผลต่อการสร้างความยั่งยืนในอนาคต จะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว โดยกรอบวาระเร่งด่วนที่ยื่นเสนอไปยังผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC แยกออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) และการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ขจัดความไม่มั่นคงด้วยแต้มต่อของไทย
ภาพใหญ่ที่จะฉายให้เห็นไปพร้อมกันก่อน คือ “ภาคอาหาร” ที่ชูความได้เปรียบและเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ซึ่งมีกรณีศึกษาและต้นแบบให้เห็นบ้างแล้วในประเทศ
“อาหารแห่งอนาคต (Future Food)” ทางเลือกใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสายสุขภาพ และความยั่งยืนของโลกใบนี้ ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่จากพืชและผักผลไม้อีกต่อไป ยังมี “แมลง” ใต้ปีกตัวเล็ก ๆ มากมายหลายสายพันธุ์ที่เคยถูกมองว่าเป็นแหล่งอาหารระดับธรรมดา กลายเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าโภชนาการสูง เข้ามากู้วิกฤติท่ามกลางการขาดแคลนอาหาร และเป็นอาหารแห่งอนาคตของโลก ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ทางนวัตกรรม (Novel Food) โดยผ่านการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เป็นสินค้ามูลค่าสูงในรูปแบบโปรตีนทางเลือก (Alternative Protein) และที่สำคัญกว่านั้นคือ การเข้ามาทดแทนการเลี้ยงวัวซึ่งแม้ว่าจะมีประโยชน์แต่กระบวนการผลิตกลับไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากกว่าแมลง
แมลงที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ จิ้งหรีดขาว ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่นำไปแปรรูป เช่น เส้นสปาเก็ตตี เส้นพาสตา อาหารเสริม สแน็ก เป็นต้น เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน
อย่างไรก็ตาม การสร้างความมั่นคงทางอาหารในระยะยาวจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพเพียงพอสำหรับการบริโภค รวมทั้งระบบมาตรฐานรับรองโปรตีนทางเลือกเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมอาหาร
จากรายงาน The World Population Prospects 2019 ของฝ่ายเศรษฐกิจและกิจการสังคมของสหประชาชาติ (UN) คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) จำนวนประชากรโลกจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 9.7 พันล้านคน อาหารจะไม่เพียงพอกับความต้องการของจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) 2022 และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก ด้านการส่งออกอาหาร โดยมูลค่าการส่งออกอาหารแห่งอนาคตของไทยในช่วงตั้งแต่ปี 2555-2564 ที่ผ่านมา มีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 การส่งออกอาหารมีมูลค่า 1.09 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกอาหารแห่งอนาคตถึง 123,146 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% และปี 2564 ที่ผ่านมา ในช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม 2564) ไทยก็มีมูลค่าส่งออกสินค้าอาหารกว่า 806,430 ล้านบาท เป็นกลุ่มอาหารแห่งอนาคตกว่า 71,570 ล้านบาท ซึ่งหากมองในแง่มูลค่าการตลาดและทางเศรษฐกิจแล้ว มีแนวโน้มการเติบโตอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมด้านอุตสาหกรรมอาหาร และอาหารแห่งอนาคตของไทย และคาดหวังว่าไทยจะติดอันดับ Top 10 ของโลกในอีกไม่นาน
ยิ่งไปกว่านั้น การนำพืชเศรษฐกิจไทย อย่างเช่น น้ำตาล มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อ้อย ยางพารา มาสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่มในภาคเกษตรกรรมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อาหารแห่งอนาคตในกลุ่มอาหารเสริมสุขภาพหรืออาหารฟังก์ชัน (Functional Food) พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) ยา เคมีภัณฑ์ และเครื่องสำอาง เป็นต้น เป็นการตอกย้ำจุดแข็งและความพร้อมของไทยสู่ BCG Model โดยเฉพาะ Bio Economy (เศรษฐกิจชีวภาพ) และ Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน) จะเป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรไทย และผู้ประกอบการที่จะเชื่อมโยงเป็น Supply Chain แบบครบวงจร เพื่อนำไปสู่ Green Economy (เศรษฐกิจสีเขียว) ทั้งนี้ ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนโครงสร้างใหญ่ของประเทศเพื่อขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”
ภาพใหญ่ต่อมาคือ “ภาคพลังงาน” เพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ตามเจตนารมณ์ของภาครัฐ โดยสิ่งที่ภาคเอกชนได้เสนอออกไปคือ การจัดทำ RE100 Roadmap เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในกระบวนการผลิตสำหรับภาคอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น จนท้ายที่สุดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานที่มีความต้องการและความจำเป็นต้องใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy - RE) เพื่อรองรับมาตรการกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) โดยไม่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจ เป็นกรณีศึกษาและต้นแบบ BCG Model แบบครบวงจรและการผลิตพลังงานหมุนเวียนได้เป็นอย่างดี ตั้งอยู่บนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของประเทศไทยโดยใช้วัตถุดิบจากยางธรรมชาติและปาล์มน้ำมัน เริ่มตั้งแต่การจัดการวัตถุดิบไปจนถึงการเชื่อมโยงกับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่โดยรอบ และการจัดการของเสียจากกระบวนการผลิต ที่ต้องการลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุดหรือไม่สร้างขยะเลย (Zero Waste) ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเกิดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
“วันนี้ทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยน การปรับฐานการผลิต และโครงสร้างการผลิต จึงให้ความสำคัญกับแนวคิด BCG Model เพื่อมุ่งเน้นสู่ความยั่งยืนไปด้วยกัน
ท้ายที่สุดนี้ การประชุม ABAC 2022 / APEC 2022 ในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีในการแสดงศักยภาพและความพร้อมของภาคธุรกิจไทยสู่เวทีโลก และจะพลิกวิกฤตของโลกให้เป็นโอกาสของประเทศผ่านการประชุมครั้งนี้ พร้อมกันนี้ขอเชิญชวนคนไทยทุกภาคส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี โดยแสดงความเป็นไทย ผ่านวัฒนธรรมอันดีงามแบบไทยเพื่อสร้างความประทับใจแก่ชาวต่างชาติ” นายเกรียงไกร กล่าว