1."นารา เครปกะเทย" อ้างคลิปโฆษณาลาซาด้าคนดูคิดไปเอง โพสต์เฟซ อยากทำแรงกว่านี้ด้วย แต่กลัวถูกจับ ด้าน "ศรีสุวรรณ" แจ้งจับแล้ว!
กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางและหนักหน่วง กรณีคลิปโปรโมทแอปพลิเคชั่นขายของออนไลน์ของลาซาด้าที่ต้องการโปรโมทการขายในวันที่ 5 เดือน 5 หลังตัวละครในคลิปมีการแสดงและแต่งกายที่สังคมจำนวนไม่น้อยดูแล้วไม่สบายใจ และมองว่า ตัวละครและผู้ผลิตคลิปนี้เจตนาล้อเลียนราชวงศ์ ล้อเลียนสถาบัน รวมทั้งเป็นการเหยียดหยาม บูลลี่ผู้ป่วยผู้พิการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง โดยตัวละครในคลิปคือ นายอนิวัติ ประทุมถิ่น หรือที่สังคมออนไลน์รู้จักกันในชื่อ "นารา เครปกะเทย" แสดงเป็นลูก โดยมี "หนูรัตน์" (นู๋รัตน์) ธิดาพร ชาวคูเวียง แสดงเป็นแม่ซึ่งนั่งรถเข็น และถูกลูกสาวโวยวายต่อว่าเรื่องนำของใช้บางอย่างของลูกสาวมาใช้ แทนการซื้อเอง...
หลังคลิปนี้ถูกเผยแพร่ ได้เกิดกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางจากประชาชน เพราะคลิปนี้ได้ทำร้ายจิตใจคนไทยทั่วประเทศที่รักและเทิดทูนสถาบันอย่างหนัก จนหลายภาคส่วนต้องออกมาเคลื่อนไหว พร้อมติด #แบนลาซาด้า #Banlazada ได้แก่ นักร้องชื่อดัง "บิลลี่ โอแกน" ซึ่งได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "...มันระยำต่ำช้าจริงๆ รับไม่ได้ โกรธมาก ขอต่อต้านอย่างถึงที่สุด! #Banlazada"
ขณะที่อดีตนักแสดงหนุ่ม "อะตอม สัมพันธภาพ" (ตะวัน สัมพันธภาพ) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "สถาบันหรือราชวงศ์จักกรีไปทำอะไรให้พวกคุณครับ พวกคุณถึงทำคลิปไปแซะสถาบันหรือราชวงศ์จักกรีครับ" "พวกคุณเคยทำอะไรเพื่อแผ่นดินนี้ที่คุณเหยียบยืนอยู่บ้างครับ ถ้าพวกคุณไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าพระองค์ท่าน พวกคุณอย่าไปแซะพระองค์ท่านและราชวงศ์จักรีเลยครับ มันดูไม่ดีกับพวกคุณและวงศ์ตระกูลพวกคุณ ถ้าไม่ห่วงตัวเองก็หัดห่วงวงศ์ตระกูลตัวเองบ้างครับ" "สิ่งที่พวกคุณได้ก็ได้แค่ให้พวกคุณเองมาชื่นชมกัน ผมดูแล้วอย่างพวกคุณจนวันสุดท้ายของชีวิต พวกคุณก็ยังไม่สามารถเป็นผู้นำสังคมไทยในด้านดีๆ และเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันแน่นอนครับ เลิกเถอะครับหัดอายตัวเองบ้าง"
ด้านเฟซบุ๊ก "ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ ศชอ." ได้โพสต์ข้อความว่า "ประกาศ เนื่องจาก LAZADA นำกลุ่มบุคคลที่มีทัศนคติที่เป็นภัยต่อสถาบันฯ มาเป็น presenter ในการทำการตลาด ดังนั้นกลุ่มพสกนิกรปกป้องสถาบัน จึงขอไม่สนับสนุนตราสินค้านี้ในทุกรูปแบบ #BanLAZADA"
ต่อมา (5 พ.ค.) เพจ "Intersect Design Factory" ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงและขอโทษกรณีคลิปดังกล่าว โดยระบุว่า "...บริษัท อินเตอร์เซคท์ ดีไซน์ แฟคทอรี่ จำกัด ได้รับมอบหมายจากบริษัท LAZADA ให้เป็นผู้ประสานงานและติดต่อจัดทำคลิปโปรโมทแคมเปญ โดยหนึ่งในคลิปที่ได้ทำการเผยแพร่ออกไปผ่านทางบัญชี นาราเครปกะเทย ได้นำเสนอภาพที่ไม่เหมาะสมและกระทบต่อความรู้สึกของผู้ที่ได้รับชมคลิปดังกล่าว
บริษัทฯ เสียใจเป็นอย่างมากต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขออภัยต่อความรู้สึกของคนในสังคม และ บริษัท LAZADA ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยทางบริษัทฯ ขอน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียวและได้เร่งดำเนินการระงับการเผยแพร่คลิปดังกล่าวทันที บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีความตั้งใจหรือเจตนาอื่นใดในการ ล้อเลียนพฤติกรรมหรือสภาพร่างกาย หรือเชื่อมโยงพาดพิงถึงบุคคลและสถานการณ์ต่างๆ... กราบขออภัยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้"
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 6 พ.ค. ว่า "Lazada บังอาจล้อเลียนราชวงศ์ไทย เดี๋ยวจัดให้ กับ พ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา 14 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เดี๋ยวเจอกัน!!!"
ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณ ได้เข้าแจ้งความต่อ บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีนายอนิวัติ ประทุมถิ่น หรือ "นารา เครปกะเทย" และพวกในข้อหาดูหมิ่นสถาบัน ตามกฎหมาย ป.อาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. โดยระบุว่า การจัดทำและเผยแพร่คลิปวิดีโอและภาพนิ่งโปรโมตแคมเปญของบุคคลดังกล่าว เป็นการดูหมิ่นเสียดสีบุคคลอันเป็นที่เคารพสักการะ อาจตีความได้ว่าเป็นการเจตนาจะพาดพิงสถาบันเบื้องสูง อีกทั้งเมื่อตรวจสอบในเพจเฟซบุ๊ก “นารา เครปกะเทย” ยังมีการโพสต์ภาพโปรโมตสินค้าที่อาจเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบันโดยมีบรรดาแฟนคลับแนวร่วมเข้ามาคอมเมนต์ ด้วยข้อความที่ไม่เหมาะสมอีกเป็นจำนวนมาก
นายศรีสุวรรณ ชี้ด้วยว่า แม้ทางบริษัทเอเยนซี่โฆษณาดังกล่าวจะแถลงการณ์ขอโทษแล้วก็ตาม แต่การกระทำทั้งหมดถือว่าเป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว เข้าองค์ประกอบตาม ปอ.มาตรา 83 ซึ่งล้วนเป็น “ตัวการร่วม” ในฐานะผู้ผลิต ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน อันอาจมีความผิดตามกฎหมาย อีกทั้งเป็นการบูลลี่ และดูหมิ่นผู้พิการ อันเป็นการกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 4 ประกอบ มาตรา 27 ให้การคุ้มครองไว้
ขณะที่สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนต่อคลิปโฆษณาดังกล่าว (6 พ.ค.) ว่า “การโฆษณาควรทำด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ขัดแย้งกับศีลธรรมอันดีและระเบียบสังคม ต้องไม่ทำให้สาธารณชนเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในการโฆษณา พร้อมชี้ว่า การกระทำใด ๆ ที่ปราศจากความรับผิดชอบ ยุยงต่อต้านสังคม ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดูหมิ่นบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ...สังคมและผู้บริโภคมีสิทธิพิจารณาความเหมาะสมที่จะยุติการสนับสนุนต่อไป ผู้ทำหน้าที่ผลิตชิ้นงานหรือบริษัทตัวแทนโฆษณา ตลอดจนนักการตลาดผู้ทำหน้าที่บริหารจัดการกิจกรรมการตลาดของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ สมควรจะแสดงความรับผิดชอบอย่างเปิดเผยและจริงใจโดยทันที”
วันเดียวกัน (6 พ.ค.) เพจเฟซบุ๊ก "สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย" ได้ออกแถลงการณ์ว่า
"คลิปโฆษณาดังกล่าวได้นำเอาตัวแสดงแต่งชุดไทยนั่งอยู่บนรถเข็นในลักษณะล้อเลียนให้เกิดความอับอายต่อสภาพร่างกายของบุคคล... เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม ด้อยค่า ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือคุณค่าความเป็นมนุษย์... สภาคนพิการฯ มีจุดยืนที่ชัดเจนว่า จะไม่สนับสนุนการทำธุรกิจที่ไม่เคารพสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ ขอเรียกร้องให้พรีเซนเตอร์โฆษณา บริษัทเอเจนซี่และบริษัทผู้ว่าจ้าง แสดงความรับผิดชอบด้วยการแถลงการณ์ขอโทษต่อการกระทำดังกล่าวต่อกลุ่มคนที่ถูกพาดพิงอย่างเป็นทางการ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ"
ทั้งนี้ คลิปโฆษณาที่ส่อล้อเลียนสถาบันและบูลลี่คนป่วยคนพิการดังกล่าว ได้ถูกกระแสสังคมจำนวนมากแห่แบนลาซาด้า มีการขอปิดบัญชี เพื่อแสดงออกถึงการจะไม่ใช้บริการลาซาด้าอีกต่อไป แต่ทางลาซาด้ากลับอ้างว่า ไม่สามารถปิดบัญชีได้ ทำได้แค่เพียงระงับการใช้บัญชีเท่านั้น นั่นหมายความว่า ชื่อ-ข้อมูลส่วนบุคคลและเบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่ระงับการใช้จะยังคงอยู่กับทางลาซาด้า ซึ่งประเด็นนี้ได้เกิดกระแสความไม่พอใจต่อลาซาด้ามากขึ้นไปอีก
ขณะที่ในแง่ภาคธุรกิจ ก็มีความเคลื่อนไหวปรับปรุงยกเลิกช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านลาซาด้าเช่นกัน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ของดอยคำ, ดอยตุง และโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา, ร้านวันสุข กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น
ขณะที่บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย ได้ออกเอกสารชี้แจงและขออภัยต่อความผิดพลาดที่เกิดจากการผลิตและเผยแพร่คลิปโฆษณาดังกล่าว โดยระบุว่า "เราเข้าใจดีว่าเนื้อหาดังกล่าวสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจต่อสังคมและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ทันทีที่เรารับทราบถึงคลิปดังกล่าว เราได้มีคำสั่งให้ถอดคลิปดังกล่าวออกทันที เพราะเนื้อหาและข้อความเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการทำงานและความเชื่อของลาซาด้าในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ให้ความเคารพต่อกันและกัน และไม่แบ่งแยก
และว่า "ลาซาด้าขอแสดงความเสียใจอีกครั้งต่อความผิดพลาดและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ...ทีมงานของบริษัทลาซาด้า ขอใช้พื้นที่นี้ในการขอโทษและแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อสังคม รวมถึงลูกค้า ผู้ขาย และพาร์ทเนอร์ของเรา เราจะปรับปรุงการทำงานและกระบวนการให้รัดกุมยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต"
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอนิวัต ประทุมถิ่น หรือ "นารา เครปกะเทย" นอกจากจะไม่ได้ขอโทษต่อคลิปโฆษณาดังกล่าวแล้ว เจ้าตัวยังได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ซึ่งยังคงเป็นภาพที่่ส่อล้อเลียนสถาบัน พร้อมข้อความว่า "ไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าเราไม่ได้ลบหลู่ใคร ไม่ได้ว่าใคร และไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย ทำอะไรตนรู้อยู่แก่ใจ และอยากทำแรงกว่านี้ด้วย แต่กลัวโดนจับ ไม่ได้ศรัทธาอะไรในประเทศไทยอยู่แล้ว" นารา เครปกะเทย ยังอ้างผ่านไลฟ์ด้วยว่า คนที่ดูคลิปแล้วมองว่า เป็นการล้อเลียนสถาบัน คนดูคิดไปเอง เพราะตนไม่ได้บอกเลยว่า คนในคลิปเป็นใคร คนเกิดมานั่งวีลแชร์ไม่ได้มีคนเดียวในโลก คนใส่ชุดไทยนั่งวีลแชร์ก็ไม่ได้มีคนเดียวในโลก...
2.ปปป. เตรียมออกหมายเรียก “อดีตพระกาโตะ-สีกาตอง” สอบเข้าข่ายยักยอกทรัพย์-กรรโชกทรัพย์หรือไม่!
ความคืบหน้ากรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงคล้ายพระนักเทศน์ชื่อดังของภาคใต้ มีสัมพันธ์กับสีการายหนึ่ง ซึ่งต่อมา พระพงศกร ปภัสสโร หรือ "พระกาโตะ" รักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติ ต.กะเปียด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ได้ออกมาปฏิเสธว่า เสียงในคลิปไม่ใช่ตน กระทั่งต่อมา สีกาดังกล่าวได้ออกมายอมรับว่า ตนเองสร้างเรื่อง และป่วยเป็นไบโพลาร์ อย่างไรก็ตาม คลิปเสียงได้หลุดออกมาเรื่อยๆ ขณะที่พระผู้ใหญ่ในจังหวัดมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเรื่องคลิปเสียงพระนักเทศน์สัมพันธ์กับสีกา ในที่สุด พระกาโตะ ได้ชิงลาสิกขา เมื่อวันที่ 30 เม.ย. โดยให้เหตุผลผ่านเฟซบุ๊กว่า บวชเพราะโยมแม่ แต่เมื่อมีอุปสรรค เพื่อลบอุปสรรคนี้ จึงตัดสินใจยุติในการดำรงเพศบรรพชิต
ต่อมา (2 พ.ค.) อดีตพระกาโตะได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า "ผมขอยอมรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะด้วยการขาดความยับยั้งชั่งใจ และความคึกคะนองของผม วันนี้ผมต้องขอยุติการเป็นพระนักเทศน์ ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หลังจากนี้ไปผมจะหาคอนเทนต์ เรื่องราวดีๆ เรื่องตลกๆ ที่จะสร้างรอยยิ้มให้กับทุกๆ ท่านที่ติดตามผม ผมจะไม่ทิ้งแฟนคลับไปไหน ผมขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่รักผมนะครับ"
ไม่เท่านั้น อดีตพระกาโตะยังได้ยอมรับผ่านรายการ "โหนกระแส" ว่า มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกาหลังไปที่เขื่อนกับสีกาตอน 4 ทุ่มจริง พร้อมอ้างว่า ตนอายุยังน้อย ถูกฝ่ายหญิงยั่วยวน เลยพลาดไป และว่า ตั้งแต่รอบแรกมาก็โดนบังคับขู่เอาเงินตลอด เขาบอกว่าหลวงพี่ฉันมีหนี้นะ เราพลาดกันแล้วต้องรับผิดชอบ
ด้าน "ใบตอง" หรือสีกาตองในคลิปเสียง ได้เผยในรายการ "โหนกระแส" โดยยืนยันเรื่องสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับอดีตพระกาโตะ และว่า "ขอน้อมรับทุกคำด่า ตองเลว ตองชั่วจริงๆ ขอโทษวงการพระพุทธศาสนา ขอโทษทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คนที่ทำให้เดือดร้อนกับเรื่องนี้ มันเกิดจากความไม่มีสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจของตองเอง ยอมรับว่าผิดค่ะ"
นอกจากนี้สีกาตอง ยังเปิดหน้าให้สัมภาษณ์กับบางสื่อในเวลาต่อมา พร้อมยืนยันว่า ที่กล้าเปิดหน้าไม่ใช่เพราะตนหน้าด้าน "เอาตรงๆ ไม่ได้หน้าด้าน ยังกล้ามาเปิดหน้าอีกเหรอ ไม่ใช่ค่ะ มันเป็นความตั้งใจ อยากให้ทุกคนเข้าใจ และมองอีกมุม ว่ามันเกิดขึ้น มีอยู่จริงในโลกของเราค่ะ"
ทั้งนี้ อดีตพระกาโตะ เผยด้วยว่า มีการโอนเงินให้สีกาตอง 3 แสนบาท และจ่ายเงินให้นักข่าวท้องถิ่นเพื่อปิดข่าวสัมพันธ์กับสีกาเป็นเงิน 3 แสนบาท โดยมีคนกลางรับเงินไว้ "อยู่ที่คนกลางครับ แล้วแต่ว่าเขาเอาไปใช้หรือเอาไปให้หรือยัง ผมก็ไม่รู้ ผมมีหน้าที่จ่ายให้จบ"
อย่างไรก็ตาม ได้มีประเด็นว่า เงิน 3 แสนที่อดีตพระกาโตะโอนให้สีกาตอง และอีก 3 แสนให้คนกลางเพื่อให้นักข่าวปิดข่าว เป็นเงินของวัด ไม่ใช่ของอดีตพระกาโตะ ร้อนถึงตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) จะตรวจสอบข้อเท็จจริงการเบิกถอนเงินของวัดอย่างละเอียด หากพบผิดจริง จะดำเนินคดีอาญา มาตรา 147 (เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์)
ด้านอดีตพระกาโตะ รีบออกมายอมรับว่า ได้เบิกเงินจากบัญชีของวัด 6 แสนบาทจริง แต่อ้างว่าเป็นการยืมเงิน และไม่ได้นำเงินดังกล่าวไปให้สีกา "ไม่ได้ลงรายละเอียดว่านำเงินไปทำอะไร แต่บอกว่าธุระด่วน ขอยืมเงินหน่อย โดยบอกกรรมการ แต่ไม่ได้ถูกแต่งตั้งตามระเบียบ เซ็นได้ 3 คน พระกาโตะ ช่างบ่าว และลุงโชคดี แต่มี 2 ใน 3 ที่เซ็น คือพระกาโตะ และช่างบ่าว เจตนาไม่ได้ยักยอก และเตรียมพร้อมจะนำเงินไปคืน" ซึ่งต่อมา อดีตพระกาโตะได้นำเงิน 6 แสนไปคืนทางวัดตามที่กล่าวไว้
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการวัดเพ็ญญาติ เปิดเผยว่า ช่วง 2 วันก่อนที่อดีตพระกาโตะจะลาสิกขาได้มาขอเบิกเงินจากวัดเพ็ญญาติ 600,000 บาท โดยการเบิกเงินของวัดแต่ละครั้งจะมีคณะกรรมการทั้งหมด 3 คน และจะต้องมีการลงนาม 2 ใน 3 คน โดยอดีตพระกาโตะอ้างว่าจะเอาเงิน 600,000 ไปปรับปรุงอาสนะของวัด จึงเบิกให้ไป เพิ่งมารู้ข่าวหลังเบิกเงินให้ไปว่าพระกาโตะสึกแล้ว และนำเงินจำนวนดังกล่าวไปให้สีกา และนำมาให้คนกลางเพื่อนำไปให้นักข่าวช่วยปิดข่าว
ด้านเพจ"ทนายเกิดผล แก้วเกิด" ให้ความรู้ในแง่กฎหมายหลังเกิดกรณี "กาโตะ" คืนเงิน 6 แสนให้ทางวัดแล้วว่า "กรณีที่จำเลยเบียดบังไปเป็นของตนเองแล้ว ...เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จไปแล้ว การที่จำเลยเอาไปคืนก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่เป็นความผิดแล้ว กลับไม่เป็นความผิดแต่อย่างใด"
ขณะที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้นำหมายจับไปค้นกุฏิที่พักของพระสุวิจักษณ์ ชุ่มโชติ หรือพระครูวินัยธรสุวิจักขณ์ ปญญังวโร หรือพระดอน ภายในวัดวังตะวันออก ต.คลัง อ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อจับกุมตัว หลังจากมีการเปิดเผยว่า มี “พระคนกลาง” เป็นผู้รับวิ่งเต้นเคลียร์ปัญหาพระกาโตะสัมพันธ์สีกา แต่ไม่พบพระรูปนี้แต่อย่างใด จากการตรวจสอบพบว่า พระดังกล่าวเคยถูกออกหมายจับหลายคดี
ด้านสีกาตอง ได้ออกมาเผยอีกครั้ง โดยยืนยันว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เงินที่อดีตพระกาโตะโอนให้ตนเป็นเงินวัดที่ญาติโยมทำบุญ และตนพร้อมจะคืนให้บางส่วน โดยจะนำไปทำบุญคืนที่วัด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะคืนเท่าไหร่ เพราะต้องแบ่งไว้รักษาตัวด้วย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ตำรวจ บก.ปปป. เตรียมออกหมายเรียกอดีตพระกาโตะและสีกาตองมาสอบเรื่องการถอนเงินวัดมามอบให้สีกา 3 แสน และเพื่อปิดข่าว 3 แสน รวมทั้งการกระทำของสีกาตอง เรียกรับเงินจากอดีตพระกาโตะ จะเข้าข่ายความผิดกรรโชกทรัพย์หรือไม่ เร็วๆ นี้
3. อัยการฯ ตีกลับสำนวนคดี "แตงโม" ให้ ตร.สอบเพิ่มเพียบ ด้าน "อัจฉริยะ" เตรียมแถลงเปิดโปงขบวนการสร้างหลักฐานเท็จ 9 พ.ค.นี้ หลังแจ้งจับ 2 ตร.ใหญ่!
ความคืบหน้าคดีแตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ ดารานักแสดงชื่อดังตกจากเรือสปีดโบ๊ทเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนคดีและมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 6 คน ประกอบด้วย 5 คนที่อยู่บนเรือ และกุนซือผู้ให้คำแนะนำคนบนเรือหลังเกิดเหตุอีก 1 คน เอกสารจำนวน 5 ลัง ส่งมอบให้ทางอัยการจังหวัดนนทบุรีพิจารณาเพิ่อสั่งฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 26 เม.ย.
ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 พ.ค. นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า เท่าที่ตนทราบมาจากทีมอัยการจังหวัดนนทบุรีที่รับผิดชอบดูแลคดีแตงโมนั้น ได้มีการสั่งพนักงานสอบสวนกลับไปสอบสวนเพิ่มเติมหลายประเด็น ประมาณ 20 ประเด็นได้ เพื่อให้สำนวนละเอียดรอบคอบรัดกุมที่สุด ซึ่งหลังจากที่ดูแล้ว ทางอัยการให้พนักงานสอบสวนนำสำนวนกลับไปสอบเพิ่มเติมเยอะมาก จึงไม่สามารถกำหนดเวลาส่งกลับที่แน่นอนได้ อาจจะส่งผลให้ทางตำรวจส่งสำนวนกลับมาไม่ทันการนัดรายงานตัวกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ในวันที่ 27 พ.ค.นี้ ถ้าส่งสำนวนกลับมาไม่ทันจริงๆ ก็จะมีการเลื่อนนัดออกไป ซึ่งต้องรอดูการทำงานของพนักงานสอบสวนก่อน
ด้านนายประยุทธ์ เพชรคุณ รองโฆษกอัยการสูงสุด กล่าวว่า การสั่งสอบเพิ่มในประเด็นใดบ้างนั้น ทางอัยการไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากเป็นความลับทางคดี ไม่สามารถบอกได้ มิฉะนั้นจะเป็นการเสียหายกับกระบวนการยุติธรรม ต้องรอผลการสอบเพิ่มเติมจากทางตำรวจเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 พ.ค. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 และ พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผบก.สส.ภ.1 ในความผิดมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 184 และ มาตรา 200 ช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษอาญา หรือรับโทษน้อยลง กรณีที่ร่วมกันแถลงข่าวสรุปสำนวนคดีแตงโมเมื่อวันที่ 26 เม.ย. นำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยมี พ.ต.อ.พิทักษ์ วาฤทธิ์ ผกก.2 บก.ปปป. เป็นผู้แทนรับเรื่อง
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จได้แก่ ความเร็วจีพีเอส ภาพของผู้ต้องหาบนเรือ และภาพบาดแผลของหญิงสาวต่างชาติที่นำมาประกอบคลิปวิดีโอแถลงข่าว ที่อ้างว่าโดนใบพัดเรือเช่นเดียวกับบาดแผลของแตงโม รวมถึงการทดสอบบาดแผลกับดินน้ำมัน และการใช้หมูทดสอบทิศทางการตกเรือ นอกจากนั้นยังมีข้อมูลว่า มีการขโมยศพในช่วงที่อยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ไปกระทำการบางอย่าง และแก้ผลชันสูตรบาดแผลตามร่างกายจาก 11 แผล เป็น 22 แผล และสรุปที่ 26 แผล ทั้งหมดล้วนเป็นการสร้างหลักฐานเท็จที่ทำเป็นขบวนการ มี “พลตำรวจตรี” เป็นหัวหน้าขบวนการ โดยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 อาจถูกหลอก ไม่ทราบถึงขบวนการดังกล่าว แต่ที่แจ้งความเอาผิดด้วย เนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่กำกับดูแลคดีนี้
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 9 พ.ค.ที่จะถึงนี้ เวลา 10.00 น. ทางชมรมจะแถลงข่าวใหญ่เปิดโปงขบวนการสร้างหลักฐานเท็จคดีแตงโม ซึ่งมีตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องกว่า 20 คน มีทั้งตำรวจฝ่ายสืบสวน สอบสวน เจ้าหน้าที่นิติเวช และตำรวจพิสูจน์หลักฐานร่วมขบวนการ โดยจะเสนอหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอมีทั้งภาพ และเสียง และบทสนทนาทางไลน์ รวมถึงคำรับสารภาพของพันตำรวจเอกนายหนึ่ง ซึ่งสารภาพแล้วว่า ประเด็นการปัสสาวะท้ายเรือของแตงโมไม่เป็นความจริง
นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ก่อนจะมาร้องทุกข์กับ บก.ปปป. ได้รับการติดต่อพยายามเสนอเงินหลักแสนบาท เป็นรายเดือน เพื่อไม่ให้มาร้องทุกข์ และเปิดเผยขบวนการ พร้อมยืนยันว่า ขบวนการสร้างหลักฐานเท็จนี้ เริ่มขึ้นหลังเกิดเหตุประมาณ 3 วัน และเป็นการตั้งใจเพื่อแลกรับผลประโยชน์จากผู้ที่มีส่วนได้เสียทางคดี ไม่ใช่เป็นการทำงานผิดพลาดแล้วต้องการปกปิดคดี ซึ่งกุนซือสำคัญของคดีนี้เป็นคนเดียวกับที่ช่วยเหลือคดี บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มกระทิงแดงที่ขับรถชนตำรวจและหลบหนีไปต่างประเทศ
วันต่อมา (3 พ.ค.) นายอัจฉริยะ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เพื่อให้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายตำรวจที่ทำคดีแตงโม 4 นาย ประกอบด้วย 1.พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 2.พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผบก.สส.ภ.1 3.พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.จ.นนทบุรี และ 4.พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี พร้อมขอให้ย้ายตำรวจดังกล่าวออกจากตำแหน่งเดิมมาประจำที่ ศปก.ตร.
นายอัจฉริยะ เผยสาเหตุที่ต้องร้องให้ ผบ.ตร. มีคำสั่งดังกล่าว เนื่องจาก พล.ต.ต.ไพศาล และพ.ต.อ.จาตุรนต์ บกพร่องต่อหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบในการทำคดีชันสูตรการเสียชีวิตของแตงโมควบคู่ไปกับคดีหลัก ส่วนพล.ต.ท.จิรพัฒน์ และพล.ต.ต.วสันต์ เนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชา แต่ได้นำหลักฐานเท็จ และร่วมกันแถลงข่าวโดยใช้ข้อมูลเท็จ ตลอดจนไม่มีคำสั่งให้อายัดเรือของกลาง และตรวจหาแอลกอฮอล์และสารเสพติดในร่างกายของ นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือ แซน หนึ่งในบุคคลที่อยู่บนเรือ
4. รวบหนุ่มคลั่งบุกรันเวย์สุวรรณภูมิ เจอ 7 ข้อหาหนัก เจ้าตัวสารภาพกินยาบ้า 8 เม็ด ก่อนหูแว่วสั่งให้ไปปล้นเครื่องบิน!
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้นำทีมแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีผู้บุกรุกเข้าพื้นที่เขตการบินของสนามบินสุวรรณภูมิ โดยกล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 3 พ.ค. เวลาประมาณ 11.50 น. ทาง Control Post 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ชายดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาใกล้ ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปห้าม เพราะจุดดังกล่าวห้ามรถจักรยานยนต์เข้า เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าใกล้ ชายดังกล่าวได้ชักอาวุธปืนขึ้นมา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องหลบเข้าที่กำบัง เนื่องจากไม่ทราบว่าเป็นอาวุธจริงหรือปลอม
ระหว่างนั้น มีรถยนต์ของสายการบินที่ผ่านการตรวจอยู่ที่ Control Post 3 ดังกล่าว และประตูได้เปิดให้รถยนต์ดังกล่าวเข้าพื้นที่ ชายดังกล่าวจึงอาศัยจังหวะฝ่าเข้าไป พร้อมกับใช้อาวุธปืนขู่เจ้าหน้าที่ และได้เข้าไปในเขตลานบิน หรือ Airside
โดยชายดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์ไปและล้มลง สุดท้ายวิ่งขึ้นไปที่ประตูเทียบเครื่องบิน A4 ใช้ขวานจามไปที่ประตูกระจกแตก เจ้าหน้าที่ที่ติดตามเห็นและมั่นใจว่า อาวุธปืนเป็นของปลอม จึงตัดสินใจในวินาทีนั้น เข้าชาร์จ เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกเข้าไปชั้นในอาคารผู้โดยสารได้ การปฏิบัติการทั้งหมดได้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของผู้โดยสาร รวมถึงความปลอดภัยในชีวิตของเจ้าหน้าที่ทุกนาย ซึ่งทั้งหมดได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ โดยจับกุมตัวได้ในเวลา 12.04 น. หรือใช้เวลาประมาณ 10 นาที
นายกิตติพงศ์ ยังอธิบายถึงการสกัดจับและทักษะของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน เช่น การใช้รถยนต์วิ่งล้อมไปมานั้น เป็นหลักปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปตามการฝึก ไม่ได้ทำมั่วๆ การทำงานมีขั้นตอน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจที่ประตูไม่ได้พกอาวุธติดตัว แต่เมื่อเหตุเกิดก็มีการประสานงานกันเพื่อสกัด อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการพิจารณาในเรื่องการเพิ่มอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่ เช่น ปืนไฟฟ้า ซึ่งหลายสนามบินเริ่มนำมาใช้แล้ว
นายกิตติพงศ์ ยังยอมรับด้วยว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ค. เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้จริงๆ แต่เมื่อหลุดเข้ามาในพื้นที่สนามบินแล้ว จะต้องมีมาตรการจัดการ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สนามบินต้องดำเนินการ ซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติ การป้องกันดูแล แผนเผชิญเหตุเป็นไปตามมาตรฐาน ICAO ผ่านการตรวจสอบ ทอท.ไม่ได้คิดเอง ยืนยันสุวรรณภูมิมีมาตรฐานการดูแลความปลอดภัยเป็นระดับสากล”
ด้าน พ.ต.อ.จิรวัฒน์ ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เผยว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ก่อเหตุทั้งหมด 7 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใด กระทําการทำลายหรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรง ต่ออากาศยานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกของอากาศยาน 2. บุกรุก ด้วยไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปในสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย 3. ทำให้เสียทรัพย์ 4. พาอาวุธ (ขวาน) ไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร 5. มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย 6. เสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 7. ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจโดยการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
พ.ต.อ.จิรวัฒน์ กล่าวว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจหาสารเสพติดในตัวผู้ต้องหา พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย ภายหลัง เริ่มมีสติโต้ตอบ จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ในบางพลี มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ช่วงปี 2557 เคยโดนจับยา 2 คดี
ด้านผู้ก่อเหตุ ทราบชื่อคือ นายวัชระ คำบุตร อายุ 34 ปี หนุ่มชาว อ.เอราวัณ จ.เลย สารภาพว่า ก่อนก่อเหตุ กินยาบ้าไป 8 เม็ด ก่อนหูแว่วได้ยินเสียงมีคนบอกให้ไปปล้นเครื่องบิน
ทั้งนี้ โทษสำหรับการกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 19 ข้อหาใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใดกระทำการอันอาจเป็นอันตราย หรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยาน ต้องระวางโทษหนักอาจถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000-800,000 บาท
5. "ผศ.ชัยชาญ" ขอลาออกจากอธิการบดี ม.ศิลปากรแล้ว หลังโพสต์ภาพแอร์โฮสเตสส่อคุกคามทางเพศ!
จากกรณีที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งได้โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊ก เป็นภาพแอร์โฮสเตสสาวบนเครื่องบิน พร้อมระบุข้อความว่า "เวลาเดินทางด้วยเครื่องบิน ผมมักจะถ่ายรูปแอร์โฮสเตสไปฝากน้องๆ ให้เขาน้ำลายไหล" ซึ่งปรากฏว่า โพสต์ดังกล่าวได้ถูกแชร์ต่อพร้อมกับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของอธิการดีดังกล่าว ทั้งในแง่การแอบถ่ายรูปแอร์โฮสเตสสาวโดยไม่ได้รับอนุญาต และการโพสต์ข้อความในลักษณะคุกคามทางเพศ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พ.ค. มีรายงานว่า นายชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ทำหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยแล้ว โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า “ตามที่กระผมได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2562 เป็นต้นมา นั้น
บัดนี้ กระผมได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากรมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปีเศษ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระผมและทีมผู้บริหารมีความมุ่งมั่นตั้งใจและทุ่มเทเวลาให้กับการบริหารงานมหาวิทยาลัยศิลปากรอย่างเต็มกำลังความสามารถ ยึดถือหลักธรรมาภิบาล และมีผลงานที่กระผมและทีมผู้บริหารได้ริเริ่มและดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีภาระงานที่ต้องดำเนินการตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้บริหารมาขับเคลื่อนและสานต่อการกิจ เพื่อให้กิจการของมหาวิทยาลัยได้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ด้วยขณะนี้ มีกระแสข่าวว่า กระผมได้ลงภาพและข้อความที่ไม่เหมาะสมในสื่อสังคมออนไลน์ กระผมขอน้อมรับว่าได้กระทำการดังกล่าวจริง แต่มิได้มีเจตนาที่จะสร้างความเสียหาย หรือก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่สมควร
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นองค์กรที่กระผมทำหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดี ดังนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์ที่ดีของมหาวิทยาลัยศิลปากรต่อไป และเพื่อเป็นการดีต่อทุกฝ่าย กระผมจึงขอแสดงความรับผิดชอบ โดยการลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยพร้อมที่จะลาออกในทันทีหรือเมื่อสภามหาวิทยาลัย ได้แต่งตั้งผู้รักษาการแทนอธิการบดีได้แล้ว"
แหล่งข่าวจากมหาวิทยาลัยศิลปากร เผยว่า เดิมที ทางสภามหาวิทยาลัยศิลปากรเตรียมจะหารือเรื่องดังกล่าวในวันที่ 9 พ.ค.นี้ แต่ได้มีการพูดคุยให้ ผศ.ชัยชาญ ลาออกก่อนวันประชุม เนื่องจากผู้ใหญ่ไม่อยากให้เป็นมติ ซึ่งในการประชุมสภามหาวิทยาลัยฯ วันที่ 9 พ.ค. อาจจะมีการแต่งตั้งรักษาการอธิการบดีเพื่อทำหน้าที่แทน ผศ.ชัยชาญ
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (2 พ.ค.) กลุ่มคณาจารย์ ศิษย์เก่า และนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร ได้นำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสภามหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่อง ขอให้ดำเนินการตรวจสอบกรณีของอธิการบดีมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งมอบรายชื่อคณาจารย์ ศิษย์เก่า และนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร จำนวน 2,017 คน