ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “อัจฉริยะ” จ่อจัดชุดใหญ่ เปิดโปงขบวนการคดีแตงโม “กุนซือ” เป็นคนเดียวกันกับคดี บอส กระทิงแดง
ความไม่เชื่อถือการทำงานของตำรวจ กรณี “คดีแตงโม” น.ส.นิดา พัชรวีรพงษ์ ดาราสาวที่พลัดตกเรือเสียชีวิต ส่งผลให้มี “งานเข้า” และ “งานงอก” ตามมาเป็นพรวน
เริ่มจากเจ้าเก่าเล่ายี่ห้อ “จอมกัดติด” อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้ายื่นหนังสือถึงผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. ให้สืบสวนสอบสวนดำเนินคดีตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีการเสียชีวิตของ “แตงโม”
นายตำรวจที่ “อัจฉริยะ” ร้องทุกข์แน่นอน ได้แก่ “พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร” ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) และ “พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม” ผู้บังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 1 (ผบก.สส.ภ.1) ในความผิดตามมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 184 และ มาตรา 200 ช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษอาญา หรือรับโทษน้อยลง
ทั้งสองคนงานเข้า หลังจากที่ร่วมกันแถลงข่าวสรุปสำนวนคดีแตงโม เมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมานั่นเอง โดย “อัจฉริยะ” มองว่า เป็นการนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ เช่น ความเร็วจีพีเอส ภาพของผู้ต้องหาบนเรือ และภาพบาดแผลตัวเอส ของหญิงสาวต่างชาติที่นำมาประกอบคลิปวิดีโอแถลงข่าว ที่อ้างว่าโดนใบพัดเรือเช่นเดียวกับบาดแผลของแตงโม จนชาวเน็ตจับโป๊ะได้ ว่าเอามาจาก “กูเกิล”
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลว่า มีการ “ขโมยศพ” ในช่วงที่อยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ไปกระทำการบางอย่าง และแก้ผลชันสูตรบาดแผลตามร่างกายจาก 11 แผล เป็น 22 แผล และสรุปที่ 26 แผล
“อัจฉริยะ” ยังบอกว่า ทั้งหมดล้วนเป็นการสร้างหลักฐานเท็จ ที่ทำเป็นขบวนการมี “พลตำรวจตรี” เป็นหัวหน้าขบวนการ โดยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 อาจถูกหลอกต้ม ไม่ทราบถึงขบวนการดังกล่าว
พอพูดถึง “ขบวนการ” อัจฉริยะ บอกว่า จะจัดชุดใหญ่ ในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ จะเปิดโปงขบวนการสร้างหลักฐานเท็จคดีแตงโม ซึ่งมีตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องกว่า 20 คน มีทั้งตำรวจฝ่ายสืบสวน สอบสวน เจ้าหน้าที่นิติเวช และตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ร่วมขบวนการ โดยจะเสนอหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ มีทั้งภาพ และเสียง และบทสนทนาทางไลน์ รวมถึงคำรับสารภาพของพันตำรวจเอกนายหนึ่ง ซึ่งสารภาพแล้วว่า ประเด็นการปัสสาวะท้ายเรือของแตงโม เป็นเรื่องไม่จริง!!
เรื่องนี้จะดรามาสั่นสะเทือนวงการแค่ไหน “อัจฉริยะ” มั่นอกมั่นใจ เพราะก่อนที่จะมาร้องทุกข์ ถูก "ล็อบบี้" เสนอเงินหลักหลายแสนต่อเดือน ให้หยุดเคลื่อนไหว และเปิดเผยขบวนการ แต่ก็ยืนยันจะแฉสิ้นตั้งแต่ขบวนการนี้เริ่มขึ้น หลังเกิดเหตุประมาณ 3 วัน แล เป็นการตั้งใจเพื่อแลกรับผลประโยชน์จากผู้ที่มีส่วนได้เสียทางคดี ไม่ใช่เป็นการทำงานผิดพลาดแล้วต้องการปกปิดคดี
ที่น่าสนใจ “ลุงอัจ” แย้มมาว่า "กุนซือ" คนสำคัญของคดีนี้ เป็นคนเดียวกับที่ช่วยเหลือคดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ที่ขับรถชนตำรวจและหลบหนีไปต่างประเทศ
งานนี้ขอเชิญปูเสื่อรอชม โปรดติดตามอย่ากระพริบตากันเลยทีเดียว.
** นายกฯสำรอง ยังอีกไกล แต่นายกฯ รักษาการ “ลุงป้อม” เบอร์ 1
เรื่องที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พูดถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งสมัยหน้า ยืนยันว่า เป็น “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่อาจมีเบอร์ 2 สำรองไว้ เผื่ออุบัติเหตุทางการเมือง แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร...
จากที่พูดกันถึงเรื่อง “แคนดิเดตนายกฯ” แต่บังเอิญมีคำว่า “อุบัติเหตุทางการเมือง” ทำให้มีการปะติดปะต่อ วิพากษ์วิจารณ์โยงไปเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯ 8 ปี แล้วก็มีคำว่า “นายกฯ สำรอง” โผล่ขึ้นมา... แล้ว “อดุลย์ เขียวบริบูรณ์” ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ก็เปิดประเด็นเสนอ ให้ “ลุงป้อม” มาเป็นนายกฯขัดตาทัพแทน “ลุงตู่” ...และยังมี “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ออกมาพูดว่าหากเกิดอุบัติเหตุ ก็มี “พล.อ.ประวิตร” เข้าไปเสียบ เป็น “นายกฯ (บัญชี) สำรอง” ทำเอาบรรยากาศการเมืองโดยเฉพาะในฝั่งรัฐบาลร้อนฉ่าขึ้นมาทันที ...บ้างก็ว่าคนที่ออกมาชี้ช่อง เป็นความหวังดีแบบประสงค์ร้าย!!
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หาก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต้องมีอันเป็นไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ คนต่อไป อันดับแรก ต้องมาจากรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ได้เสนอไว้ในช่วงเลือกตั้ง โดยพรรคภูมิใจไทย มีชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” พรรคประชาธิปัตย์ มีชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พรรคเพื่อไทย มีชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” ส่วน “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ลาออกจากพรรคเพื่อไทย ไปตั้งพรรคไทยสร้างไทยแล้ว และ“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ก็ลาออกจากพรรคเพื่อไทย ออกไปผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.แล้วเช่นกัน
มองตามรายชื่อแล้วถือว่า “อนุทิน ชาญวีรกูล” มีโอกาสมากที่สุด... แต่ก็มีการพูดถึงเสียงสนับสนุนในสภาที่อาจมีปัญหา จนต้องมีการเสนอชื่อบุคคลนอกบัญชีพรรคการเมืองขึ้นมาเป็นนายกฯแทน ตามเงื่อนไข มาตรา 272 วรรค 2 และชื่อบุคคลนอกบัญชีที่เอ่ยถึงก็คือ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”
คราวนี้มาดูว่า “นายกฯ ลุงตู่” จะมีอันเป็นไปจนต้องพ้นตำแหน่งนายกฯ จากเหตุใดบ้าง... 1. แพ้โหวตในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งไม่สามารถจะยุบสภาได้ ต้องพ้นจากตำแหน่งในทันที 2. กฎหมายลูกสองฉบับเกี่ยวกับการเลือกตั้งถูกคว่ำในสภา รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือยุบสภา 3. พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ถูกคว่ำ รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภา หรือลาออก
4. ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปี ในวันที่ 24 ส.ค. 65 ไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ
“วิษณุ เครืองาม” ซือแป๋ด้านกฎหมายของรัฐบาล พูดถึงกรณีหากนายกฯ ต้องเจออุบัติเหตุ แล้วลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ว่า ต้องเริ่มต้นจากการดูบัญชีรายชื่อนายกฯ ที่เหลืออยู่ 5 คน คือ “อนุทิน-อภิสิทธิ์-ชัยเกษม-ชัชชาติ-คุณหญิงสุดารัตน์” หากไม่เอาใน 5 คน นี้ก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญ ที่เปิดทางให้ใช้คนนอกบัญชี
สำหรับเงื่อนไขการใช้บัญชีคนนอก ตามมาตรา 272 วรรคสอง ต้องใช้เสียง ส.ส. 250 คน เสนอให้ล้มบัญชีเดิม เพื่อเอาบัญชีใหม่ และประธานรัฐสภาก็เรียกประชุมรัฐสภา โดยรัฐสภาต้องมีมติ 500 เสียง จาก 750 เสียง ให้ความเห็นชอบว่าให้ใช้บัญชีใหม่ จากนั้นใช้ ส.ส. 50 คน เสนอชื่อผู้จะมาเป็นนายกฯ และประชุมรัฐสภาอีกครั้ง เพื่อโหวตทั้งรัฐสภาว่าจะเอาใคร ซึ่งนายกฯคนใหม่นี้ จะอยู่ในวาระแค่เดือนมีนาคม 2566 เท่านั้น
เรียกว่า ยากทีเดียว หาก “ลุงป้อม” จะมาเป็นนายกฯ ด้วยวิธีนี้...เอาเป็นว่าแค่บอกออกไปคงโดนทัวร์กระหน่ำ !!
แต่หากเป็นกรณีที่ศาล รธน.วินิจฉัย อยู่ในวาระครบ 8 ปี นายกฯพ้นจากตำแหน่งโดยปริยาย ก็ต้องมี “รักษาการนายกรัฐมนตรี” มารับช่วง ซึ่งเบอร์หนึ่ง คือ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ลำดับถัดไป คือ “วิษณุ เครืองาม” จากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของประธานสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตามบัญชีที่มีชื่อ 5 คนข้างต้น โดยระหว่างนี้นายกฯรักษาการ สามารถยุบสภาได้ เพียงแต่ไม่เคยมีใครทำเท่านั้น
เป็นอันว่า โอกาสที่ “ลุงป้อม” จะเป็น “นายกฯสำรอง” หรือ“นายกฯนอกบัญชี” นั้นค่อนข้างเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าหาก“ลุงตู่” เจออุบัติเหตุวาระ 8 ปี “ลุงป้อม” จะเป็น “รักษาการนายกรัฐมนตรี” ผู้กุมอำนาจยุบสภาไว้โดยอัตโนมัติ