เมืองไทย 360 องศา
ขอต่อเรื่องนายกฯสำรองกันอีกสักครั้งก็แล้วกัน เพราะเห็นมีความพยายามสร้างกระแสกันเหลือเกิน ในช่วงที่ใกล้วันเปิดสภาเข้ามา และอำนาจต่อรองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งจะว่าไปแล้วประเด็นเรื่องนายกฯสำรอง หรือ “นายกฯ คนนอก” อะไรนั้น ก็เคยมีการพูดกันมาระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าคงไม่มีใครอยากไปสืบสาวหาต้นตอ แต่เอาเป็นเริ่มเป็นกระแสให้พูดถึงล่าสุดก็หลังจาก “ทีมงานสาขา” ของ “บิ๊กป้อม” หรือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เริ่มจาก พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย และเลขาธิการพรรค คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกมาพูดแบบโยนหิน ว่า หากเกิดอุบัติเหตุการเมืองขึ้น ก็มี พล.อ.ประวิตร นี่แหละมีความเหมาะสม โดยมีการพูดถึงเรื่อง “นายกฯ (บัญชี) สำรอง” ขึ้นมา
ทั้งนี้ พวกเขาพยายามอ้างถึงหลักการความเป็นไปได้ในเรื่อง “นายกฯ คนนอก” คือ นอกเหนือจากบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคการเมือง ที่เวลานี้ยังเหลืออยู่ 5 คน คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และ นายชัยเกษม นิติสิริ โดยหากทั้ง 5 คนดังกล่าวเป็นไม่ได้ อาจเป็นเพราะเสียงสนับสนุนไม่พอ หรือไม่มีใครหนุนก็ตาม ก็ให้ไปใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคสอง เพื่อเสนอชื่อคนนอก (บัญชี) ซึ่งก็ต้องมีการเรียกประชุมรัฐสภา และต้องมีมติ 500 เสียง จากจำนวนสมาชิกรัฐสภา 750 คน ซึ่งก็ไม่ง่าย และหากเห็นชอบ ก็ต้องมี ส.ส. 50 คนเสนอชื่อ และโหวตทั้งรัฐสภาอีกครั้งว่าจะเอาชื่อไหน
หากพิจารณาให้เห็นภาพแค่นี้ ก็พอหลับตานึกภาพแล้ว “แค่ฝัน” ยังเป็นไปไม่ได้เลย ว่า หากโฟกัสไปที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่จะมาตามเส้นทาง “ข้างนอก” มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะหากพูดกันแบบตรงๆ ไม่ไว้หน้ากันก็ต้องบอกว่า ความเป็นไปได้เป็น “ศูนย์” ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะด้วยภาพลักษณ์ หรือ “สภาพ” ที่เห็น มันยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น ถือว่าประตูนี้ปิดตายก็แล้วกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากทางอื่น นั่นคือ “รักษาการนายกฯ” ถือว่าเป็นไปได้ที่สุด และน่าจะใกล้เคียงที่สุด เพราะล่าสุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ถือว่าเป็น “กูรูกฎหมาย” ที่อธิบายหลักการและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาการนายกรัฐมนตรีหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมาจริงๆ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากตำแหน่งนายกฯ จากกรณี “วาระ 8 ปี” ซึ่งในความเป็นจริงจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นอีกเรื่อง แต่หากต้องพ้นไปก็ต้องมี “รักษาการ” และคนที่ต้องรักษาการอันดับหนึ่ง ก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เป็นรองอันดับหนึ่ง ถัดมาก็เป็น นายวิษณุ นั่นเอง และที่สำคัญ นายกฯ รักษาการ ยังมีอำนาจในการ “ยุบสภา” ได้อีกด้วย ซึ่งมันก็เข้าเค้าเหมือนกัน
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เวลานี้ยังไม่รู้เลยว่านายกรัฐมนตรีสำรอง ที่พูดๆ กันแปลว่าอะไร และสำรองตอนไหน ตอนนี้หรือหลังเลือกตั้ง คำพูดคำนี้ ทำท่าเหมือนกับมีคนพูดขึ้นมาก่อน และความหมายคืออะไรไม่ทราบ ต้องไปถามคนที่พูด ซึ่งไม่ต้องไปพูดหรอกว่า นายกฯ สำรอง หรือไม่สำรอง สุดท้ายเริ่มต้นลำดับที่ 1 คือว่า ต้องดูจากบัญชีรายชื่อที่เหลืออยู่ และที่มีอยู่ หากไม่เอารายชื่อดังกล่าว ต้องใช้มาตราที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เปิดทางคนนอกบัญชี จะเรียกนายกฯ สำรอง หรือไม่สำรอง ตนไม่รู้
ถามว่า ก่อนจะเป็นนายกรัฐมนตรีสำรอง ต้องมีนายกรัฐมนตรีรักษาการ ก่อนใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ จะต้องมีคนใดคนหนึ่งรักษาการจะว่างเว้นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ เมื่อถามว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกฯ รักษาการคนแรกใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ และย้อนถามว่า เหตุใดจึงต้องมีนายกรัฐมนตรีรักษาการ ผู้สื่อข่าวจึงตอบกลับไปว่า กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องพ้นจากตำแหน่ง กรณีดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี นายวิษณุ กล่าวว่า สมมติว่า เกิดมีคำวินิจฉัยว่า เข้า 8 ปี ถ้าอย่างนั้น ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ก็เป็นไปตามลำดับที่เรียงไว้ คนแรกคือ พล.อ.ประวิตร และคนที่สอง คือ ตนเอง
โดยนายกรัฐมนตรีรักษาการ สามารถยุบสภาได้ แต่ไม่เคยทำ จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะต้องจัดให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ภายใน 3-7 วัน เหมือนกับการเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ผ่านมา โดยใช้บัญชีที่มีอยู่ นี่แหละคือสำรอง
เมื่อถามว่า คุณหญิงสุดารัตน์ ออกจากพรรคเพื่อไทย (พท.) แล้วยังจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรรค พท. ได้อีกหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่สำคัญ เพราะชื่อยังอยู่ในบัญชีสำรอง นายชัชชาติ ก็ออกไปแล้ว ก็ยังอยู่ในบัญชีสำรอง เมื่อถามว่า หากคนที่อยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีสำรอง ต้องการเป็นนายกฯ จำเป็นต้องไปรวบรวมเสียง ส.ส.ให้มากที่สุด ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่รู้ จะรวบรวมหรือไม่รวบรวมอะไรทั้งสิ้น เพราะกระบวนการคือ นายชวนจะต้องเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อกำหนดว่า ถึงเวลาเสนอชื่อนายกฯ จากนั้นก็เสนอขึ้นมา โดยไม่ต้องรวบรวมเลย และคงจะมีคนลุกขึ้นมาเสนอชื่อ 2-3 คน เหมือนครั้งที่แล้ว และมีการลงมติแข่งกัน ใครคะแนนสูงสุดก็ว่ากันไป
เมื่อถามว่า มีสิทธิเสนอชื่อคนนอกบัญชี ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ได้ ต้องเสนอจากรายชื่อที่อยู่ในบัญชี เมื่อถามว่า หากเลือกกันไม่ได้ ต้องไปใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสอง เพื่อเปิดทางนายกรัฐมนตรีคนนอก ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เลือกได้หรือไม่ได้ ก็ต้องมีผู้เสนอ คือ ส.ส. 250 คน เสนอว่าให้ล้มบัญชีที่มี และเอาบัญชีใหม่ และประธานรัฐสภา ก็เรียกประชุมรัฐสภา โดยรัฐสภาต้องมีมติ 500 เสียง จาก 750 เสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้เห็นชอบ เมื่อเห็นชอบก็จะมี ส.ส. 50 คน เสนอชื่อ และประชุมรัฐสภาอีกครั้ง เพื่อโหวตทั้งรัฐสภาว่าจะเอาชื่อไหน กระบวนการทำได้ แต่ซับซ้อน
เมื่อถามว่า ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะไปถึงจุดนั้นใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ตอบยากหรือไม่ยาก คุณฟังแล้วว่ายากหรือง่าย บางคนบอกอาจจะง่ายนิดเดียว เพราะสามารถทำได้ ก็ไปทำเอา แต่ก็จะมีอายุถึงเดือนมีนาคม 2566 เท่ากับอายุของสภาฯ ตนก็ไม่รู้จะมาพูดทำไมเรื่องนายกรัฐมนตรีสำรอง สำรองมีอยู่แล้วคือ 5 คน ที่ตนบอกไป ใครที่ไม่อยู่ในนี้ ไม่ใช่สำรองทั้งนั้น แต่อันนี้จะเรียกสำรองบอกไม่มี ก็ไม่ได้ มันก็มีอยู่แค่นี้ อย่างที่พูดกฎกติกาเป็นอย่างนั้น สำรองถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า สงสัยหรือไม่ที่มีการพูดเรื่องนายกรัฐมนตรีสำรอง หรือเป็นเพราะมีการประเมินว่านายกรัฐมนตรี จะถูกพิจารณาเรื่องนายกรัฐมนตรี 8 ปี จนทำให้เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้น นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่สงสัย เพราะเป็นปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นเสมอ เมื่อไม่มีอะไรทำก็จะเปิดวาทกรรมทางการเมืองออกมา เพื่อให้เกิดความสับสนเล่น ในอดีตตนยังเคยรู้จักใครบางคนที่อยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำ ทำให้สับสนเล่น โดยปล่อยคำพูดอะไรสักคำหนึ่ง และคำพูดหนึ่งนักข่าวก็พอใจที่จะตะครุบ เพราะว่าแปลกและไม่เคยได้ยิน ที่สุดท้ายก็หายไปกับสายลมแสงแดด
ดังนั้น เมื่อฟังจากความเห็นของ นายวิษณุ เครืองาม อย่างละเอียดก็พอสรุปได้ทันทีว่า นายกฯสำรองอะไรนั่น เป็นไปไม่ได้ หรือแค่ฝันยังไม่ได้เลย แต่หากพูดถึง “นายกรักษาการ” มันค่อยเป็นไปได้บ้าง แต่ก็ต้องภายใต้เงื่อนไขที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เจออุบัติเหตุสะดุดหกล้มเรื่อง “นายกฯ 8 ปี” และที่สำคัญ ยังมีอำนาจในการยุบสภาเสียด้วย แม้ว่าการเลือกตั้งที่จะตามมาจะยุ่งวุ่นวาย เพราะเชื่อว่าเวลานั้น (เดือนสิงหาคม) กฎหมายสำคัญสองฉบับยังไม่เสร็จ รวมไปถึงยังไม่มีนายกฯรักษาการคนไหนเคยยุบสภามาก่อน แต่หากพูดถึงความเป็นไปได้ ก็น่าจะมีแบบนี้แหละที่พอจะเป็นไปได้มากที่สุด
แต่ถึงอย่างไร มันก็เป็นแค่สายลมและแสงแดดอย่างที่ว่าไว้จริงๆ เพราะมันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน !!