xs
xsm
sm
md
lg

แจ้ง 7 ข้อหาหนักชายคลั่งยาบุกลานจอด "สุวรรณภูมิ" ทอท.ยอมรับมีช่องโหว่ ยันสกัดจับตามขั้นตอนสากล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผอ.สุวรรณภูมิแจงวิธีสกัดจับชายคลั่งยาบุกเข้าลานจอดเครื่องบินปฏิบัติตามขั้นตอนสากล เน้นเจ้าหน้าที่ ผู้โดยสารต้องปลอดภัย ยอมรับมีกายภาพบางจุดที่ต้องปรับปรุง ด้าน ตร.แจ้ง 7 ข้อหาหนัก พกอาวุธ มียาบ้า และบุกรุก

วันนี้ (4 พ.ค. 2565) นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. พร้อมด้วย พ.ต.อ.จิรวัฒน์ เปี่ยมปิ่นเศรษฐ ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ร่วมกันชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีผู้บุกรุกเข้าพื้นที่เขตการบินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 3 พ.ค. เวลาประมาณ 11.53 น. ทาง Control Post 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ชายดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาใกล้ ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปห้าม เพราะจุดดังกล่าวห้ามรถจักรยานยนต์เข้า เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าใกล้ ชายดังกล่าวได้ชักอาวุธปืนขึ้นมา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องหลบเข้าที่กำบังเนื่องจากไม่ทราบว่าเป็นอาวุธจริงหรือปลอม

ซึ่งในระหว่างนั้นมีรถยนต์ของสายการบินที่ผ่านการตรวจอยู่ที่ Control Post 3 ดังกล่าว และประตูได้เปิดให้รถยนต์ดังกล่าวเข้าพื้นที่ ชายดังกล่าวอาศัยจังหวะฝ่าเข้าไป พร้อมกับใช้อาวุธปืนขู่เจ้าหน้าที่ และได้เข้าไปในเขตลานบิน หรือ Airside ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ได้ติดตามตลอดเวลาและให้หน่วยสกัดในพื้นที่ดำเนินการทันที โดยจับกุมตัวได้ในเวลา 12.04 น. หรือดำเนินการควบคุมได้ประมาณ 10 นาที

นายกิตติพงศ์กล่าวว่า ชายดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์ไปและล้มลง สุดท้ายวิ่งขึ้นไปที่ประตูเทียบเครื่องบิน A4 ใช้ขวานจามไปที่ประตูกระจกแตก เจ้าหน้าที่ที่ติดตามเห็นและมั่นใจว่าอาวุธปืนเป็นของปลอม จึงตัดสินใจในวินาทีนั้นที่เข้าชาร์จ ซึ่งการตัดสินใจนั้นต้องมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ ผู้โดยสารต้องปลอดภัย และเพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกเข้าไปชั้นในอาคารผู้โดยสารได้ การปฏิบัติการทั้งหมดได้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของผู้โดยสาร รวมถึงความปลอดภัยในชีวิตของเจ้าหน้าที่ทุกนาย ดังนั้น ทั้งหมดได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้

นายกิตติพงศ์อธิบายถึงการสกัดจับและทักษะของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน เช่น การใช้รถยนต์วิ่งล้อมไปมานั้นเป็นหลักปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปตามการฝึก ไม่ได้ทำมั่วๆ การทำงานมีขั้นตอน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจที่ประตูไม่ได้พกอาวุธติดตัว แต่เมื่อเหตุเกิดก็มีการประสานงานกันเพื่อสกัด โดยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการได้มีการพูดคุยกับศูนย์สั่งการตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ต้องชาร์จเพื่อยุติเหตุการณ์ โดยเร็ว ไม่อยากเห็นภาพเขาหลุดเข้าไปด้านใน เหตุการณ์จะยิ่งบานปลาย เรามุ่งเน้นความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการพิจารณาในเรื่องการเพิ่มอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่ เช่น ปืนไฟฟ้า ซึ่งหลายสนามบินเริ่มนำมาใช้แล้ว

“ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ค.เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้จริงๆ แต่เมื่อหลุดเข้ามาในพื้นที่สนามบินแล้วจะต้องมีมาตรการจัดการ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ สนามบินต้องดำเนินการ ซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติ การป้องกันดูแลแผนเผชิญเหตุเป็นไปตามมาตรฐาน ICAO ผ่านการตรวจสอบ ทอท.ไม่ได้คิดเอง ยืนยันสุวรรณภูมิมีมาตรฐานการดูแลความปลอดภัยเป็นระดับสากล”

นายกิตติพงศ์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุได้รายงานให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ทราบทันที รมต.ให้เร่งดำเนินการส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ให้ทำตามกฎหมาย โดยกำชับให้มุ่งเน้นการให้บริการตามมาตรฐานและความปลอดภัย ผู้โดยสารต้องรู้สึกว่าปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สนามบินโดยฝ่ายมาตรฐานและฝ่ายรักษาความปลอดภัย จะต้องกลับมามองระบบรวมถึงกายภาพของสนามบินอีกครั้งว่าจะต้องมีการปรับปรุงอย่างไร เช่น แนวกั้นของ Control Post ที่เป็นแท่งๆ ป้องกันได้เฉพาะรถยนต์ก็อาจต้องมาดูแบบใหม่ที่เป็นแบบแผงป้องกัน เหมือนด้านหน้าสถานทูต เป็นต้น

ด้าน พ.ต.อ.จิรวัฒน์ ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เบื้องต้นได้แจ้งความดำเนินคดีทั้งหมด 7 ข้อหาต่อผู้ก่อเหตุ คือ 1. ใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใด กระทําการทำลายหรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรง ต่ออากาศยานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกของอากาศยาน

2. บุกรุก ด้วยไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปในสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย

3. ทำให้เสียทรัพย์

4. พาอาวุธ (ขวาน) ไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร

5. มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย

6. เสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1

7. ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจโดยการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย

พ.ต.อ.จิรวัฒน์กล่าวว่า เมื่อวานผู้ต้องหาพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อคืนนี้เจ้าหน้าที่ตรวจหาสารเสพติดในตัวผู้ต้องหา พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย เช้านี้เริ่มมีสติโต้ตอบ เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ในบางพลี มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ช่วงปี 2557 เคยโดนจับยา 2 คดี ทั้งนี้ ตามกำหนดแล้วต้องส่งศาลวันพรุ่งนี้

โดยการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 19 ข้อหาใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใดกระทำการอันอาจเป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยาน มีระวางโทษหนักอาจถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000-800,000 บาท












กำลังโหลดความคิดเห็น