เผยรายงานการประชุมคณะกรรมการ กสทช.สั่งปรับไทยรัฐทีวี 5 หมื่นบาท กรณีเสนอข่าวนายกฯ ถึงซาอุฯ ไร้เงา จนท.ระดับสูงต้อนรับ เข้าข่ายกระทบความมั่นคงตามมาตรา 37 ขณะเดียวกัน ให้ช่องวันระวังออนแอร์ละครกระเช้าสีดา ชี้มีเนื้อหารุนแรง อีกด้าน เตือนช่อง 7 ระวังใช้ภาพข่าว เหตุคนในภาพข่าวไม่ใช่มิจฉาชีพ เตือนช่อง TOP News ระวังเนื้อหารายการไม่ครบถ้วน เหตุ "ข่าวในพระราชสำนัก" มีปัญหาทางเทคนิค
วันนี้ (30 เม.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการ กสทช.ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 8/2565 เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองงานของ กสทช. ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ให้กำหนดโทษปรับทางปกครองแก่บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด ผู้รับใบอนุญาต ช่องไทยรัฐทีวี (ช่อง 32) เป็นจำนวน 50,000 บาท เนื่องจากการออกอากาศรายการไทยรัฐเจาะประเด็นเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ในหัวข้อ "นายกฯ ถึงซาอุฯ ไร้เงา จนท.ระดับสูงต้อนรับ" เข้าข่ายเนื้อหาสาระที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ปี 2551 ตามที่มีข้อร้องเรียนก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบผลการพิจารณา ให้มีหนังสือขอความร่วมมือไปยังบริษัท วัน สามสิบเอ็ด จำกัด ผู้รับใบอนุญาต ช่องวัน (ช่อง 31) ให้ใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอละครเรื่องกระเช้าสีดา (นำแสดงโดย นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี, ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล และกรีน-อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล) ให้สอดคล้องกับระดับความเหมาะสมในช่วงเวลาที่จะนำมาออกอากาศ หากบริษัทฯ จะนำละครดังกล่าวมาออกอากาศซ้ำ (Rerun) ให้ดำเนินการลดทอนเนื้อหาที่แสดงถึงการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม รวมถึงเนื้อหาที่แสดงพฤติกรรมและความรุนแรงต่อผู้อื่น ซึ่งนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. เห็นว่าเป็นเรื่องของการจัดเรตเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เพราะผู้ร้องเรียนระบุว่าเนื้อหาละครมีความรุนแรงและล่อแหลม เนื่องจากมีฉากการทำร้ายร่างกาย ใช้คำพูดหยาบคาย ไม่เหมาะกับเรต น.13 จึงเห็นควรพิจารณาว่าจะสามารถมีกระบวนการจัดเรตให้เหมาะสมได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการขอความร่วมมือในการปรับรายการ แต่ไม่มีการปรับเรต หากรายการได้รับการจัดเรตที่เหมาะสม และออกอากาศในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะไม่เป็นปัญหา แม้จะปรับหรือตัดฉากบางส่วนออกไป เนื้อหาละครโดยรวมก็ยังคงไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชนอยู่ดี
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบผลการพิจารณาให้มีหนังสือขอความร่วมมือไปยังบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ผู้รับใบอนุญาต ช่อง 7 เอชดี (ช่อง 35) ให้ใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอเนื้อหารายการ เนื่องจากมีข้อร้องเรียนกรณีรายการ "สนามข่าว 7 สี" เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการนำรูปพนักงานจ้างการไฟฟ้าตัวจริงมาประกอบการนำเสนอข่าวเตือนภัยมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นบุคคลของการไฟฟ้าเรียกเก็บเงินประชาชน โดยหลีกเลี่ยงการเปิดเผยใบหน้าของบุคคลในข่าวที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด เพื่อมิให้เป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น นายประวิทย์เห็นว่า สำนักงาน กสทช.ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงและวินิจฉัยก่อนว่าภาพบุคคลในข่าวนั้น ทางรายการได้มาอย่างไร เพราะถ้าเป็นทางทีมข่าวหามาเองก็ต้องรับผิดชอบไป แต่ถ้าได้รับมาจากการไฟฟ้าหรือทางอื่นใด อาจต้องพิจารณาว่ามีการตีความผิดหรือไม่ แต่ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงฯ มาตรา 40 ที่วรรคสองกำหนดว่า ให้คณะกรรมการส่งเรื่องพร้อมความเห็นของคณะกรรมการให้องค์กรควบคุมประกอบอาชีพหรือวิชาชีพตามมาตรา 39 ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี จึงทำให้กระบวนการคุ้มครองและเยียวยาผู้ถูกละเมิดไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ อาจจะต้องพิจารณาด้วยว่า จำเป็นหรือไม่ที่ต้องให้ทางรายการไปแก้ข่าวหรือไปชี้แจงข่าวให้ถูกต้อง ว่าคนในภาพข่าวไม่ใช่มิจฉาชีพ หรือถ้าหากมีการดำเนินการในส่วนดังกล่าวแล้ว ก็ขอให้เพิ่มข้อเท็จจริงมาด้วย
อีกด้านหนึ่ง ที่ประชุมยังเห็นชอบผลการพิจารณาให้มีหนังสือขอความร่วมมือไปยังบริษัท เอบีพีโอ จำกัด ผู้รับใบอนุญาต ช่อง TOP News เพื่อให้ใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอเนื้อหารายการให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ตลอดทั้งรายการ กรณีตรวจสอบพบการออกอากาศรายการข่าวในพระราชสำนัก เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา นำเสนอเนื้อหารายการไม่ครบถ้วน นายประวิทย์กล่าวว่า ทางบริษัทฯ ชี้แจงว่ามีปัญหาด้านเทคนิค เนื่องจากย้ายสถานที่และต้องติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด (ย้ายจากอาคารโมโม่ ย่านถนนวัชรพล กรุงเทพฯ ไปยังโครงการธนาซิตี้ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ) เป็นเหตุให้ออกอากาศบางรายการไม่ครบถ้วน ทางคณะอนุกรรมการผังรายการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นปัญหาทางด้านเทคนิคของบริษัทฯ จริง และเป็นเหตุสุดวิสัยที่มิได้เกิดจากความตั้งใจ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นความผิดหรือไม่อย่างไร ถ้าหากว่าไม่ใช่ความผิด ก็เห็นควรที่จะต้องไปแก้กฎหมายให้เป็นความผิด แต่ถ้าเป็นความผิดอยู่แล้ว ก็ควรที่จะใส่ข้อกฎหมายมาในระเบียบวาระให้ครบถ้วนและสื่อความได้ชัดเจน
อนึ่ง สำหรับกรณีการนำเสนอข่าว "นายกฯ ถึงซาอุฯ ไร้เงา จนท.ระดับสูงต้อนรับ" ดังกล่าว สืบเนื่องมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียเมื่อวันที่ 25-26 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเนื้อหารายการไทยรัฐเจาะประเด็น วันที่ 25 ม.ค. ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์เดินทางถึงประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อร่วมประชุมหารือในฐานะตัวแทนประเทศเป็นครั้งแรก ในรอบ 33 ปี หลังความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ต้องร้าวฉานจากคดีโจรกรรมเพชรซาอุฯ ซึ่งทางการซาอุดีอาระเบียส่งรองผู้ว่าการกรุงริยาดมารับนายกฯ ที่สนามบิน และเดินทางไปยังสถานที่ประชุม แต่ขณะเดียวกันทางการซาอุฯ ไม่ได้มีการออกข่าวเรื่องการเดินทางเยือนครั้งนี้แต่อย่างใด มีแค่การรายงานทั่วไปว่าซาอุดีอาระเบียต้องการที่จะผูกสัมพันธ์กับนานาประเทศทั่วโลก มีการปล่อยภาพบางส่วนในการประชุมเท่านั้นเอง ทำให้หลายฝ่ายมองว่าถึงแม้ทางการซาอุฯ จะมีท่าทีที่จะฟื้นความสัมพันธ์กับไทย แต่ก็ยังคงมีความตึงเครียดบางอย่างอยู่ สังเกตจากการที่มีเพียงแค่รองผู้ว่าการกรุงริยาด ถ้าเทียบตำแหน่งก็เหมือนรองผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เดินทางไปต้อนรับนายกรัฐมนตรีของไทย ในฐานะตัวแทนของประเทศ คนที่ได้พูดคุยหารือกันในเรื่องความสัมพันธ์หรือปัญหาต่างๆ ก็เป็นรองผู้ว่าการคนนี้เท่านั้นเอง ยังไม่ได้เจอกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ เลย ทำให้มีผู้ใช้ติ๊กต็อก (TikTok) ที่ต่อต้านรัฐบาล นำการเสนอข่าวดังกล่าวไปทำคลิปล้อเลียนเยาะเย้ย พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล
ทั้งที่ผู้ช่วยผู้ว่าการกรุงริยาดที่มาต้อนรับ คือ เจ้าชายโมฮาเหม็ด บิน อับเดล รอห์มัน (Prince Mohamed bin Abdel Rahman) และการเดินทางเยือนประเทศไทยนั้นได้รับคำเชิญจาก เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (Crown Prince Mohammad bin Salman) มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ พระราชวังอัลยามามา พร้อมกับมีพระราชปฏิสันถารกับนายกรัฐมนตรีในประเด็นต่างๆ ว่าด้วยการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ โดยการมาเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำเสนอข่าวผ่านทางสื่อมวลชนของซาอุดีอาระเบียอีกด้วย