1.“ธาริต” ขอศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษา รอบ 3 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบแจ้งข้อหา “มาร์ค-สุเทพ” สั่งฆ่า ปชช. อ้างติดโควิด ขอรักษาตัว 3 เดือน!
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 3 คดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 วรรคสอง
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเดือน ก.ค. 54-13 ธ.ค.55 จำเลยทั้งสี่ในฐานะพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สอบสวนและตั้งข้อหากับโจทก์ทั้งสอง ฐานสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ต้องรับโทษ จากการที่ ศอฉ.ออกคำสั่งให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ที่ชุมนุมขับไล่นายอภิสิทธิ์ ให้ออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ ขณะที่โจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษพวกจำเลยด้วย
ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษากลับให้จำคุกจำเลย คนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา หลังจากนั้นพวกจำเลยได้ยื่นฎีกา
เมื่อถึงกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ปรากฏว่า นายธาริต จำเลยที่ 1 ไม่เดินทางมาศาล โดยทนายจำเลยได้ยื่นคำร้อง และพยานหลักฐานใหม่ในคดี พร้อมวางเงินเพื่อบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์คนละ 3 แสนบาท และทนายความนายธาริต ยังได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปนาน 3 เดือน โดยให้เหตุผลว่า นายธาริต มีอาการอ่อนเพลีย ติดเชื้อโควิด ต้องขอพักรักษาตัว
ขณะที่ทนายความโจทก์ทั้งสองคัดค้านโดยชี้ว่า พยานหลักฐานในคดีมีอยู่แล้วในสำนวน แต่จำเลยกลับปล่อยเวลาเนิ่นนานไม่ยอมยื่นเข้ามาในสำนวนคดี แต่เพิ่งมายื่นภายหลังที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาออกมาแล้ว ถือว่าเป็นการประวิงคดี นอกจากนี้ทนายความโจทก์ยืนยันไม่ขอรับเงินจำนวนคนละ 3 แสนบาท เนื่องจากเป็นสิทธิฟ้องร้องทางแพ่ง และเป็นคดีอาญา ไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้
ส่วนที่นายธาริต จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาฎีกาออกไปอีก 3 เดือน เนื่องจากมีอาการหายใจไม่ออก ขอพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 3 เดือนนั้น ทนายความโจกท์ทั้งสองไม่เห็นด้วย เนื่องจากระยะเวลานานเกินไป และก่อนหน้านี้ก็ขอเลื่อนพักรักษาตัวในโรคอื่นลักษณะเช่นนี้มาแล้ว
ด้านศาลสอบทนายโจทก์ที่ 1-2 แล้ว แถลงร่วมกันว่า ไม่คัดค้านอาการป่วยของจําเลยที่ 1 แต่ขอคัดค้านว่า การที่จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีออกไป 3 เดือนนั้น เป็นเวลานานเกินไป ประกอบกับในนัดที่แล้วจำเลยที่ 1 ก็ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างอาการป่วย ทำให้ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ในลักษณะเดียวกัน การที่ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ออกไปเป็นระยะเวลานาน จึงมีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ขอให้ศาลพิจารณาอ่านคําพิพากษาลับหลังจําเลยที่ 1
ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เนื่องจากคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ประกอบกับจำเลยที่ 1 มีอาการป่วย ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ เห็นควรส่งคำร้องของจำเลยที่ 1 พร้อมเอกสารแนบท้ายสำนวน และคำพิพากษาศาลฎีกา ไปยังศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งก่อน หากศาลฎีกามีคำสั่งประการใด จะแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป
ด้านนายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความนายอภิสิทธิ์ โจทก์ที่ 1 เผยว่า ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา แต่เนื่องจากนายธาริตยื่นคำร้องเข้ามา 3 ฉบับ ฉบับแรกเป็นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกา โดยแนบเอกสารเข้ามาเพื่อประกอบการพิจารณาอีก ซึ่งเราคัดค้านว่า เอกสารดังกล่าวที่เอามายื่นเป็นเอกสารนอกสำนวน ที่สามารถยื่นได้ในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ แต่เพิ่งจะมายื่นเมื่อศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จแล้ว
คำร้องฉบับที่ 2 จำเลยได้วางเงินบรรเทาผลร้ายให้กับจำเลยทั้งสองคนละ 3 แสนบาท แต่เราปฏิเสธไม่ขอรับเงินจำนวนดังกล่าว เพราะว่ามีสิทธิฟ้องในทางแพ่งอยู่แล้ว ส่วนจะฟ้องคดีแพ่งหรือไม่ก็เป็นสิทธิของโจทก์ อีกทั้งการรับเงินในคดีอาญา ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ส่วนคำร้องสุดท้ายขอให้เลื่อนคดีอ้างว่า นายธาริตติดโควิด-19 เราไม่ได้คัดค้านประเด็นการติดโควิด-19 แต่ที่บอกว่าขอเลื่อนคดีไปอีก 3 เดือนนั้น เราดูว่านานเกินไป จึงคัดค้านและขอให้พิจารณาคดีลับหลัง แต่เนื่องจากนายธาริต จำเลยได้ยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อขอให้ส่งสำนวนคดีไปให้ศาลฎีกาพิจารณา วันนี้ศาลอาญาจึงต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลฎีกาพิจารณาว่า จะอ่านคำพิพากษาลับหลังได้หรือไม่ ทำให้คดีนี้ต้องล่าช้าออกไป
อนึ่ง คดีนี้ ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2564 แต่เมื่อถึงกำหนด นายประกันของนายธาริต จำเลยที่ 1 อ้างว่า เพิ่งได้รับแจ้งว่า นายธาริตย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จึงไม่สามารถนำตัวจำเลยที่ 1 มาส่งศาลเพื่อฟังคำพิพากษาได้ จึงขอให้ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา ด้านศาลได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 ก.พ.2565 แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตได้ให้ทนายความยื่นศาลขอเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีก โดยอ้างว่า ป่วย เกิดอาการชักเกร็ง หมดสติ 5 นาที พอรู้สึกตัว ก็แขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง อยู่ระหว่างรักษาตัวที่ รพ.พญาไท 2 ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 21 เม.ย. แต่เมื่อถึงกำหนด นายธาริตก็ให้ทนายขอศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีกเป็นรอบที่ 3 โดยอ้างว่า ป่วยโควิด ขอพักรักษาตัว 3 เดือน ซึ่งทนายฝ่ายโจทก์มองว่า จำเลยส่อประวิงคดี เพราะขอเลื่อนนานมากถึง 3 เดือน และเคยขอเลื่อนโดยอ้างป่วยมาก่อนหน้านี้แล้ว ต้องลุ้นว่า หลังจากนี้ศาลฎีกาจะมีคำสั่งอย่างไร จะอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยตามที่ฝ่ายโจทก์ร้องขอหรือไม่
2.ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ "ยิ่งลักษณ์" หนีคดีทุจริตจัดโรดโชว์ไทยแลนด์ 240 ล้าน เอื้อประโยชน์สื่อบางสำนัก!
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิจารณาคดีครั้งเเรก หรือสอบคำให้การคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 3 บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 4 บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 5 นายระวิ โหลทอง กรรมการบริษัท สยามสปอร์ต จำเลยที่ 6 ข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต โดยมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ในการจัดจ้างโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 วงเงิน 240 ล้านบาท เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัท มติชน และบริษัท สยามสปอร์ต จัดทำโครงการดังกล่าว ซึ่งผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
เป็นที่น่าสังเกตว่า จำเลย 5 คนเดินทางมาศาล ขาดเพียง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ที่ไม่มาศาล แต่ได้ตั้งนายนพดล หลาวทอง เป็นทนายความมาสู้คดี เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ศาลฯ จึงให้ออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 วรรคหนึ่ง
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ ได้อ่านอธิบายคำฟ้องให้จำเลยที่ 2-6 ฟัง ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอยื่นคำให้การเป็นหนังสือเพิ่มเติมภายหลัง ด้านศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 12 ก.ย. 2565 เวลา 09.30 น. โดยศาลฯ ระบุเหตุผลที่นัดนานว่า เนื่องจากรอติดตามจับจำเลยที่ 1 ภายใน 3 เดือนนับแต่ออกหมายจับ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 วรรคสอง
นอกจากนี้ ศาลได้อนุญาตให้พิจารณาคดีลับหลังนายระวิ โหลทอง จำเลยที่ 6 เนื่องจากนายระวิ แจ้งเหตุผลด้านสุขภาพว่า ตัวเองอายุ 80 ปี และมีโรคประจำตัว
อนึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ระหว่างหลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา คดีทุจริตจำนำข้าว ซึ่งศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2560
3. “จุรินทร์” แถลงขอโทษ ปชช.กรณี “ปริญญ์” พร้อมประกาศลาออก 2 ปธ.คกก. ด้านตำรวจเตรียมออกหมายจับ “ปริญญ์” เพิ่ม!
ความคืบหน้ากรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ออกมาเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า มีหญิงหลายรายถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ลวนลาม บางรายถูกข่มขืน ซึ่งต่อมา หญิงหลายรายได้ทยอยเผยตัวและเข้าแจ้งความดำเนินคดีรองหัวหน้าพรรคดังกล่าว ขณะที่ายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลง (14 เม.ย.) ขอลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรค พร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันตนไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่มีนิสัยเช่นนั้น ขณะเดียวกัน กระแสสังคมก็จับตาว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์จะขอโทษกับกรณีนายปริญญ์หรือไม่
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงข่าวว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอโทษต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของพรรค และว่า ในฐานะหัวหนาพรรค ที่มีส่วนสำคัญในการนำพานายปริญญ์ เข้าพรรค แม้กระบวนการจะต้องผ่านการพิจารณากรรมการบริหารพรรค และการให้ดำรงตำแหน่ง จะต้องผ่านที่ประชุมพรรค และยังไม่สามารถทราบคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่า จะเกิดเหตุใดขึ้น ดังนั้น ในนามหัวหน้าพรรค จะต้องรับผิดชอบ และจะต้องร่วมกับคณะกรรมการบริหารพรรคแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด โดยพรรคมีจุดยืนชัดเจนในการต่อต้านการคุกคามทางเพศ และต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว หรือเลือกปฏิบัติจากความแตกต่างระหว่างเพศ
นายจุรินทร์ ย้ำด้วยว่า กรณีของนายปริญญ์ พรรคจะไม่เข้าไปปกป้อง และขอให้สาธารณชนสบายใจได้ว่า พรรคจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมใดๆ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง และจะไม่เพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และยอมรับว่า เป็นบทเรียน ที่จะต้องแก้ไขปรับปรุง เพิ่มกระบวนการตรวจสอบ เพื่อให้สังคมมั่นใจกระบวนการของพรรคในอนาคต โดยพรรคจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น แม้นายปริญญ์จะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคแล้ว แต่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไขปัญหา และเยียวยาให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในพรรค นอกเหนือจากคุณสมบัติเดิมที่กำหนดไว้แล้ว 21 ข้อ ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมถึงปัญหาชู้สาวด้วย โดย น.ส.รัชดา ธนาดิเรก กรรมการบริหารพรรค จะเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ยังแจ้งให้ทราบว่า ตนจะขอลาออกจากการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายสตรีแห่งชาติ เพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบต่อหน้าที่ และขออภัยนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนการแถลงข่าว ส่วนสาเหตุที่ไม่ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค ตนมีการไตร่ตรอง 2 แนวทาง ซึ่งหากลาออก ก็จะกลายเป็นการทิ้งปัญหา จึงคิดว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ก็จะต้องแก้ปัญหา ไม่ต้องให้กรรมการบริหารชุดอื่นต้องมารับผิดชอบ
ทั้งนี้ นายจุรินทร์ยอมรับว่า ปัญหานายปริญญ์ที่เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับผลกระทบมาก และในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ปัญหานี้ก็ได้สร้างผลกระทบมากที่สุด แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้าหรือไม่ แต่ตราบใดที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ยังทำหน้าที่ จะต้องขับเคลื่อนพรรคให้เดินไปข้างหน้า นำพรรคสู่การเลือกตั้ง ไม่หนีปัญหา โดยจะต้องดำเนินการอย่างสุดกำลังความสามารถ และหวังว่า ในอนาคตจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีขึ้นจากประชาชน แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน อาจทำให้พรรคได้รับผลกระทบ แต่ตนเองและกรรมการบริหารพรรค ก็จะต้องนำพาพรรคผ่านไปให้ได้ และขับเคลื่อนพรรคให้ดีที่สุด
นายจุรินทร์ ยังชี้แจงสาเหตุที่ออกมาแถลงข่าวต่อสาธารณชนล่าช้าด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ตนเองให้ได้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไปแล้ว และได้ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อไปปฏิบัติราชการ แต่ให้มอบหมายให้บุคลากรของพรรค ออกมาแถลงข่าวอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น จะกระทบต่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานครหรือไม่นั้น นายจุรินทร์ ชี้แจงว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. เป็นหน้าที่ของรองผู้อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของพรรค ซึ่งผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ก็มั่นใจว่า ทุกคนที่มีหน้าที่จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด
สำหรับยอดผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายปริญญ์นั้น เมื่อวันที่ 22 เม.ย. พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. เผยว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายในคดีทั้งหมด 15 ราย แบ่งเป็นคดีข่มขืน 3 ราย อนาจาร 7 ราย ข่มขืนและอนาจาร 1 ราย อนาจารและพรากผู้เยาว์ 1 ราย ขาดอายุความ 1 ราย คดีต่างประเทศ 1 ราย และกำลังพิจารณาว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ 1 ราย ซึ่งคดีที่ สน.ลุมพินี มี 9 ราย โดยมีคดีของผู้เสียหายที่มีคลิปเสียงการสนทนากับผู้ต้องหา ซึ่งตอนแรกผู้เสียหายประสงค์ให้การเป็นพยานเท่านั้น เพราะได้รับการชดใช้มาส่วนหนึ่งแล้ว แต่ตำรวจพิจารณาแล้วเป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ จึงกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อรับเป็นคดี
ส่วนกรณีทนายษิทรา อ้างว่า มีนายตำรวจยศพลตรีเข้ามาแทรกแซงคดีนั้น พล.ต.ต.ไตรรงค์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 เม.ย. พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผกก.สน.ลุมพินี ได้คุยกับมารดาผู้เสียหายในคดีแรก ยังยืนยันที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ซึ่งตำรวจนายนี้เป็นข้าราชการบำนาญเกษียญราชการที่ฝ่ายผู้เสียหายมีความเคารพนับถือและรู้จักมานาน ยืนยันว่า อดีตตำรวจนายนี้ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับคดีหรือแม้แต่ติดต่อพนักงานสอบสวนเข้ามา โดยฝ่ายผู้เสียหายยังคงเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ ยังไม่มากลับคำให้การหรือถอนการแจ้งความ เพียงแต่ต้องการความเป็นส่วนตัว เชื่อว่าทนายตั้มอาจเข้าใจผิด
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ไตรรงค์ ยืนยันว่า “นับตั้งแต่รับคดีวันแรก ไม่มีใครเข้ามายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือกดดันการทำงานของตำรวจ ซึ่ง ผบ.ตร.กำชับให้ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม รวดเร็วและรอบคอบ โดยคดีแรกที่รับไว้ จะปิดสำนวนได้ในเวลาไม่นาน เพียงแต่รอหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และการพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา โดยในสัปดาห์หน้าจะมีความคืบหน้าในการขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม”
4. "อัจฉริยะ" เปิดหลักฐาน "แตงโม" ไม่ได้ตกจากท้ายเรือ เชื่อมีขบวนการสร้างหลักฐานเท็จ แจ้งจับตำรวจภาค 1 -สภ.นนทบุรี ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ!
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้แถลงเปิดหลักฐานคดีแตงโมว่ามีพิรุธ มีขบวนการสร้างหลักฐานเท็จ โดยนายอัจฉริยะได้เปิดภาพคลิปกล้องวงจรปิดที่อ้างว่า แตงโมไม่ได้ตกจากเรือที่บริเวณด้านท้ายเรือ โดยนายวัชรไกรศร เกตุจรัส ผู้เชี่ยวชาญด้านแสงและเงา วิเคราะห์จากภาพกล้องวงจรปิดที่ได้จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต หรือ กฟผ. ในเวลา 22.34 น. ของวันเกิดเกตุ ระบุว่า ช่วงเวลาดังกล่าวให้สังเกตแสงสว่างที่ท้ายเรือจะมีเงาเป็นจุดดำ ซึ่งนายอัฉริยะ อ้างว่า เงานั้นคือแตงโมอยู่ท้ายเรือ ผ่านไป 10 วินาทีเงานั้นหายไป ซึ่งวิเคราะห์จากภาพดังกล่าวว่า แตงโมได้ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในตัวเรือ เชื่อว่าแตงโมน่าจะตกจากหัวเรือ และแซนให้การเท็จกับทางพนักงานสอบสวน เป็นการบิดเบือนพยานหลักฐาน มั่นใจว่าคดีดังกล่าวเป็นการฆาตกรรม ไม่ใช่เกิดจากอุบัติเหตุแน่นอน
นายอัฉริยะ ยังตั้งข้อสังเกตกรณีมีการพบเส้นผมที่ตำแหน่งด้านท้ายเรือและด้านข้างส่วนท้ายเรือทั้งหมดจำนวน 3 เส้นที่มีการระบุว่าเป็นเส้นผมแตงโม ทั้งที่การค้นหาพยานหลักฐานหลายครั้งก่อนหน้า กลับไม่พบเส้นผมของผู้ใด จึงตั้งข้อสงสัยว่า เป็นการสร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมา เพราะไม่ได้ตรวจพบตั้งแต่วันแรก อาจทำให้รูปคดีบ่งบอกว่า การตกเรือของแตงโมเกิดจากอุบัติเหตุ
ส่วนเรื่องบาดแผลที่ต้นขาด้านขวาของแตงโม นายอัจฉริยะ เชื่อว่า ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ โดยอ้างจากบทวิเคราะห์จากศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎ พบว่า เกิดจากของมีคม ข้อสังเกตลักษณะบาดแผลของแตงโมเป็นลักษณะขอบบาดแผลรอยตัดคมมาก และไม่มีรอยช้ำเกิดรอบแผล ต้องเป็นระดับมีดผ่าตัด คัตเตอร์ กระจกหรือขวดแก้วแตก กรีดหรือบาด แต่บาดแผลที่เกิดจากใบพัดเรือขณะกำลังหมุนจะมีลักษณะฉีกขาดหลายแผลลึกและขนานกัน
ทั้งนี้ วันต่อมา (21 เม.ย.) นายอัจฉริยะ ได้ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. และ พ.ต.อ.พิทักษ์ วาฤทธิ์ ผกก.2 บก.ปปป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับคณะพนักงานสอบสวน บช.ภ.1 สภ.นนทบุรี และผู้เกี่ยวข้องในคดีแตงโม ตามคำสั่งของ ผบช.ภ.1 ฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ม.131 และ ม.132 โดยนำสำเนาภาพถ่ายและคลิปวิดีโอวงจรปิดมามอบไว้เพื่อประกอบการพิจารณาคดี
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า หลังแตงโมเสียชีวิต พนักงานสอบสวน สภ.นนทบุรี ได้ประสานเจ้าหน้าที่ พฐ.เข้าเก็บวัตถุพยานในเรือสปีดโบ๊ท ยี่ห้อโคบอลต์ สีขาวน้ำเงิน ที่จอดอยู่ภายในอู่เอ็นบีซีโบ๊ตคลับ เลขที่ 49 หมู่ 3 ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี ในวันที่ 26 ก.พ. 65 เวลา 11.00 น. วันที่ 27 ก.พ. เวลา 18.00 น. และวันที่ 28 ก.พ. เวลา 13.00 น. รวม 3 ครั้ง ไม่เจอเส้นผมของแตงโม แต่ในวันที่ 1 มี.ค. เวลา 16.30 น. พนักงานสอบสวน สภ.นนทบุรี และชุดสืบสวน บช.ภ.1 ประสานเจ้าหน้าที่ พฐ.เข้าเก็บวัตถุพยานในเรือลำเดียวกันเป็นครั้งที่ 4 กลับพบเส้นผมแตงโมอยู่ในซอกพื้นเรือด้านท้ายฝั่งซ้าย 1 เส้น ใต้พื้นเรือด้านหลังฝั่งขวา 1 เส้น และบริเวณท้ายเรืออีก 1 เส้น ซึ่ง 2 เส้นหลังอยู่ในตำแหน่งใต้ผิวน้ำ จึงเกิดคำถามว่า 3 ครั้งแรก ทำไมตรวจไม่พบทั้งที่มีเจ้าหน้าที่หลายคน และอยู่ในจุดที่สังเกตง่าย ทำไมเส้นผมแตงโมอยู่แค่บริเวณท้ายเรือ เป็นไปได้หรือที่เส้นผมจะไม่ถูกกระแสน้ำซัดขณะเรือแล่น เหตุใดเส้นผมถึงไม่ปลิวไปตามกระแสลมพัด เมื่อนำเรือมาไว้บนบก เส้นผมแตงโมมาจากไหนใครเป็นคนเอามาใส่เพื่อสร้างพยานหลักฐานเท็จ
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พนักงานสอบสวน สภ.นนทบุรี ยังประสานเจ้าหน้าที่ พฐ. เข้าเก็บวัตถุพยานในเรือสปีดโบ๊ทลำเดียวกันอีกเป็นครั้งที่ 5 ในวันที่ 2 มี.ค. เวลา 23.00 น.กลับพบแก้วไวน์และแก้วแชมเปญเป็นหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งที่ก่อนหน้าตรวจไม่พบ ทำให้ตนเชื่อว่า คดีนี้มีขบวนการสร้างพยานหลักฐานเท็จ โดยมุ่งเน้นให้สอดคล้องกับคำให้การของนายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน (ที่อ้างว่า แตงโมมาจับขาตนเพื่อปัสสาวะท้ายเรือ)
นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า “คดีนี้ทั่วโลกให้ความสนใจ แต่คณะพนักงานสอบสวนปล่อยให้มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ และไม่ทำตามระเบียบในการอายัดของกลาง เช่น การตรวจหาเส้นผมที่ต้องใช้เวลาถึง 4 ครั้ง ทั้งที่เรือไม่ได้มีขนาดใหญ่ อีกทั้งการจัดเก็บเรือลำเกิดเหตุที่ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้า แต่กลับนำไปตากแดดไว้ และปล่อยให้บุคคลภายนอกเข้ามาได้ เมื่อถูกทวงถามก็ย้ายไปอีกที่หนึ่งและใช้ผ้าคลุม จึงอาจเชื่อได้ว่า เส้นผมที่พบนั้น เป็นพยานหลักฐานเท็จที่สร้างขึ้นมา”
ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.ได้รับเรื่องนายอัจฉริยะไว้ ก่อนนำเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
5. ศาลมุกดาหาร พิพากษาจำคุก “ลุงพล” 2 ปี 3 เดือน รอลงอาญา ปรับ 4.5 หมื่น คดีบุกรุกป่าสร้างพญานาค ขณะที่ 2 ยูทูบเบอร์โดนด้วย!
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น พร้อมด้วยนายสุรชัย ชินชัย ทนายความ นายสมเกียรติ โรจนวรกมล ทนายความ ได้เดินทางมาที่ศาลจังหวัดมุกดาหารเพื่อฟังคำพิพากษาคดีบุกรุกป่าสร้างวังพญานาค โดยมีเหล่ายูทูบเบอร์เดินทางมาให้กำลังใจที่บริเวณหน้าศาลจำนวนมาก
คดีนี้ นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล และนายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) และนายนิคม (สงวนนามสกุล) สองยูทูบเบอร์ ถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันทำไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 11 ร่วมกันทำไม้หวงห้ามในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 14
ทั้งนี้ ศาลพิพากษาจำคุกนายไชย์พล หรือลุงพล จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 3 เดือน ปรับ 45,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วนยูทูบเบอร์ทั้ง 2 คน จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 20,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาคนละ 2 ปี พร้อมกันนี้ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายในการตัดไม้ในเขตป่าสงวนแก่กรมป่าไม้จำนวน 23,054 บาท และให้รื้อถอนรูปปั้นพญานาคภายใน 30 วัน
นายสมเกียรติ โรจนวรกมล ทนายความ เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ศาลมองเป็นพื้นที่ป่า แต่จำเลยสู้เรื่องเจตนา กับสู้เรื่อง ส.ค.1 เนื่องจากเอกสาร ส.ค.1 ไม่มีต้นฉบับ มีแต่ตัวสำเนาอ้างส่งศาล และความน่าเชื่อถือสู้ พ.ร.บ.ป่าไม้ที่ประกาศไปไม่ได้ จึงตัดสินว่าจำเลยมีความผิดจริง แต่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี เนื่องจากเห็นควรให้โอกาสกลับเนื้อกลับตัว และเสียค่าปรับไป ส่วนยูทูบเบอร์อีก 2 คน แม้จะอ้างว่าเป็นที่ดินของลุงพล แต่ศาลมองว่า ยูทูบเบอร์ทั้งสองมาอยู่นานแล้ว น่าจะรู้ว่าเป็นที่ป่า นายสมเกียรติ กล่าวด้วยว่า คดีนี้ คงต้องส่งต่อศาลอุทธรณ์เพื่อวินิจฉัยต่อไป
สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้มุกดาหารเข้าแจ้งข้อกล่าวหาต่อนายไชย์พล หรือลุงพล พร้อมยูทูบเบอร์ 2 คน ในข้อหาตัดไม้ในเขตป่าสงวนดงภูพาน โดยมีหลักฐานเป็นคลิปยูทูบเบอร์กำลังตัดต้นกระถินป่า 4 ต้น ตรงจุดสร้างพญานาคและปรับพื้นที่ หลังจากคลิปการตัดไม้ของนายไชย์พล พร้อมกับมียูทูบเบอร์เป็นคนช่วยตัดช่วยลากต้นไม้ ถูกเผยแพร่ ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจากหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มห.2 (ดงหลวง) เข้ามาตรวจสอบ และเก็บหลักฐาน พบว่า เป็นต้นกระถินป่า และได้รับการยืนยันว่า เป็นต้นไม้ขึ้นเองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงภูพาน จ.มุกดาหาร