สู้แบบอุทิศชีวิต! “ทนายตั้ม” ลั่น จัดหนักจัดเต็ม สู้จนวันสุดท้ายของชีวิต ขอบคุณแฟนคลับที่ติดตาม “แทนคุณ” ผิดหวัง พร้อมขอโทษประชาชน ยินดีช่วยเหลือเหยื่อไม่ต้องกลัวอิทธิพล “จุรินทร์” รับผิด ลาออก “2 ปธ.บอร์ด”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (19 เม.ย.) จากกรณีเกิดเหตุมีผู้เสียหายหลายรายกล่าวหา นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ระบุว่า
ถ้าเป็นแฟนคลับที่ติดตามผมมาตลอด จะรู้ดีว่า เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ที่เป็นประเด็นร้อนในสังคม ผมจัดหนักหมด ลูกความหรือชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือจะยากดีมีจน คู่กรณีจะเป็นตาสีตาสา ยัน ผบ.ตร. ถ้าคดีมันพอมีมูลหลังจากตรวจสอบแล้ว ผมจัดหนักจัดเต็มเสมอ บางครั้งถึงขั้นโดนหมายจับแบบฉุกเฉิน เพราะไปขัดแข้งขัดขาใคร
เพราะเชื่อว่า ถ้ามีใครสักคนที่มีปากมีเสียงในสังคม ได้พูดแทนคนเหล่านี้ มันคือเรื่องที่สมควรทำ ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมเป็นข่าวบ่อยครั้ง เพราะจับแต่เรื่องใหญ่ๆ ไม่มีสักเรื่องที่ทำเพื่อตัวเอง เพราะบ้านเมืองมันเป็นแบบนี้ ที่มีความเหลื่อมล้ำในเรื่องฐานะและเรื่องเพศ
และผมสัญญา จะสู้แบบนี้จนวันสุดท้ายของชีวิต ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกัน และยังอยู่เคียงข้างกัน ถึงแม้หลายครั้งผมจะถูกดิสเครดิต ใส่ร้าย ต้องสู้คดีกันหลายปี จนพ้นมลทิน (สยามรัฐออนไลน์)
ขณะเดียวกัน นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม ระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวถึงกรณีข้อกล่าวหาของนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า
“หลายวันนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนถึงคดีของอดีตรองหัวหน้าในแง่มุมต่างๆ และเท่าที่ประมวลจากสิ่งที่ได้ฟังคำสัมภาษณ์และสืบหาข้อมูลด้านต่างๆ แล้ว ใช้วิจารณญานของผม
ทั้งในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ และร่วมผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของพรรค และผมเป็นคนจัดงาน “รักไร้รุนแรง” เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเพศวิถี ที่เชิญอดีตรองหัวหน้ามาเสวนาด้วย รวมทั้งที่ได้ทำงานองค์กรต่างๆอย่างเข้มข้น และที่สำคัญเหนืออื่นใดในฐานะ “มนุษย์” คนหนึ่ง
ผมรู้สึกเสียใจอย่างมากและผิดหวังอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการ “ขอโทษ” พี่น้องประชาชนจากใจจริง เป็นการขอโทษอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพราะรู้สึกสำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในฐานะคนเคยร่วมองค์กรเดียวกันกับผู้ถูกกล่าวหา ขอโทษที่ทำให้ประชาชนเสียความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในฐานะนักการเมือง
ผมอยากขอโทษไปถึงผู้ถูกกระทำทุกคน ครอบครัว ผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ได้รับผลกระทบ เกิดบาดแผลทั้งกายและใจทั้งอดีตและปัจจุบัน
อยากขอโทษที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แม้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะยังไม่ถูกตัดสิน แต่ผมเชื่อว่า มีมูลความจริงแห่งการกระทำผิดนั้น และหวังว่ากระบวนการยุติธรรมจะลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจังและเด็ดขาด
และเรื่องนี้จะไม่จบเพียงเท่านี้ ผมและทีมงานด้านสิทธิมนุษยชนของพรรค ยังคงอยากหาทางช่วยเหลือผู้ถูกกระทำในรายอื่นๆ โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่ออิทธิพลใดๆจากใครทั้งสิ้น ติดต่อ อินบ็อกซ์ มาหาผมได้ตลอด
ผมขออภัยและขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ถูกกระทำ และขอให้กระบวนการยุติธรรมทำงานอย่างเต็มที่เพื่อนำความจริงให้ปรากฏและดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดต่อไป
แทนคุณ จิตต์อิสระ
ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วันนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. พร้อมด้วย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค แถลงข่าวภายหลังเกิดเหตุมีผู้เสียหายหลายรายกล่าวหา นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป. กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ
โดย นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกราบขอโทษต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในกรณีที่เกี่ยวข้องมาถึงบุคลากรของพรรค ในฐานะหัวหน้าพรรค ขอเรียนว่า ตนมีส่วนสำคัญนำ นายปริญญ์ เข้าพรรค แม้กระบวนการจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) และต้องได้ลงคะแนนในที่ประชุมใหญ่ก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์ในยุคที่ตนเป็นหัวหน้า หนีไม่พ้นต้องรับผิดชอบ นอกจากนี้ หนีไม่พ้นต้องร่วมกับคณะ กก.บห. แก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นจุดยืนของพรรค ขอย้ำพรรคมีจุดยืนชัดเจนต่อต้านคุกคามทางเพศ พรรคมีความชัดเจนในการต่อต้านการใช้ความรุนแรง เด็ก สตรี และครอบครัว ต่อต้านการเลือกปฏิบัติระหว่างเพศ พรรคจะไม่เข้าไปปกป้อง ขณะเดียวกัน ขอเรียนให้ทราบเพื่อความสบายใจ พรรคจะไม่เข้าไปแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรม เพราะถือว่ากระบวนการจะทำหน้าที่พิสูจน์ข้อเท็จจริง ที่สำคัญ พรรคจะไม่เพิกเฉยดูดายต่อสถานการณ์นี้
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่จะดำเนินการ คือ พรรคได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น แม้นายปริญญ์จะลาออกไปแล้วก็ตาม โดยคณะกรรมการจะตรวจสอบข้อเท็จจริง กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยา รวมถึงมาตรการป้องกันด้วย โดยตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้ามาทำหน้าที่ในพรรค นอกเหนือที่กำหนดไว้ 21 ข้อ โดยจะมอบหมายให้ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก กก.บห. ทำหน้าที่เป็นประธาน รวมทั้งพรรคจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ โพสต์ในไลน์ของพรรค โดยมอบให้ นายนราพัฒน์ แก้วทอง กก.บห. เป็นประธาน
“ในฐานะที่ผมดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายสตรีแห่งชาติ เพื่อป้องกันเกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ ผมจะขอลาออกจากประธานคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดต่อไป และต้องขออภัยท่านนายกฯด้วยที่ยังไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบก่อนแถลงข่าว”
เมื่อถามว่า ตั้งแต่เป็นหัวหน้าพรรคพูดได้หรือไม่ว่า กรณีนายปริญญ์ทำให้พรรคได้รับผลกระทบมาก หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงว่า ขณะที่ตนดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต้องถือว่าทำให้พรรคได้รับผลกระทบ และส่งผลกระทบความเสียหายมากทีเดียว ส่วนกรณีการตรวจสอบการโพสต์เรื่องชู้สาวในกลุ่มไลน์ของพรรคจะดำเนินการอย่างไรนั้น ขอให้คณะกรรมการชุดของนายนราพัฒน์ ได้ทำหน้าที่ก่อน
เมื่อถามว่า ทำไมถึงเพิ่งออกมาชี้แจง นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ต้น แต่อาจจะไม่เป็นประเด็นใหญ่ และตนอยู่ในช่วงไปปฏิบัติภารกิจในต่างจังหวัด แต่ก็ได้มอบหมายบุคลากรของพรรคออกมาแถลงข่าวหลายครั้งก่อนหน้านี้
ถามว่า มีการพูดคุยกับ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ บิดาของนายปริญญ์บ้างหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตอบว่า ไม่ได้คุยกับนายศุภชัย เพราะท่านไม่สะดวกรับโทรศัพท์ ซึ่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่านายศุภชัยไม่มีส่วนไปเกี่ยวข้องและไม่ใช่คนที่จะไปใช้อำนาจหรืออิทธิพลแทรกแซงใดๆ
ถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจะทำให้ผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นไปโดยลำบากหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนไม่สามารถตอบได้ แต่ตราบใดที่เป็นหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ ต้องผลักดันให้พรรคเดินต่อไปข้างหน้า และเมื่อมีอุปสรรค ก็ต้องแก้ปัญหา เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง
เราก็จะต้องทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ และหวังว่า ในอนาคตจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีขึ้นจากคนไทยทั้งประเทศ แต่สถานการณ์นี้อาจจะทำให้พรรคได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะตนที่จะต้องผ่านมันไปให้ได้ โดยจะขับเคลื่อนพรรคไปในทิศทางที่ดีที่สุด
ถามต่อว่า มีกระแสสังคมเรียกร้องให้ คณะกรรมการบริหารพรรค และหัวหน้าพรรคแสดงความรับผิดชอบ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เราได้ไตร่ตรอง 2 แนวทาง แต่สุดท้ายก็มี 2 มุม หากอยู่ๆ ก็ลาออกแล้วทิ้งปัญหาไว้ ก็จะเป็นการหนีปัญหา นั่นคือ ความไม่รับผิดชอบ เราต้องแก้ปัญหาให้ลุล่วง ไม่ใช่ทิ้งปัญหาให้คนรุ่นหลัง
ถามด้วยว่า ทราบว่า มีการเตือนว่าไม่ควรรับนายปริญญ์เข้าพรรคทำไมยังรับเข้ามา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามีพฤติกรรมอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธ ไม่ขอย้อนไปพูดในเรื่องจะไปพาดพิงถึงใครก็ตาม แต่ขอเรียนว่า ตนมีส่วนสำคัญในการพานายปริญญ์เข้ามาในพรรค ซึ่งตนต้องรับผิดชอบ และเป็นบทเรียนในการคัดคนเข้าพรรคในอนาคตควรจะแก้ไขอย่างไรบ้าง นอกเหนือจาก 21 ข้อตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งต่อไปพรรคต้องเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจสอบคุณสมบัติ และคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่น่าจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในพรรค เพราะพรรคเป็นเอกภาพ การถกเถียงกันก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อถามถึงผลกระทบต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทางพรรคจะแก้สถานการณ์อย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่รองผู้อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และ ส.ก.ของพรรค ตัวผู้สมัคร และทีมงาน ในการดำเนินการ ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคจะเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ ซึ่งขณะนี้ รองผู้อำนวยการเลือกตั้ง และตัวผู้สมัคร ทำงานอย่างเข้มแข็ง ส่วนผลจะออกมาอย่างไร มั่นใจว่า ทุกคนทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ส่วนผลโพลที่ออกมานั้นก็มีทั้งบวกและลบซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ถามว่า คิดว่า เก้าอี้หัวหน้าพรรคสั่นคลอนเพราะเรื่องนายปริญญ์หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลักของตนคือเน้นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อได้ทำหน้าที่ ส่วนเก้าอี้สั่นคลอนหรือไม่ไม่ขอตอบ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง แต่ตนไม่ขอให้ความเห็นกับคำถามนี้
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ แม้ว่า คดีจะยังไม่สิ้นสุด แต่ถ้าดูจากผลกระทบแล้ว ทั้ง “ปริญญ์” และประชาธิปัตย์ ถือว่า กระทบหนักทั้งคู่
เพราะถ้าสังเกตให้ดี “ผู้เสียหาย” ในเรื่องนี้ ไม่แต่เฉพาะ “เหยื่อ” เท่านั้น หากแต่เป็นสังคมไทย และประชาชนไทยทั้งหมด ยิ่งผู้ถูกกล่าวหา เป็นนักการเมืองพรรคดัง ก็ยิ่งถือว่า เป็น “บทเรียน” ของพรรคการเมืองในการ “กลั่นกรอง” ผู้สมัคร ส.ส.และตำแหน่งทางการเมืองของพรรคเป็นอย่างดี
เหนืออื่นใด เรื่องนี้อาจมีผลต่อการตื่นตัวอีกหลายเรื่องของประชาชน ในการต่อสู้กับการกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับสังคม ไม่แต่เฉพาะเรื่องเพศ และการต่อสู้กับอำนาจ บารมี อิทธิพล ที่ผู้ทำผิดมักอาศัยเป็นตัวช่วยในการหลุดพ้นคดี และไม่เกรงกลัวกฎหมาย
“ปริญญ์” และ “ปชป.” มาถูกที่ถูกเวลา ที่กระแสประชาชนเปิดกว้างรับข้อมูลข่าวสารอย่างกว้างขวาง จึงไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว