1."เพื่อไทย" ตั้ง "อุ๊งอิ๊ง" นั่ง ปธ.ที่ปรึกษาพรรค เจ้าตัวแย้ม "ทักษิณ" อยากกลับมากราบแผ่นดินไทยอีกครั้ง!
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น ภายหลังนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ และได้มีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยที่ประชุมพรรคเพื่อไทย ได้มีมติเลือก นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่
สำหรับคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ ได้มีการผลักดันคนรุ่นใหม่เข้ามาแทนผู้บริหารชุดเก่าที่เป็นผู้อาวุโสหลายราย ประกอบด้วย รองหัวหน้าพรรค 4 คน ได้แก่ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ฝ่ายค้าน), นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ และนายสรวงศ์ เทียนทอง อดีต รมช.สาธารณสุข
เลขาธิการพรรค ยังเป็นคนเดิมคือ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา, รองเลขาธิการ 8 คน ได้แก่ นายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ ส.ส.อุบลราชธานี, นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ส.ส.สุรินทร์, นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่, นายนพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล, น.ส.อรุณี กาสยานนท์, นายจิรวัฒน์ ศิริพาณิชย์ ส.ส.มหาสารคาม และ นางมนพร เจริญศรี ส.ส.นครพนม
กรรมการบริหาร 6 คน ได้แก่ นางณหทัย ทิวไผ่งาม, น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.อุดรธานี, นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.เลย, นายพชร นริพทะพันธุ์, น.ส.กิตติ์ธัญญา วาจาดี ส.ส.อุบลราชธานี และ น.ส.ธีราภา ไพโรหกุล นายทะเบียนพรรค คือ นานจักรพงษ์ แสงมณี, เหรัญญิกพรรค คือ นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ และโฆษกพรรค คือ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.
เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคเพื่อไทย ได้มีการเปิดตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ประธานที่ปรึกษาพรรคด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมด้วย
โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตำแหน่งดังกล่าวมีหน้าที่เชื่อมต่อจากรุ่นสู่รุ่น ความเข้าใจในแต่ละรุ่นให้เข้าใจกันมากขึ้น ทั้งความคิด วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เราต้องเข้าใจรุ่นที่ไม่ใช่รุ่นเดียวกับเรา ที่เรียกว่า เบบี้บูมเมอร์ ความเข้าใจนี้จะทำให้เราอยู่กันได้ด้วยความเข้าใจ ตนเห็นว่าพรรคการเมืองจะต้องเป็นตัวแทนของคนทุกรุ่นทุกวัยด้วย
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ตอนตนอายุ 12 ปี พ่อได้ตั้งพรรคไทยรักไทย เป็นชื่ออยู่ในใจเสมอ มีความรู้สึกผูกพันกับชื่อนี้ พ่อได้พาไปหาเสียงตามพื้นที่ต่างๆ “ตลอดเวลาที่ติดตามคุณพ่อ ได้พูดคุยกับท่าน ได้ใช้เวลากับท่าน ดิฉันสงสัยจริงๆ ว่าทำไมท่านถึงทุ่มเทการทำงาน ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้บ้างเหรอ จนวันนี้ดิฉันเข้าใจแล้ว เพราะเวลาท่านไปพบประชาชน แบ่งเบาความทุกข์ประชาชน นั่นแหละเป็นพลังใจที่แท้จริงของท่าน เวลาที่ท่านได้ช่วยคนที่ไม่มีโอกาสให้มีโอกาสเพิ่มขึ้นในชีวิต ให้ชีวิตเขาดีกว่าที่เป็นอยู่ นั่นเองคือพลังใจของคุณพ่อ”
น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ถึงตนจะจบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตอนปริญญาตรี ก็เลือกไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาการบริหารโรงแรม เพราะวางแผนจะทำธุรกิจต่อจากที่บ้าน ไม่เคยคิด และทุกวันนี้ก็ยังไม่คิดที่จะเป็นนักการเมือง เพียงแต่ว่าอยากให้คนรุ่นใหม่มีโอกาส เขาควรจะได้รับโอกาส เพราะภายใต้วิกฤตการเมืองแบบนี้ ทำให้เขามองไม่เห็นว่าอนาคตจะไปทางไหน
“ดิฉันตั้งใจอยากจะใช้ประสบการณ์ที่มี ตัวเองเป็นคนในเจนวาย ซึ่งจะใกล้ชิดกับคนเจนแซด และเพิ่งมีลูกที่อยู่ในเจนอัลฟา ที่สำคัญดิฉันก็ยังคอนเนกต์กับคุณพ่อ ที่เป็นเบบี้บูมเมอร์แบบทันสมัย ดิฉันคิดว่าอยากใช้ประสบการณ์ตรงนี้ที่มีมา อยากจะเข้ามาร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพื่อพัฒนาโอกาสให้เด็กๆ คนรุ่นใหม่ได้มีความหวัง มีความฝัน และทำความฝันของเขาให้เป็นจริงขึ้นมา”
น.ส.แพทองธาร กล่าวด้วยว่า เชื่อว่าแนวทางนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชนทุกภาคส่วน ไม่ว่าคนไทยจะคิดต่างอย่างไร ทุกคนล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน และอยากเห็นประเทศของเราเจริญก้าวหน้าต่อไป “ดิฉันจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ในฐานะที่ปรึกษา ถึงแม้จะไม่ใช่นักการเมือง แต่ก็ขอมุ่งมั่นตั้งใจทำงานด้วยใจจริง ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ในฐานะลูกของคุณพ่อ (นายทักษิณ) ที่ไม่เคยลืมบุญคุณแผ่นดินไทย ไม่เคยลืมคนไทยที่ไม่เคยลืมท่าน และท่านปรารถนาอย่างมากที่จะได้กลับมากราบแผ่นดินไทยอีกครั้ง กลับมากราบผู้มีพระคุณ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง น.ส.แพทองธาร ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ศ.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ย้อนรอยกรณีข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่วปี 47 โดยมีข้อความบางช่วงบางตอนว่า “ปมปริศนาความไม่เสมอภาคและความอยุติธรรมทางการศึกษาในปี พ.ศ. 2547 กรณีข้อสอบ Entrance ปี 47 รั่ว แพทองธาร คะแนนสูงมหัศจรรย์ เมื่อคะแนน Ent ครั้งนั้นออก ผลการสอบของลูกสาวนายกฯ เทียบกับครั้งแรกตะลึง ภาษาไทย จาก 52 เพิ่มเป็น 72 สังคม จาก 41.25 เพิ่มเป็น 67.5 ภาษาอังกฤษ จาก 64 เพิ่มเป็น 84 คณิตศาสตร์ 2 จาก 27 เพิ่มเป็น 63 ..."
2.สาวตัดเชือกช่างทาสี ยอมรับแล้วหลังจำนนด้วยหลักฐาน แต่อ้างไม่เจตนาฆ่า ทำไปเพราะรำคาญ!
ความคืบหน้ากรณีโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปภาพน่าหวาดเสียวของช่างทาสีหนุ่ม 2 คน ที่กำลังโรยตัวทำงานนอกอาคารสูงบริเวณชั้น 26 ของอาคารคอนโดลุมพินี ห้าแยกปากเกร็ด ซึ่งมีความสูง 32 ชั้น โดยมีการแชร์คลิป พร้อมข้อความในโพสต์ว่า "ขาสั่น ลอยตัวทาสี ถูกตัดเชือก ทำงานต่อไม่ได้ เคราะห์ดีเจอคนนั่งอยู่ที่ระเบียง ขอช่วยเหลือ ช่างบอกไม่กลัวความสูง แต่เคสนี้เล่นเอาขาสั่นมาก"
โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ต.ค. เวลาประมาณเที่ยง หลังรู้ว่าเชือกถูกตัด 2 ช่างทาสีหนุ่มได้พยายามส่งสัญญาณบอกกับเจ้าของห้องบริเวณชั้น 26 เพื่อขออนุญาตลงที่ระเบียง เมื่อเจ้าของห้องเห็นเหตุการณ์ จึงพูดคุยก่อนเปิดรับ และให้ช่างทั้งสองผ่านห้อง เพื่อลงไปยังชั้นล่างอย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ คลิปดังกล่าว ทำให้คนที่ได้ดู พากันตื่นตกใจ และชื่นชมน้ำใจของเจ้าของห้องที่ช่วยเหลือ หาไม่แล้ว อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ซึ่งในเวลาต่อมา ชุดสืบสวน สภ. ปากเกร็ด ได้สืบสวนหาหลักฐาน จนทราบว่า ผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุตัดเชือกช่างทาสี เป็นหญิงสาวซึ่งพักอยู่ชั้น 21 จึงรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีในข้อหาทำให้เสียทรัพย์และพยายามฆ่า ทราบชื่อในเวลาต่อมา คือ น.ส.ณิชานันท์ แซ่โต๊ะ อายุ 34 ปี
โดย น.ส.ณิชานันท์ พร้อมทนายความได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 27 ต.ค. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา คือ 1.ทำให้เสียทรัพย์ 2.พยายามฆ่า โดยอ้างว่า ที่ทำลงไป เพราะไม่เห็นประกาศคำสั่งจากทางนิติบุคคลของคอนโด ในวันเกิดเหตุไม่คิดว่าจะมีช่างทาสีมาลอยตัวอยู่หน้าห้อง ทำให้รู้สึกตกใจและเกิดความรำคาญ จึงได้ตัดเชือก แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่า
ด้าน พ.ต.อ.พงศ์จักร ปรีชาการุณพงศ์ ผู้กำกับการ สภ. ปากเกร็ด เผยว่า ผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาตามที่ตำรวจมีหมายเรียกไป ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธเรื่อยมา วันนี้ (27 ต.ค.) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พยานบุคคล รวมทั้งกล้องวงจรปิดให้ดู เขาจึงยอมรับว่าเป็นคนก่อเหตุจริง แต่ไม่ได้เจตนาฆ่า ส่วนสาเหตุที่ทำลงไปเนื่องจากเกิดความรำคาญช่างทาสี ลอยตัวขึ้นลงขึ้นลง ทำให้ตนเองซึ่งอยู่ในห้องทั้งวันในวันนั้นไม่สะดวกในการทำธุระส่วนตัว จนเกิดอารมณ์ชั่ววูบตัดเชือกช่างทาสีโดยไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าแต่อย่างใด
หลังสอบปากคำ มีรายงานว่า น.ส.ณิชานันท์ ได้นัดเจรจาชดใช้ค่าเสียหายกับคู่กรณีในวันเดียวกัน
ซึ่งในเวลาต่อมา น.ส.วริยา สวัสดิ์วิมล อายุ 34 ปี เจ้าของบริษัท ดี.พี.แอคเซส เพ้นท์ติ้ง จำกัด พร้อมด้วยนายสอง (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี ลูกจ้างชาวเมียนมา ที่ถูก น.ส.ณิชานันท์ ตัดเชือกขณะโรยตัวทำงานนอกอาคาร ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.พันธ์พงศ์ ภูริวัฒนพงศ์ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ที่ สภ.ปากเกร็ด
โดย น.ส.วริยา กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ผู้ก่อเหตุยอมรับสารภาพแล้วว่าเป็นคนตัดเชือก อ้างว่าไม่ทราบว่าทางนิติฯ คอนโดได้มีการปิดประกาศจะให้ช่างมาซ่อมรอยรั่ว และผู้ก่อเหตุยินดีจะชดใช้ค่าเสียทั้งหมด แต่วันนี้ที่มาพบ เราไม่ต้องการที่จะเจรจาเรื่องค่าเสียหาย แต่ต้องการมาสอบถามว่า เขาทำไปเพื่ออะไร ส่วนเรื่องคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย จะไม่มีการพูดคุยและเจรจาชดใช้ค่าเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น เบื้องต้นเขาก็ขอโทษทางเราและนายสอง
ขณะที่นายสอง กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้เข้ามาพูดคุยเจรจาแต่อย่างใด ตนยังรับกับเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากเกิดพลาดพลั้งเป็นอะไรไป แล้วพ่อกับแม่จะอยู่อย่างไร เราไม่ทราบว่าเขามีปัญหากับทางนิติฯ คอนโดมาก่อน เราเข้ามาทำงานอุดรอยรั่วซึมตามที่นายจ้างรับงานไว้ แต่ทำไมเขาถึงมาลงกับเรา
3. ศบค. ปรับลดพื้นที่สีแดงเข้มเหลือ 7 จังหวัด พร้อมยกเลิกเคอร์ฟิวทุกพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่สีแดงเข้ม ให้ "กทม.-กระบี่-พังงา-ภูเก็ต" นำร่องท่องเที่ยว!
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ได้แถลงผลประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ว่า ศบค.เห็นชอบให้ปรับระดับพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร โดยปรับลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จากเดิม 23 จังหวัด เหลือ 7 จังหวัด ประกอบด้วย จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา
พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) ปรับเพิ่มจากเดิม 30 จังหวัด เป็น 38 จังหวัด ประกอบด้วย กาญจนบุรี, ขอนแก่น ชลบุรี ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ฉะเชิงเทรา ตรัง ตราด นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สระแก้ว สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี อ่างทอง อุดรธานี และอุบลราชธานี
พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) ปรับลดจากเดิม 24 เหลือ 23 จังหวัด ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ชัยนาท ชัยภูมิ บุรีรัมย์ พะเยา แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ยโสธร ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย สิงห์บุรี สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ
ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 5 จังหวัด ประกอบด้วย นครพนม น่าน บึงกาฬ มุกดาหาร และสกลนคร นอกจากนี้ยังกำหนดพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 4 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และภูเก็ต
ทั้งนี้ ศบค.ยังได้เห็นชอบให้ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถานในทุกพื้นที่ แต่ยังให้คงในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ในเวลา 23.00-03.00 น. และยังคง Work from home อย่างน้อยร้อยะ 50 ในหน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการภาคเอกชนปรับเพิ่มได้ตามความเหมาะสม และยังคงห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มคนมากกว่า 50 คน
สำหรับสถานรับเลี้ยงเด็กและดูแลผู้สูงอายุ ให้เปิดแบบรับไปและกลับ ขณะที่สถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา เปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกินเวลา 22.00 น. กีฬาในร่มไม่มีผู้ชม กีฬากลางแจ้งมีผู้ชมไม่เกิน 25%
ส่วนโรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ การแสดงพื้นบ้าน หรือสถานที่ลักษณะเดียวกัน จำกัดจำนวนผู้ชม ห้ามบริโภคอาหาร พื้นที่มีเครื่องปรับอากาศจำนวนผู้ชม 50% พื้นที่โล่ง 75% ขณะที่ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ รวมถึงสถานที่ลักษณะเดียวกันในห้างสรรพสินค้า และโรงแรม จัดประชุมไม่เกิน 500 คน ให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ต้องไม่แออัด สำหรับศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และซิตี้มอลล์ เปิดได้ตามปกติ แต่ไม่เกินเวลา 22.00 น.งดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ปิดบริการตู้เกมส์ เครื่องเล่น ร้านเกมส์ สวนสนุก และสวนน้ำ
ขณะที่ร้านสะดวกซื้อ ตลาด และตลาดนัด เปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกินเวลา 22.00 น.หากเปิดบริการเครื่องเล่นสวนสนุก ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ส่วนร้านอาหารทั้งในและนอกศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่อื่นใดที่มีร้านอาหาร เปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกินเวลา 22.00 น. งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ส่วนร้านเสริมสวย ร้านนวด สปา สถานเสริมความงาม ร้านสัก เปิดบริการได้ตามปกติ แต่ไม่เกินเวลา 22.00 น.ยกเว้นการใช้ไอน้ำ เนื่องจากสามารถนำเชื้อโรคได้
สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) ไม่ห้ามออกนอกเคหสถาน Work from home หน่วยงานของรัฐ ผู้ประกอบการภาคเอกชนดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างน้อย 70% ส่วนการจัดกิจกรรมรวมกลุ่ม ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 200 คน สถานรับเลี้ยงเด็กและสถานดูแลผู้สูงอายุ เปิดดำเนินการได้ตามปกติ ส่วนสถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา เปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกินเวลา 23.00 น. กีฬาในร่ม ผู้ชมไม่เกิน 25% กีฬากลางแจ้ง ผู้ชมไม่เกิด 50% ส่วนโรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ การแสดงพื้นบ้าน หรือสถานที่ลักษณะเดียวกัน พื้นที่ที่มีเครื่องปรับอากาศจำกัดจำนวนผู้ชม 75% ส่วนพื้นที่โล่งจำนวนผู้ชมเป็นไปตามขนาดพื้นที่
ส่วนศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการรวมถึงสถานที่ลักษณะเดียวกันในห้างสรรพสินค้าและโรงแรม สามารถจัดประชุม จัดมหกรรมด้านกีฬาและจัดแสดงสินค้า โดยไม่มีการชิมอาหาร ไม่เกิน 500 คน ตามขนาดพื้นที่ ขณะที่ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซิตี้มอลล์ เปิดได้ตามเวลาปกติ งดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เปิดตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมส์ แต่ไม่เปิดสวนสนุกและสวนน้ำ ส่วนร้านสะดวกซื้อ ตลาด และตลาดนัด เปิดตามเวลาปกติ
ส่วนร้านอาหารทั้งในและนอกศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าหรือสถานที่อื่นใดที่มีร้านอาหาร บริโภคในร้านได้ เปิดตามเวลาปกติไม่เกินเวลา 23.00 น. งดการจำหน่ายและงดดื่มสุราในร้าน ร้านเสริมสวย ร้านนวด สปา สถานเสริมความงาม และร้านสัก เปิดบริการได้ตามปกติ แต่ไม่เกินเวลา 23.00 น.
ส่วนพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) ไม่ห้ามออกนอกเคหสถาน Work from home หน่วยงานของรัฐ ผู้ประกอบการภาคเอกชนดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างน้อย 70% ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มคนมากกว่า 500 คน สถานรับเลี้ยงเด็กและสถานดูแลผู้สูงอายุ เปิดดำเนินการตามปกติ ส่วนสถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา เปิดบริการได้ตามเวลาปกติจัดการแข่งขันได้แต่จำกัดจำนวนผู้ชม กีฬาในร่มผู้ชมไม่เกิน 50% กีฬากลางแจ้งไม่เกิน 75% ส่วนโรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ การแสดงพื้นบ้าน หรือสถานที่ลักษณะเดียวกัน เปิดได้ตามปกติ จำนวนผู้ชมตามมาตรการที่กำหนด
ขณะที่ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ รวมถึงสถานที่ลักษณะเดียวกันในห้างสรรพสินค้าและในโรงแรม จัดประชุมจัดมหกรรมด้านกีฬา จัดแสดงสินค้าชิมอาหารได้และจัดงานอื่นๆ ได้จัดแสดงสินค้าได้ แต่ไม่เกิน 1,000 คน ด้านศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และซิตี้มอลล์ เปิดได้ตามเวลาปกติ เปิดสวนสนุก และสวนน้ำได้ เฉพาะพื้นที่โล่ง ร้านสะดวกซื้อ ตลาด และตลาดนัด เปิดบริการได้ตามเวลาปกติ
ส่วนร้านอาหารทั้งในและนอกศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่อื่นใดที่มีร้านอาหารบริโภคในร้านได้ เปิดได้ปกติ ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณากำหนดเวลาปิดตามสถานการณ์ในพื้นที่ งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน ร้านเสริมสวย ร้านนวดสปา สถานเสริมความงาม และร้านสัก เปิดบริการได้ตามปกติ แต่ไม่เกินเวลา 24.00 น.
ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) ห้ามออกนอกเคหสถาน Work from home หน่วยงานของรัฐผู้ประกอบการภาคเอกชนดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างน้อย 70% ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มคนมากกว่า 1,000 คน สถานรับเลี้ยงเด็กและสถานดูแลผู้สูงอายุ เปิดดำเนินการตามปกติ ส่วนสถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา เปิดบริการได้ตามเวลาปกติ จัดการแข่งขันได้ แต่จำกัดจำนวนผู้ชม กีฬาในร่มผู้ชมไม่เกิน 75% กีฬากลางแจ้งผู้ชมตามความจุของสนามและมาตรการเว้นระยะห่าง ส่วนโรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ การแสดงพื้นบ้าน หรือสถานที่ลักษณะเดียวกัน เปิดได้ตามปกติจำนวนผู้ชมตามมาตรการที่กำหนด
ขณะที่ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ รวมถึงสถานที่ลักษณะเดียวกันในห้างสรรพสินค้าและในโรงแรม สามารถจัดงานได้ตามความเหมาะสม ขณะที่ศูนย์การค้าห้างสรรพสินค้า และ ซิตี้มอลล์ เปิดบริการได้ตามปกติ
ส่วนร้านอาหารทั้งในและนอกศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่อื่นใดที่มีร้านอาหาร สามารถบริโภคในร้านได้ เปิดได้ตามปกติ แต่ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯพิจารณากำหนดเวลาปิดตามสถานการณ์พื้นที่ ร้านเสริมสวย ร้านนวดสปาสถานเสริมความงาม และร้านสัก เปิดบริการได้ตามปกติ
ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังและพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว (สีฟ้า) ทุกกิจกรรม และกิจการ เปิดได้ตามความเหมาะสม จัดกิจกรรมการรวมกลุ่มตามความเหมาะสม Work from home หน่วยงานของรัฐผู้ประกอบการภาคเอกชนดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างน้อย 70% เปิดบริการและจัดการแข่งขันได้ตามปกติตามมาตรการที่กำหนด แต่ในส่วนของร้านอาหารทั้งในและนอกศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า หรือ สถานที่อื่นใดที่มีร้านอาหาร ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม.พิจารณาปิดตามสถานการณ์พื้นที่ ทั้งนี้ มาตรการทั้งหมดจะเริ่มในวันที่ 1 พ.ย.นี้
4. หลายภาคส่วนสวดยับ สโมสรนิสิตจุฬาฯ ส่อด้อยค่าสถาบัน หลังมีมติยกเลิกกิจกรรมอัญเชิญพระเกี้ยว โดยอ้างสะท้อนความไม่เท่าเทียม!
เมื่อวันที่ 23 ต.ค. องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ซึ่งมีนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เป็นนายกองค์การฯ ได้ออกแถลงการณ์ว่า คณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ มีมติ 29 ต่อ 0 ให้ยกเลิกกิจกรรมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ โดยมีเนื้อหาสรุปว่า กิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวสะท้อนถึงระบอบอำนาจนิยม ค้ำยันความเชื่อว่าคนไม่เท่ากัน และว่า รูปแบบกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวเป็นภาพแทนของวัฒนธรรมแบบศักดินาที่ยกกลุ่มคนหนึ่งสูงกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง พร้อมสัญลักษณ์ของศักดินาคือ “พระเกี้ยว” บนเสลี่ยง นอกจากนี้ยังอ้างว่า มีการใช้อำนาจบังคับให้คนต้องมาแบกเสลี่ยง โดยจะมีผลต่อคะแนนการคัดเลือกให้มีสิทธิอยู่ในหอพัก
หลังองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ ออกแถลงการณ์ดังกล่าว ปรากฏว่า ได้ถูกหลายภาคส่วนในสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพราะเหตุผลที่องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ อ้าง นอกจากจะย้อนแย้งกับความเป็นจริงเกี่ยวกับพระเกี้ยวแล้ว ยังส่อด้อยค่าสถาบันอีกด้วย
โดย ศ.ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ นายกราชบัณฑิตยสภา ระบุว่า พระเกี้ยวไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า
การกดขี่ และความไม่เท่าเทียม แต่พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย "ประการที่ 1 พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์สมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้เป็นตราของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ให้พวกเราชาวจุฬาฯ อันเป็นประชาชนคนธรรมดาได้มีโอกาสเล่าเรียนเสมอหน้ากัน สนองพระราชปณิธานของพระราชบิดา ซึ่งแต่เดิมจำกัดเฉพาะลูกขุนนาง"
"ประการที่ 2 รัชกาลที่ ๕ ทรงยกเลิกระบบไพร่... ประการที่ 3 รัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกทาส ...ทาสและไพร่จึงได้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์เท่าเทียมกันทั้งแผ่นดิน ประการที่ 4 พระองค์ทรงยกเลิกระบบการบริหารราชการแผ่นดินจากระบบจตุสดมถ์ (สี่แท่ง) คือ เวียง วัง คลัง นา... แล้วทรงสถาปนาระบบราชการเป็นกระทรวง ทบวง กรม อันเป็นการกระจายพระราชอำนาจ และเปิดโอกาสให้ไพร่ทาสราษฎรทั้งปวงได้รับราชการ มีรายได้ มีเกียรติยศ ...สามารถสะสมทรัพย์ให้ร่ำรวยมีความมั่นคงในอนาคตได้เสมอหน้ากัน”
“ประการที่ 5 รัชกาลที่ ๕ ทรงเอาชีวิตเกียรติยศและพระราชทรัพย์ของพระราชวงศ์เป็นเดิมพัน ทรงตัดพระทัยยอมสละดินแดนครึ่งหนึ่งของประเทศเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของปวงชนชาวไทยเอาไว้ เพื่อมิให้อังกฤษและฝรั่งเศสฉีกประเทศไทยออกเป็นสองเสี่ยง ...ประการที่ 6 ทรงมีพระนิสัยที่รักความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เช่น ทรงให้เลิกหมอบคลาน ...ดังนั้น “พระเกี้ยว” จึงไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า การกดขี่ และความไม่เท่าเทียม แต่พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย..."
ด้านนายณรงค์ชัย คุณปลื้ม นายกเทศมนตรีเมืองแสนสุข ซึ่งเป็นนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตอบโต้แถลงการณ์ขององค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ ว่า "เกียรติภูมิจุฬาฯ ยังอยู่คู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปตลอดกาล ไม่ว่ามันผู้ใดจะมาลบหลู่ก็ตาม คนอกตัญญูต่อสถาบันต่อประเพณีอันดีงามไม่มีวันได้ดีหรอก #จากศิษย์เก่าจุฬาฯ ผู้จงรักภักดี"
ขณะที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคไทยสร้างไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า "การแข่งขันฟุตบอลประเพณีเป็นกิจกรรมของสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ และสมาคมศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ส่วนองค์การบริหารสโมสรนิสิตฯ (อบจ.) เป็นหนึ่งในคณะทำงาน ถ้าคณะผู้จัดมีความประสงค์จะให้มีขบวนอัญเชิญก็เป็นเรื่องของผู้จัด ส่วน อบจ. ไม่มีสิทธิห้ามใครใช้พระเกี้ยว เพราะพระเกี้ยวไม่ได้เป็นสมบัติของ อบจ."
5. "พระมหาไพรวัลย์" ขู่ลาสิกขา หาก "พระราชปัญญาสุธี" ไม่ได้ขึ้นเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ด้าน "เต้" เตรียมเชิญเข้าพรรค หากสึกจริง!
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระลูกวัดสร้อยทองชื่อดัง ได้ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กเพจ ในหัวข้อ "ความในใจจาก พส. พว." โดยมีใจความว่า หากพระราชปัญญาสุธี รักษาการเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ตนจะลาสิกขา
อาตมาจะไม่ย้ายไปอยู่วัดอื่น เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่วัด แต่อยู่ที่ตัวโครงสร้าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่ให้อำนาจเจ้าอาวาสอย่างล้นเหลือ ออกคำสั่งคำเดียวให้ขับพระภิกษุที่เป็นลูกวัดออกจากวัด ก็ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ ความเป็นธรรมไม่มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่เขียนมาแต่เก่าก่อนว่า หากเห็นว่าเจ้าคณะผู้ปกครองไม่มีความเป็นธรรม ก็จงย้ายไปอยู่ที่อื่นเสีย เจ้าอาวาสจะลงโทษพระลูกวัดเกินความผิดบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไร
ฉะนั้นอาตมาจึงเห็นว่า เมื่อคนที่เราเห็นว่าเป็นธรรม คนที่เราสักการะบูชา ไม่ได้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง จึงรู้สึกไม่อยากที่จะพินอบพิเทากับระบบ อาตมาไม่ได้มีปัญหากับคน
พระมหาไพรวัลย์ กล่าวอีกว่า อาตมาไม่มีตำแหน่งใด ๆ มีตำแหน่งเดียวคือพระลูกวัด ตำแหน่งที่รักมากที่สุด ภูมิใจที่สุด 12 ปีได้อยู่ที่นี่ ผูกพัน พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพราะรักที่นี่ ได้เป็นพระมหาไพรวัลย์ที่คนรู้จัก ก็เพราะความใจกว้างของที่นี่
ฉะนั้นคิดถี่ถ้วนดีแล้ว มีเหตุผลทุกขั้นตอนของการคิด ถ้าพระราชปัญญาสุธี ที่ตนมองว่าเป็นผู้ใหญ่มีพรหมวิหารธรรม ไม่ได้รั้งตำแหน่งอธิบดีสงฆ์ของวัดสร้อยทอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งมันไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย อาตมาจะสละความเป็นพระ เพื่อที่จะเอาผ้าไตรจีวรที่นุ่งห่มมาสิบกว่าปี ถวายบูชาธรรมกับเจ้าคุณอาจารย์ จะเอาความเป็นพระที่มีอยู่ สละและถวายคืน
ถ้าความเป็นพระมหาไพรวัลย์ ไม่สามารถช่วยครูบาอาจารย์ ซึ่งอาตมาเปรียบเหมือนพ่อคนที่ 2 ก็ขอบูชาความผิดอะไรก็ตามแต่ ที่นำเภทภัยครั้งนี้มาสู่เจ้าคุณอาจารย์ด้วยผ้าไตรจีวรที่ห่ม
พระมหาไพรวัลย์ ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า สึกไปถ้ามีคนในเพจเมตตา อาจไลฟ์ขายอะไรก็ได้ เลียนแบบพิมรี่พาย หัวเราะสนั่นหวั่นไหวก็ไม่มีใครห้ามด้วย
จากนั้น พระมหาไพรวัลย์ ได้ร่ำไห้เมื่อพูดถึงมารดาว่า หลังสึก จะกลับไปดูแลโยมแม่ที่ทำคีโมรักษามะเร็งอยู่ เนื่องจากเป็นลูกคนเดียว "จำได้ว่า คืนสุดท้ายก่อนบวช แม่ให้ไปนอนด้วย มานอนกอด เพราะบวชแล้วจะกอดกันไม่ได้ จำได้แม่น แม่อาจพูดผิดว่า เป็นการกอดครั้งสุดท้าย อีกไม่นาน อาตมาจะได้กลับไปกอดแม่อีก" ร้องไห้บ้างก็ได้ กระบวนการน้ำตาไหลผ่านตา ทำให้เห็นอะไรชัดขึ้น ฉะนั้นไม่ผิด อาจเป็นน้ำตาของความดีใจ
หลังพระมหาไพรวัลย์ ไลฟ์สดประกาศเตรียมสละสมณเพศ หากพระราชปัญญาสุธี ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ปรากฏว่า วันนี้ (30 ต.ค.) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ได้โพสต์ข้อความชวนพระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปองเข้าร่วมพรรค หากลาสิกขาจริง โดยระบุว่า “หลวงพี่สมปอง+หลวงน้องไพรวัลย์ ถ้าไตร่ตรองว่าจะสึกแล้ว วันอังคารผมจะแวะไปหา เพราะพระทั้ง 2 ท่าน มีปัญญา พูดตรง แก้ปัญหาได้ พรรคไทยศรีวิไลย์ต้องการคนคุณภาพ”