รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว วิจารณ์การทำงานของอาจารย์ด้านกฎหมายที่หนุนม็อบ 3 กีบ หลังให้ความรู้บิดเบือน จนตนเองต้องนำ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มากางให้ทำความเข้าใจเสียใหม่
วันนี้ (23 ส.ค.) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Harirak Sutabutr” เกี่ยวกับข้อกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ สอนอาจารย์กฎหมาย 3 นิ้วที่ให้ความรู้ที่บิดเบือนอยู่ตลอด ทั้งนี้ รศ.หริรักษ์ได้ระบุข้อความว่า
“คุณพ่อผมจบกฎหมายจากโรงเรียนกฎหมายที่มีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย ตั้งแต่ยังไม่มีคณะนิติศาสตร์ทั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสมัยนั้นเรียนจบก็เป็นเนติบัณฑิตไทยโดยไม่ต้องไปสอบอีก คุณพ่อเป็นนักกฎหมายที่เก่งมาก แต่ไม่ได้เลือกเส้นทางด้านกระบวนการยุติธรรม เลือกไปรับราชการที่กรมสรรพากร คุณพ่ออยากให้ผมเรียนกฎหมาย บอกว่าผมน่าจะเรียนกฎหมายได้ดี และพี่ๆ ไม่มีใครเรียนกฎหมายเลยสักคน คุณพ่อเสียชีวิตก่อนที่ผมจะเข้ามหาวิทยาลัย คงเป็นเพราะไม่มีใครมากระตุ้นเตือน ผมจึงไปเลือกเรียนบริหารธุรกิจ มาวันนี้นึกเสียดายที่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์ เพราะได้อ่านได้ฟังความเห็นอาจารย์สอนกฎหมายบางคนแล้วอดที่จะเห็นแย้งไม่ได้ แต่ก็แย้งไม่ค่อยถนัดเพราะเราไม่ใช่นักกฎหมาย
ตั้งแต่ความเห็นที่ว่า การปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิของผู้ต้องหา ศาลจะต้องอนุญาต เพราะต้องถือว่าผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ากระทำผิดจริง บรรดาแกนนำม็อบ 3 นิ้วที่ถูกดำเนินคดี และผู้สนับสนุนล้วนท่องคาถาบทนี้ตั้งแต่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จนอนุญาตโดยมีเงื่อนไข จนถูกถอนประกัน ก็ยังท่องคาถาบทนี้อยู่เช่นเดิม มาช่วงมีการสลายการชุมนุมหรือสลายม็อบ ซึ่งระยะนี้มีทุกวัน อาจารย์สอนกฎหมายก็ย้ำว่า ตำรวจควบคุมฝูงชนจะเข้าสลายการชุมนุมได้ตาม พ.ร.บ.การชุมนุม 2558 จะต้องไปขออนุญาตศาลก่อน
เมื่ออาจารย์สอนกฎหมายอ้างข้อกฎหมายเช่นนี้ เราก็ต้องเชื่อไว้ก่อน แต่โดยสามัญสำนึกก็อดมีข้อกังขากับข้อกฎหมายไม่ได้ เพราะหากจะต้องขออนุญาตศาลทุกครั้งที่จะสลายการชุมนุม ถ้าเป็นการชุมนุมที่สงบ ไม่มีอาวุธ คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น กว่าตำรวจจะไปขออนุญาตศาลกลับมาก็คงป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายไม่ทัน ยิ่งช่วงนี้มีการชุมนุมป่วนเมืองด้วยความรุนแรงทุกวัน ตำรวจก็สลายการชุมนุมทุกวัน ไม่เห็นมีข่าวว่ามีการไปขออนุญาตศาลแต่อย่างใด หรือว่าตำรวจกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมทุกวัน อดไม่ได้จึงต้องไปเปิดดู พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 ซึ่งได้คัดลอกบางตอนมาให้ดูกันดังนี้
“มาตรา ๒๑ ในกรณีมีการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๑๔ หรือกรณีผู้จัดการชุมนุมหรือผู้ชุมนุมฝ่าฝืนมาตรา ๗ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๑๘ ให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๑๔ หรือไม่เลิกการชุมนุมภายในระยะเวลาที่ได้แจ้งไว้ต่อผู้รับแจ้งตามมาตรา ๑๘ ให้ประกาศให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุมภายในระยะเวลาที่กำหนด
(๒) กรณีผู้จัดการชุมนุมหรือผู้ชุมนุมฝ่าฝืนมาตรา ๗ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ ให้ประกาศให้ผู้ชุมนุมแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด
หากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามประกาศตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะร้องขอต่อศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดที่มีเขตอำนาจเหนือสถานที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะเพื่อมีคำสั่งให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุมสาธารณะนั้น ในระหว่างรอคำสั่งศาลให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะมีอำนาจกระทำการที่จำเป็นตามแผนหรือแนวทางการดูแลการชุมนุมสาธารณะที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอแนะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนและคุ้มครองการชุมนุมสาธารณะ
แผนหรือแนวทางการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามวรรคสอง ต้องกำหนดให้เจ้าพนักงานหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง ในกรณีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการใช้กำลังได้ ให้ใช้กำลังและเครื่องมือควบคุมฝูงชนเพียงเท่าที่จำเป็น
การดำเนินการของเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะตามมาตรานี้ ไม่ตัดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการชุมนุมสาธารณะนั้นที่จะร้องขอต่อศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดที่มีเขตอำนาจเหนือสถานที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะเพื่อมีคำสั่งให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุม
มาตรา ๒๕ ในกรณีที่ผู้ชุมนุมกระทำการใดๆ ที่มีลักษณะรุนแรงและอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือทรัพย์สินของผู้อื่นจนเกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะมีอำนาจสั่งให้ผู้ชุมนุมยุติการกระทำนั้น หากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะและผู้ควบคุมสถานการณ์และผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ควบคุมสถานการณ์มีอำนาจดำเนินการตามมาตรา ๒๓ และมาตรา ๒๔
ในกรณีที่ผู้ชุมนุมไม่เห็นด้วยกับคำสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดที่มีเขตอำนาจเหนือสถานที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะเพื่อพิจารณาภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำสั่ง คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค คำสั่งศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคให้เป็นที่สุด”
เมื่ออ่าน พ.ร.บ.ฉบับนี้แล้วก็พบว่า มาตรา 21 กำหนดให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมต้องไปร้องศาลจริง เพื่อมีคำสั่งให้ยุติการชุมนุม แต่ระหว่างรอคำสั่งศาล เจ้าพนักงานยังมีอำนาจกระทำการที่จำเป็นตามแนวทางการดูแลการชุมนุมตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชน และคุ้มครองการชุมนุม ซึ่งแนวทางดังกล่าวต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ใช้กำลังและเครื่องมือการควบคุมฝูงชนเพียงเท่าที่จำเป็น
รายละเอียดข้างต้นนี้ อาจารย์สอนกฎหมายไม่ได้กล่าวถึง และที่ไม่ได้กล่าวถึงเลยแม้แต่น้อยคือยังมีมาตรา 25 ซึ่งสรุปได้ว่า (รายละเอียดอ่านได้จากด้านบน) ในกรณีที่ผู้ชุมนุมกระทำการรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือทรัพย์สินของผู้อื่นจนเกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมมีอำนาจสั่งให้ผู้ชุมนุมยุติการกระทำนั้น หากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตาม ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจดำเนินการตามมาตรา 23 และมาตรา 24 ซึ่งหมายถึงมีอำนาจการดำเนินการให้ยุติการชุมนุมได้โดยไม่ต้องร้องต่อศาล ทั้งนี้ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในมาตรา 23 และมาตรา 24 ด้วย (สามารถอ่าน พ.ร.บ.การชุมนุมทั้งหมดได้ตาม link นี้) นี่คือข้อสรุปของคนที่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์อย่างผม จะถูกต้องหรือไม่ อยากให้นักกฎหมายทั้งหลายที่ได้อ่านข้อเขียนชิ้นนี้ช่วยกันให้ความเห็นด้วยครับ”