xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 8-14 ส.ค.2564

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.แนวร่วมม็อบทะลุฟ้า จุดประทัดยักษ์จะขว้างใส่ตำรวจ แต่บึ้มก่อน ทำมือขาด แถมพบติดโควิด!

เมื่อวันที่ 11 ส.ค. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมว่า มีการตรวจพบข่าวปลอมเพิ่มเติม 1 กรณี คือ กรณีตำรวจเอาประทัดยักษ์ยัดใส่มือม็อบ บังคับให้กำประทัดจนแตกใส่มือ นั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ได้ตรวจสอบกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า เป็นข่าวปลอม

โดยทาง บช.น.ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า วันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีผู้ชุมนุมชื่อว่า ม็อบทะลุฟ้า มาชุมนุมกันที่บริเวณแยกดินแดง เขตดินแดง กทม. ได้มี ด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุประมาณ 14 ปีเศษ สวมใส่เสื้อช็อปอาชีวะได้จุดประทัดยักษ์ แต่เกิดพลาดระเบิดใส่มือข้างซ้ายของตนเอง ทำให้ได้รับบาดเจ็บ

เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เอาประทัดยักษ์ยัดใส่มือแต่อย่างใด ปัจจุบันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลรามาธิบดี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบที่โรงพยาบาลพบว่า นอนรักษาตัวอยู่ที่ห้อง ICU และแพทย์ได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ผลการตรวจเบื้องต้นพบว่า ติดเชื้อโควิด-19

ดังนั้น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.metro.police.go.th หรือโทร. 0-2282-8209

ทั้งนี้ วันเดียวกัน (11 ส.ค.) ทวิตเตอร์ @jjookklong3 ซึ่งเรียกตัวเองว่า "เจ๊จุก คลองสาม" ได้โพสต์ภาพชายดังกล่าวกำลังรอใช้น้ำดื่มบรรจุขวดล้างแผลที่มือหลังประทัดยักษ์ระเบิดใส่มือตนเอง โดยระบุข้อความว่า "ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว" ตั้งใจว่าจะเอาประทัดยักษ์ที่เตรียมมาปาใส่ตำรวจ แต่ผลคือ ระเบิดคามือ จน..มือขาด ขาดแบบยุ่ยจนไม่สามารถต่อกลับคืนมาเป็นปกติได้ กลายเป็นคนพิการไปทันที เชื่อหรือยังคะว่า แผ่นดินไทยศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่ ทำดีได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว"

ด้านสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งรายงานว่า ชายที่จุดประทัดยักษ์แล้วระเบิดใส่มือตนเอง กำลังศึกษาอยู่ในระบบสำนักส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) แม่ประกอบอาชีพแม่ค้า โดยแม่กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกชายมีแนวคิดรุนแรง หรือเข้าไปมีส่วนร่วมกับการชุมนุมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะนิสัยส่วนตัว ลูกชายเป็นคนเงียบ เรียบร้อย ไม่พูดไม่จากับใคร และไม่เคยแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมืองให้ได้ยิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงรู้สึกเสียใจมาก เพราะนอกจากจะเสียมือซ้ายไป 1 ข้าง ยังต้องเผชิญกับการติดเชื้อโควิด-19 จึงอยากขอใช้เวลาดูแลลูกชายเงียบๆ เพียงลำพัง

2.“เพนกวิน-อานนท์-ไมค์-ไผ่ ดาวดิน” นอนคุกอีกรอบ หลังศาลไม่ให้ประกันคดีก่อความวุ่นวาย-ขัดเงื่อนไขศาล!


เมื่อวันที่ 10 ส.ค. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน, นายทวี เที่ยงวิเศษ และนายทรงพล สนธิรักษ์ ได้เข้ามอบตัวต่อตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ตามหมายจับของศาลอาญา จากกรณีพ่นสีทับป้าย สน.ทุ่งสองห้อง เมื่อวันที่ 3 ส.ค. หลังได้ประกันตัวคดีชุมนุมสาดสีหน้า บช.ปส. และกรณีชุมนุมสาดสีหน้าที่ทำการพรรคภูมิใจไทย

จากนั้นพนักงานสอบสวน สน.บางเขน ได้ยื่นคำร้องฝากขังนายจตุภัทร์ กับพวก คน เป็นเวลา 12 วัน พร้อมคัดค้านการประกันตัว ต่อมาผู้ต้องหายื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว

ด้านพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาที่ 1 (ไผ่ ดาวดิน) ถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันอีกจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากศาล โดยศาลได้กำหนดเงื่อนไข ห้ามผู้ต้องหาที่ 1 ไปทำการในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหา หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง แต่ผู้ต้องหาที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข จนพนักงานสอบสวนได้มีหนังสือเพื่อขอให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 1 กรณีมีเหตุเชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 1 จะมีเหตุหลบหนี หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก จึงไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 1 ให้ยกคำร้อง ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 และ 3 ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหากระทำการยุยง ปลุกปั่น หรือก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น

ส่วนที่ศาลจังหวัดธัญบุรี พนักงานสอบสวน สภ.คลองห้า ได้ยื่นคำขอฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลจำนวน 9 สำนวน โดยมีสำนวนของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และสำนวนของนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ รวมอยู่ด้วย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564 บริเวณถนนเลียบคลองห้า หน้ากองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 หมู่ที่ 6 ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ในข้อหากระทำความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น, ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ที่มีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คน เป็นต้น โดยพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราว

คดีนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 2 ส.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บชน.ได้จับกุมนายจตุภัทร์ หรือไผ่ดาวดิน กับพวกมาควบคุมที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.คลองห้า ต่อมาวันเดียวกัน นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน, นายณัฐชนน, น.ส.ปนัดดา, นายภาณุพงศ์หรือไมค์, นายธนพัฒน์, นายพรหมศร, นายชาติชาย, นายสิริชัย เป็นแกนนำหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการให้มีการ มั่วสุมกันมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก ตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

โดยนายพริษฐ์หรือเพนกวิน กับพวกมีการสลับกันขึ้นพูดปราศรัยบนรถที่มีเครื่องขยายเสียงโดยไม่มีการขออนุญาต มีการพูดปลุกเร้า กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวนายจตุภัทร์หรือไผ่ดาวดิน กับพวกที่ถูกจับกุมและควบคุมตัวอยู่ภายใน บก.ตชด.ภ.1 ออกมา และมีการก่อความวุ่นวายโดยใช้รถยนต์ปิดกั้นถนนลักษณะเป็นการขัดขวางการจราจร ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนวุ่นวายในบ้านเมือง อีกทั้งยังได้ปราศรัยโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่และรัฐบาล

ด้านทนายความของผู้ต้องหาที่ 1-9 ได้ขอคัดค้านการขอฝากขัง และขอให้ศาลไต่สวนพนักงานสอบสวนด้วย ซึ่งศาลได้เปิดห้องพิจารณา

ต่อมา ศาลได้อ่านคำสั่งการขอปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาทั้ง 9 คนว่า พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ตามข้อกล่าวหา ผู้ต้องหาได้กระทำการโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวมในภาวะที่เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในวงกว้าง ทั้งที่ผู้ต้องหาอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอื่นอันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ต้องหาไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย หากปล่อยตัวชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว จึงไม่มีเหตุที่จะปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสอบสวน ให้ยกคำร้อง

หลังศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 9 คนโดยไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 9 คนไปคุมขังอย่างเรือนจำธัญบุรีต่อไป

ส่วนที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ได้ยื่นคำร้องฝากขังนายอานนท์ นำภา ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ขณะที่ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอคัดค้านการฝากขังว่า พนักงานสอบสวนไม่มีเหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นที่จะขอให้ศาลออกหมายขัง พร้อมแถลงต่อศาลว่า ตนมีอาชีพเป็นทนายความ จบการศึกษานิติศาสตร์ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและติดต่อได้ ไม่มีประวัติการหลบหนี รวมทั้งคดีนี้ผู้ต้องหาก็เข้ามอบตัวเมื่อทราบว่ามีหมายจับ

ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องยืนยันว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้องขอฝากขังผู้ต้องหา เพราะการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากต้องทำการสอบสวนพยานอีก 10 ปาก และต้องรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา ประกอบกับผู้ร้องเกรงว่า หากไม่ขอฝากขังผู้ต้องหาไว้ ผู้ต้องหาอาจไปข่มขู่พยานบุคคลที่ได้มีการฟังคำปราศรัยของผู้ต้องหา หรือยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ทำให้การสอบสวนของเจ้าพนักงานอาจเกิดข้อขัดข้องได้

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีอัตราโทษจำคุกสูงตั้งแต่ 10 ปี เมื่อการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น จึงมีความจำเป็นต้องฝากขังผู้ต้องหาเพื่อสอบสวนต่อ จึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ตามคำขอ หลังจากนั้น นายอานนท์ ได้ยื่นขอประกันตัว โดยยื่นหลักทรัพย์จำนวนหนึ่ง ศาลพิจารณาคำร้องแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว และให้ส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป

3. สธ.เผย พบโควิดสายพันธุ์เดลต้าทั้ง 76 จังหวัดแล้ว ด้าน “หมอมนูญ” ชี้ 100 วันอันตราย คนไทยจะติดเชื้อครึ่งประเทศ 35 ล้านคน!



สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันยังหนัก โดยเมื่อวันที่ 8 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 19,983 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 138 ราย, วันที่ 9 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 19,603 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 149 ราย, วันที่ 10 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 19,843 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 235 คน, วันที่ 11 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,038 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 207 ราย, วันที่ 12 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 22,782 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 147 ราย, วันที่ 13 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 23,418 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 184 ราย และล่าสุด 14 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 22,086 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 217 ราย

ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แถลงเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ถึงผลการตรวจเฝ้าระวังเชื้อโควิด-19 ในไทยว่า “สายพันธุ์เดลต้าพบมากขึ้น และคงเบียดสายพันธุ์อัลฟ่าเรื่อยๆ จนสุดท้ายเกือบทุกรายน่าจะเป็นสายพันธุ์เดลต้าเป็นหลัก ...สายพันธุ์เดลต้าขึ้นทุกสัปดาห์ มาค่อนข้างเร็ว เพราะกระจายเชื้อได้ง่าย ขณะนี้พบทั้ง 76 จังหวัดแล้ว แม้การตรวจนี้จะยังไม่พบที่ จ.สุพรรณบุรี แต่เข้าใจว่าอาจจะยังตรวจไม่เจอ ไม่ได้แปลว่าไม่มี จึงอาจสรุปได้ว่า มีสายพันธุ์เดลต้าครบทุกจังหวัดของไทยแล้ว”

สำหรับการฉีดวัคซีนให้ประชาชนยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคจากสหรัฐ ให้ 13 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เพื่อฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด้านหน้า รวมทั้งประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ได้แก่ ผู้ที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเมื่อวันที่ 11 ส.ค.ว่า ได้รับทราบว่า สหรัฐจะบริจาควัคซีนให้ไทยเพิ่มอีก 1 ล้านโดส คาดจะเป็นวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มจากที่ได้รับบริจาคมาแล้ว 1.5 ล้านโดส และว่า การจัดหาวัคซีนของไทยในปี 64 เราได้สั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์แล้ว 20 ล้านโดส ล่าสุด ทางบริษัทผู้ผลิตแจ้งว่า จะมีการจัดสรรโควตาเพิ่มให้อีก 10 ล้านโดส ในปีนี้ ซึ่งจะรวมเป็น 30 ล้านโดสภายในไตรมาส 4 ของปีนี้

ด้าน นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ รพ.วิชัยยุทธ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “100 วันข้างหน้าจะเป็น 100 วันอันตราย จำนวนคนติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าในไทยจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ต่อให้เรามีการล็อกดาวน์เข้มข้นแค่ไหน อยู่บ้านก็ไม่สามารถหยุดเชื้อได้ บ้านกลับเป็นแหล่งระบาดที่สำคัญที่สุด จึงควรผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์บางอย่างได้บ้าง ก่อนที่เศรษฐกิจจะเสียหายมากไปกว่านี้ ใน 100 วันข้างหน้า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่แท้จริงของไทยอาจเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน หมายถึงคนไทยครึ่งประเทศจะติดเชื้อ และจะมีคนไทยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 3 หมื่นคน”

นพ.มนูญ กล่าวอีกว่า “คนไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรกแล้ว 16 ล้านคน ยังขาดอีก 40-45 ล้านคน วิธีเดียวที่จะลดจำนวนผู้ป่วยหนักเข้านอนใน รพ. และลดจำนวนคนเสียชีวิต คือการฉีดวัคซีน และต้องเร่งฉีดให้เร็วที่สุดภายใน 100 วันข้างหน้า ไม่ใช่รอถึงปลายปีหรือต้นปีหน้า โดยปูพรมฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าให้คนไทยอีก 40-50 ล้านคน ฉีดวันละ 5 แสนคน โดยให้เข็มแรกทุกคนไปก่อน เมื่อมีวัคซีนเพิ่ม ค่อยให้เข็ม 2 ในภายหลัง”

นพ.มนูญ กล่าวด้วยว่า “ปัญหาสำคัญที่เรากำลังประสบขณะนี้คือ การขาดแคลนวัคซีนอย่างหนัก ผมเคยเขียนเสนอให้รัฐบาลไทยเจรจาต่อรองกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าให้ส่งมอบวัคซีนที่สั่งจองล่วงหน้าให้ประเทศไทยเร็วขึ้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประเทศไทยสั่งจองวัคซีนล่วงหน้าน้อยและช้ากว่าประเทศอื่น ผมเห็นด้วยกับ ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนฯ งดการส่งออกวัคซีนที่ผลิตที่สยามไบโอไซเอนซ์ให้ประเทศอื่นเป็นการชั่วคราว

เป็นที่น่าสังเกตว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ได้ยกระดับคำเตือนให้เลี่ยงเดินทางไปหลายประเทศที่มีผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้น รวมทั้งประเทศไทย โดยปรับระดับคำเตือนการเดินทางมาไทย มาอยู่ในระดับสูงสุดคือ ระดับ 4 โดยแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมาประเทศไทย หรือหากจำเป็นต้องเดินทางมา ให้แน่ใจว่า ผู้เดินทางได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก่อนเดินทาง

4. ตำรวจคุมฝูงชนถูกกระสุนปืนผู้ชุมนุมเจาะคอ ด้าน “ไฮโซลูกนัท” ถูกโลหะแก๊สน้ำตาคิ้วแตก!



สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลแทบทุกวัน แม้เจ้าหน้าที่จะเตือนให้ยุติการชุมนุม เนื่องจากผิดต่อกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ผู้ชุมนุมไม่ยุติ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมีการกระชับพื้นที่ มีการฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และบางครั้งถึงขั้นกระสุนยาง เพื่อให้มีการยุติการชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมบางคนก็มีอาวุธ เช่น หนังสติ๊ก หัวน็อต ลูกเหล็กกลม มีดพับ พลุ ระเบิดปิงปอง ประทัดยักษ์ อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ เป็นต้น เมื่อมีการปะทะ จึงบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ผู้ชุมนุมยังได้เผาทรัพย์สินราชการเสียหาย เช่น รถตำรวจ ป้อมตำรวจ ฯลฯ

ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้สรุปผลการจับกุมผู้ต้องหากลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ส.ค.รวม 14 คน ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) และโฆษก บช.น.เผยว่า การชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ส.ค. มีตำรวจบาดเจ็บ 5 นาย โดย พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.ได้ไปเยี่ยม ส.ต.ต.นิตินัย ครองสม ผบ.หมู่ร้อย 3 กก.ควบคุมฝูงชน 1 บก.อคฝ.ได้รับบาดเจ็บถูกวัตถุของแข็งยิงเข้าที่บริเวณลำคอ พูดง่ายๆ เหมือนหมาลอบกัด ตำรวจบาดเจ็บอยู่ระหว่างพักคอยปฏิบัติหน้าที่ แล้วถูกกลุ่มผู้ชุมนุมใช้อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ยิงเข้ามา โชคดีหัวกระสุนติดที่ต่อมไทรอยด์ เฉียดหลอดลม หากทำให้ฉีกขาด จะเสียชีวิต ส่วนความเสียหายนั้น มีรถยนต์ 7 คัน รถจักรยานยนต์ 4 คัน ตู้ยามตำรวจ 4 แห่ง ทรัพย์สินประชาชนเสียหาย ประชาชนจะแจ้งความ ทั้งนี้ ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน

พล.ต.ต.ปิยะ ยังกล่าวหลังกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมประกาศนัดชุมนุมในวันที่ 10 ส.ค.ที่แยกราชประสงค์ด้วยว่า กทม.เป็นพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และพื้นที่ควบคุมสูงสุด ห้ามการชุมนุม การชักชวนให้การสนับสนุนการชุมนุม ถือเป็นการกระทำผิด และจะจับกุมผู้รับจ้างนำคนเข้ามาชุมนุม การชักชวนผ่านสื่อออนไลน์ จะประสานข้อมูลให้ บช.สอท.ตรวจสอบ “ขณะนี้ชื่อผู้ว่าจ้างและหลักฐานทางการเงิน มีการรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับ สืบสวนรับจ้างจากใครมาอีกนั้น การรับจ้างมาเป็นประจำได้เงินประมาณ 2,000-3,000 บาท ส่วนอยู่ในหน้าที่ทางการเมืองหรือไม่ หากเปิดเผยชื่อ ทุกคนจะรู้จัก ขอสงวนเอาไว้ก่อน”

ส่วนในการชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้าเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่ผู้ชุมนุมพยายามจะเคลื่อนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปยังบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ชุมนุมได้พยายามฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ มีการยั่วยุด้วยการปาระเบิดปิงปองใส่แนวกำลังตู้คอนเทนเนอร์ แม้เจ้าหน้าที่ประกาศเตือน ก็ไม่หยุด สุดท้ายจึงเจอโต้กลับด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ขณะที่ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการขว้างดอกไม้ไฟ ระเบิดควัน และยิงหนังสติ๊กเข้าใส่

ซึ่งภายหลังทราบว่า นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท แกนนำกลุ่มสลิ่มกลับใจ ที่เข้าร่วมชุมนุมหลายครั้ง ถูกของแข็งเข้าที่คิ้วขวาเหนือตาเป็นแผล จึงถูกนำตัวขึ้นรถจักรยานยนต์ส่งโรงพยาบาล เบื้องต้นมีรายงานว่า อาจเป็นเศษโลหะจากแก๊สน้ำตา จึงต้องผ่าตัด ทั้งนี้ เฟซบุ๊กของไฮโซลูกนัท ยังมีการโพสต์ข้อความถึงมวลชนด้วยว่า “ขอให้มวลชนของเรายึดมั่นในการต่อสู้แบบสันติของเราดังเดิม ไม่ต้องห่วงทางนี้ ผมโอเคมากๆ และยังจะสู้ต่อไป เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

5. “ณัฐวุฒิ” นัด CAR PARK 3 เส้นทาง ไล่ “พล.อ.ประยุทธ์” 15 ส.ค.นี้ ยัน ชักธงสันติ ไม่ใช่สงคราม!



เมื่อวันที่ 8 ส.ค. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กนัดชุมนุมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ว่า “วันที่ 10 ส.ค. มีขบวนคาร์ม็อบของคนหนุ่มสาว ผมขอส่งกำลังใจเป็นแรงหนุน เตรียมการยกระดับการปราศรัย โดยรวมเอาคาร์ม็อบกับไฮปาร์กเข้าด้วยกันเป็น CAR PARK เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ 15 ส.ค.นี้ ยกระดับการปราศรัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย เคลื่อนขบวน หยุดขบวน และแสดงพลังเป็นหนึ่งเดียว เสียงไล่ประยุทธ์จะเลื่อนลั่นสะท้านแผ่นดินสันติวิธี ประสานพลังไปกับนักสู้รุ่นใหม่”

ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ได้แถลงอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ถึงการเคลื่อนขบวน CAR PARK เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 15 ส.ค.นี้ว่า จะเริ่มเคลื่อนขบวนตั้งแต่ 15.00 น. พร้อมกันที่จุดเริ่มต้น 3 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.แยกราชประสงค์ ตั้งขบวนมุ่งหน้าพระราม 4 เลี้ยวซ้ายที่สวนลุมพินี ผ่านบ่อนไก่ เลี้ยวซ้ายตรงพระโขนง เข้าคลองตัน แล้วเลี้ยวกลับเส้นทางราชประสงค์ ซึ่งจุดนี้จะมีนายณัฐวุฒิเข้าร่วมด้วย

2.อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มุ่งหน้าสะพานพระปิ่นเกล้า เลี้ยวกลับใต้สะพาน สายใต้ใหม่แห่งเก่า กลับมุ่งหน้าถนนจรัญสนิทวงศ์ เลี้ยวซ้ายกลับรถใต้สะพานพระราม 7 และเลี้ยวซ้ายตรงปิ่นเกล้า ข้ามสะพานกลับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 3.คิวรถตู้ตรงข้ามอยุธยาปาร์ค ไปตามถนนสายเอเชีย ตัดถนนวิภาวดีรังสิต มายุติตรงเส้นทางห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งจุดนี้จะมีนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ไปร่วมด้วย

นอกจากจะมีขบวนเคลื่อนผ่านตามจุดต่างๆ แล้ว ในเวลา 18.00 น.จะมีการแสดงเชิงสัญลักษณ์ กดแตรรถตามความยาวของเพลงชาติไทย เพื่อเป็นการส่งสัญญาณขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งถือว่าจบภารกิจและยุติแยกย้ายกลับ ครั้งนี้จะเป็นการยกระดับการปราศรัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย เดิมพันสันติภาพ ให้สังคมเป็นกรรมการ และจะพยายามให้กิจกรรมผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย

นายณัฐวุฒิ ยังสื่อสารไปถึงเจ้าหน้าที่และรัฐบาลด้วยว่า หลายวันมานี้มีเหตุการณ์ปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมที่หลายฝ่ายเป็นห่วง ดังนั้นต้องชี้แจงเหตุผลให้ชัดว่า การเคลื่อนขบวนในวันที่ 15 ส.ค.นี้ เป็นการชักธงสันติ ไม่ใช่ชักธงสงคราม ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่หวังว่าวันที่ 15 ส.ค.นี้จะเป็นสันปันน้ำ ให้ทุกคนตั้งสติ พิจารณาทุกอย่างและร่วมกันยุติความรุนแรง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับฝ่ายใด พร้อมย้ำว่า อยู่ข้างประชาชน ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้น รัฐบาลและหน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบ

นายณัฐวุฒิ ยืนยันด้วยว่า “เราเจตนาไม่เคลื่อนผ่านทำเนียบฯ กรมทหารราบที่ 1 หรือพื้นที่ที่จะถูกเป็นเงื่อนไขให้เผชิญหน้า แต่เป็นการแสดงออกทางการเมือง สงบสันติ ปราศจากอาวุธ ไม่ลุย ไม่บวก มีกรอบเวลาชัดเจน เสร็จแล้วทุกคนกลับบ้าน”

นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า ยอมรับในความกล้าหาญของคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งมั่นสู้เพื่ออนาคตของบ้านเมือง แต่ขอให้ใช้พลังของประชนซึ่งถือเป็นด้านแข็ง สู้กับด้านอ่อนที่สุดของคู่ต่อสู้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ และขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ประชาชนต้องไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ความรุนแรง เช่นเดียวกับที่ตนเคยเผชิญหน้ามาเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ดังนั้นจึงขอให้ออกมาช่วยกันในวันที่ 15 ส.ค.นี้

นายณัฐวุฒิ ยังเชื่อด้วยว่า บรรยากาศการปะทะทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นความพึงพอใจของผู้มีอำนาจ และต้องการให้จบด้วยภาพความรุนแรง เพราะหากไม่ใช่เช่นนั้น คงจะเห็นคนในรัฐบาลออกมาพูดบ้างแล้ว จึงขอให้ประชาชนรู้เท่าทัน อย่าหลงเข้าไป เพราะสุดท้ายจะเป็นไปตามเป้าหมายของผู้มีอำนาจ


กำลังโหลดความคิดเห็น