รศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ติงเน็ตไอดอลชื่อดัง การติดทีวี-ติดแผงโซลาร์เซลล์ ไม่ใช่ความฝันของเด็กดอย เป็นเพียงความฝันโปรดสัตว์ชนชั้นล่างของชนชั้นกลาง เผยยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ การเบียดขับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่คนในเมืองไม่เข้าใจ แขวะฝ่ายประชาธิปไตยโหนทุกอย่างเพื่อวิพากษ์รัฐ วิพากษ์สถาบันฯ
จากกรณีที่ “พิมรี่พาย” หรือ น.ส.พิมพ์พรรณ สรัลรัชญ์ เน็ตไอดอล และแม่ค้าออนไลน์จำหน่ายน้ำหอมชื่อดัง โพสต์วิดีโอคลิป ระบุว่าได้นำเงิน 550,000 บาทไปซื้อทีวี ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และสร้างแปลงผักให้แก่เด็กๆ ที่หมู่บ้านแม่เกิบ ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นของขวัญในวันเด็กแห่งชาติ โดยอ้างว่าเด็กๆ เรียนไม่ถึงชั้นมัธยมเพราะไม่มีความฝัน อยู่ในโลกแคบๆ ไม่รู้ว่าโตขึ้นอยากทำอาชีพอะไร ไม่มีทีวี หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ต และเด็กบางคนไม่เคยกินข้าวไข่เจียว อาหารที่ดีที่สุดคือน้ำพริก กระทั่งได้รับเสียงชื่นชมจากชาวเน็ตจำนวนมากนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 ม.ค. รศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Pinkaew Laungaramsri” ว่า
“ความฝันมันสร้างกันง่ายๆ ด้วยการติดทีวีให้ดู ติดแผงโซลาร์เซลล์ หาเกิบให้เด็กใส่ เอาไฟฉายติดให้บนหัว เลิก “ถางภูเขาเป็นลูกๆ” และ “สอน” ชาวบ้านให้หัดรู้จักปลูก “ผักสลัด”
มันไม่ใช่ความฝันของเด็กดอยหรอกแบบนี้ มันความฝันอยากจะโปรดสัตว์ชนชั้นล่าง ของพวกชนชั้นกลางในเมืองที่ไม่เคยรู้/สนห่าเหวอะไรเลยเกี่ยวกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ การเบียดขับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย และการตัดขาดพวกเขาออกจากการเข้าถึงทุกอย่างในสังคม ที่อย่าว่าแต่ทีวีเลย ลำพังแค่จะทำไร่ปลูกข้าวให้มันพอกินในที่ดินที่พวกป่าไม้ยึดครอง ยัง “ขัดตา” พวกชนชั้นกลางในเมืองเลย
เศรษฐกิจการโปรดสัตว์ สนองตัณหาความฟีลกู๊ดของพวกคนในเมืองสร้างกำไรเสมอ โดยเฉพาะในวันเด็กแบบนี้
ความน่าเศร้าของฝ่ายประชาธิปไตยบางคน คือ คนเหล่านี้พร้อมที่จะใช้ทุกอย่างเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายของการที่พวกเขาคิดว่ามันคือการวิพากษ์รัฐ วิพากษ์เจ้า และทั้งที่ก็รู้เต็มอกว่าสิ่งที่พวกเขา endorse นั้นคือการผลิตซ้ำวาทกรรมเหยียดชาติพันธุ์ : มนุษย์ถ้ำ, ถางป่าถางเขา, ปลูกผักไม่เป็น ฯลฯ การสนับสนุนทัศนะ patronizing ของคนเมืองต่อคนบนดอย และการเห็นด้วยกับการบิดเบือนความเป็นจริงของชีวิตของผู้คนในเขตป่า การทำเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ชาวบ้านกลายเป็นเหยื่อที่ไร้เสียง แต่เรื่องที่ย้อนแย้งคือ มันกลับสนับสนุนอำนาจของรัฐที่พวกเขาคิดว่าต่อต้าน ด้วยการผลิตซ้ำตรรกะของรัฐเสียเอง
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการผลิตสร้างภาพลักษณ์อันแสน pathetic ของเด็กบนดอยนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างกำไรในธุรกิจออนไลน์ของเหล่ายูทูปเบอร์อย่างไร (ผู้ที่สนใจโปรดเข้าไปติดตามข้อเท็จจริง หรือการบิดเบือนข้อเท็จจริงกันเอาเองในเพจ ศศช.บ้านแม่เกิบ กศน.อมก๋อย) การสะสมทุนประเภทนี้ ไม่ยักกะมีคนมีความเห็น”