1.“เสรีพิศุทธ์” เตือนศาล รธน. อุ้ม “บิ๊กตู่” ปมบ้านพักหลวง เจอทัวร์ลงแน่ ด้าน “รุ้ง” เผยลากยาวม็อบ หวังกดดันศาล รธน.!
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดีบ้านพักหลวงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ว่า ระเบียบการอยู่บ้านพักหลวง ราชการกำหนดให้ทุกคนต้องปฏิบัติ สามารถอยู่ได้เฉพาะคนที่ยังอยู่ในราชการเท่านั้น เมื่อตำแหน่งสูงขึ้นก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านพักส่วนตัว และแม้ว่าจะเป็น รมว.กลาโหมก็ไม่มีสิทธิอยู่
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า “การที่ พล.อ.ประยุทธ์อาศัยบ้านพักราชการตลอดช่วงเวลารับราชการเป็น ผบ.ทบ.สามารถพักบ้านพักหลวงได้ แต่หลังจากเกษียณอายุราชการแล้วไม่สามารถอยู่ได้ เพราะหมดคุณสมบัติการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว แม้กองทัพบกจะออกมาระบุว่าเป็นเพียงบ้านพักรับรอง แต่ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาตรา 128 ระบุว่า ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์อื่นใดเกินกว่า 3,000 บาท และการพักบ้านพักหลวงก็เป็นการกระทำเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งผมเป็นกรรมการบริหารของบริษัทเอกชนก็มีค่าใช้จ่ายบ้านพักเดือนละ 3 แสนบาท แล้วบ้านพักนายกฯ จะใช้จ่ายเดือนละเท่าไหร่ ยังไม่รวมพลทหารรับใช้อีก ดังนั้นเชื่อว่าคำวินิจฉัยของศาลคงจะบิดเบี้ยวไม่ได้”
เมื่อถามว่า หากศาลวินิจฉัยว่า นายกฯ ไม่ผิดจะเกิดอะไรขึ้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า จากที่ได้ฟังม็อบพูด ตนเชื่อว่าจะมีทัวร์มาลงศาลและครอบครัวแน่นอน รวมทั้งหากศาลตัดสินว่าไม่ผิด ก็ต้องไปแก้คดีอื่นๆ ที่ตัดสินไปแล้ว และคดีที่กำลังจะตัดสินด้วย เพราะคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญถือว่าผูกพันทุกองค์กร และจะกลายเป็นบรรทัดฐาน "ผมฟังจากม็อบเด็กทั้งหลายว่า ถ้าไม่ผิด ทัวร์ลงศาลแน่ ถ้าเผื่อพิพากษาอุ้มกันอยู่นะ เชื่อเลยประเทศอยู่ไม่ได้ ใครทำผิดก็ต้องผิดสิ ประยุทธ์เป็นเทวดามาจากไหน ไอ้ลูกน้องผมนั่นแหละ"
ด้าน น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มนาษฎร กล่าวปราศรัยบนเวทีชุมนุมที่ห้าแยกลาดพร้าวเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ว่า วันนี้หมายเรียก เนื่องจากกระทำผิดมาตรา 112 มาสดๆ ร้อนๆ แต่ถามว่ากลัวหรือไม่ กล้าพูดเรื่องสถาบันอีกหรือไม่ ตอบเลยว่า ไม่กลัว
นอกจากนี้ น.ส.ปนัสยา ยังย้ำถึงแผนการต่อต้านรัฐประหารว่า ถ้าเกิดรัฐประหารขึ้นจริง เราต้องต่อต้านไม่ให้เขาทำสำเร็จ ต้องออกมา ถ้าทำ พวกเราต้องออกมาที่ห้าแยกลาดพร้าว เอารถไปขวางถนน ทั้งนี้ ที่ออกมาชุมนุม 5 วัน 7 วัน เพราะวันที่ 2 ธ.ค.ที่จะถึง ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยคดีบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เราจะกดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นธรรมที่สุด เพราะคุณเป็นศาล
อนึ่ง มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีหนังสือชี้แจงไปยังศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2563 โดยสาระสำคัญระบุว่า ในความเป็นจริงมีที่อยู่อาศัยถาวรและภูมิลำเนาปรากฏตามทะเบียนบ้านอยู่ที่บ้านเลขที่ 1 ซอยร่วมมิตร ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. หากแต่ด้วย “สถานการณ์ที่ไม่สู้จะสงบ” ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ในฐานะที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสบเรียบร้อยในขณะนั้น จึงจำเป็นต้องเข้าใช้บ้านพักรับรองของกองทัพบก ภายในกรมทหาราบที่ 1 รักษาพระองค์ ถ.วิภาวดีรังสิต เป็นที่พักและเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความสะดวก และรวดเร็วในการสั่งและปฏิบัติราชการ
ส่วนกรณีที่ยังใช้บ้านพักรับรองดังกล่าวหลังเกษียณอายุราชการนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ และมีคุณสมบัติตามแบบธรรมเนียมที่กองทัพบกเคยปฏิบัติต่อ “อดีตผู้บังคับบัญชา” และเป็นไปตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ.2548 โดยคำนึงถึงสถานการณ์ สถานะของความเป็น “นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม” ในสมัยรัฐบาลต่อมาและความจำเป็นอื่นๆ ประกอบกัน จึงพิจารณาให้สิทธิพักอาศัยในบ้านพักรับรองดังกล่าวต่อไปภายหลังเกษียณอายุราชการตั้งแต่ปี 2557 เช่นเดียวกับกรณีของผู้เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นตามควรแก่สถานภาพ และสถานการณ์
“ข้าพเจ้ามิได้กระทำการที่ถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 184(3) เพราะการที่ข้าพเจ้ารับประโยชนใด ๆ จากหน่วยราชการเป็นไปตามที่หน่วยราชการ คือกองทัพบกได้ปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ที่มีสถานภาพและคุณสมบัติเดียวกันในธุรกิจการงานปกติ เพราะระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ.2548 ได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ข้าพจ้ายังมิได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และหลายปีก่อนที่ข้าพเจ้าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้ประโยชน์เช่นเดียวกันนี้แก่อดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบกที่ทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพบกและประเทศชาติ”
พร้อมระบุด้วยว่า “ระเบียบกองทัพบกฯ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรา 184 (3) และคุ้มครองให้สิทธิไปถึงครอบครัว และบริวารของข้าพเจ้าตามมาตรา 84 วรรคสามด้วย จึงไม่เข้ากรณีข้อห้ามแต่ประการใด”
2.การ์ดกลุ่มราษฎร ทะเลาะกันเอง ก่อนชักปืนยิงใส่หลังยุติชุมนุมหน้า SCB ขณะที่ทางกลุ่มยังอ้าง มือก่อเหตุไม่ใช่การ์ด!
หลังจากม็อบกลุ่มราษฎรได้ประกาศหลังชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่หน้ารัฐสภา ว่าการชุมนุมครั้งต่อไป ในวันที่ 25 พ.ย. จะชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก่อนเคลื่อนไปยังสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่า เพื่อทวงคืนทรัพย์สินของราษฎร ส่งผลให้แนวร่วมบางส่วน เช่น กลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตยบางคน ซึ่งร่วมทำหน้าที่การ์ดให้ผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรส่งสัญญาณถอนตัว ไม่เป็นการ์ดให้ เพราะไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไปยังสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มองว่าเป็นการเลยเถิดไป แต่ไม่ห้ามสิทธิสมาชิกกลุ่มที่จะเดินทางไปร่วม แต่ต้องไม่ติดปลอกแขนหรือสัญลักษณ์ว่าอยู่กลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตย
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ย. กลุ่มราษฎรได้มีการนัดชุมนุมที่ถนนอักษะ ย่านพุทธมณฑล ซึ่งการชุมนุมวันดังกล่าว ไม่เพียงเป็นการเปิดตัวกลุ่มเสื้อแดงที่ออกมาร่วมชุมนุมด้วยอย่างเต็มตัว แต่ยังมีการเปิดตัวกลุ่มการ์ดนับสิบกลุ่มที่จะเป็นการ์ดคอยปกป้องผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรในครั้งต่อๆ ไป นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการชุมนุมที่ถนนอักษะ ทางแกนนำได้วิดีโอคอลหานายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 ที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศเพื่อปราศรัยกับผู้ชุมนุมด้วย
ต่อมา 24 พ.ย. เพจเยาวชนปลดแอกได้ประกาศนัดหมายสำคัญของกลุ่มราษฎรในวันที่ 25 พ.ย. โดยนัดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 15.00 น. ก่อนเดินเท้าไปยังสำนักงานพระมหากษัตริย์ต่อไป ด้านเจ้าหน้าที่ได้นำตู้คอนเทนเนอร์เก่ามาตั้งตามแยกต่างๆ ที่เชื่อมต่อไปยังสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าถึงสำนักงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลการนำตู้คอนเทนเนอร์มาวางขวางผู้ชุมนุมแทนรถเมล์ที่ใช้ก่อนหน้านี้ว่า เป็นการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เนื่องจากรถเมล์อาจถูกทำให้สูญเสีย
อย่างไรก็ตาม คืนเดียวกัน (24 พ.ย.) กลุ่มราษฎรได้ประกาศเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมวันที่ 25 พ.ย. เป็นสำนักงานใหญ่เอสซีบี หรือธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งภายหลังได้ให้เหตุผลที่ไม่ไปสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ว่า เพื่อเลี่ยงการปะทะหรือม็อบชนม็อบ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการชุมนุมที่หน้าเอสซีบี ได้มีนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียนชื่อดัง และอดีตผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 เดินทางไปร่วมม็อบกลุ่มราษฎร พร้อมปราศรัยตำหนินายกรัฐมนตรี ที่ก่อนหน้านี้ออกแถลงการณ์จะบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรากับผู้ชุมนุมที่ทำผิด โดยนายสุลักษณ์ อ้างว่า การนำมาตรา 112 มาดำเนินคดีกับแกนนำผู้ชุมนุม ถือเป็นเรื่องที่เลวร้าย พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนและผู้ร่วมชุมนุมร่วมกันบีบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ หลังแกนนำกลุ่มราษฎรประกาศยุติการชุมนุมที่หน้าเอสซีบีในเวลา 3 ทุ่มเศษ วันที่ 25 พ.ย. ปรากฏว่าได้เกิดเหตุมีการยิงกัน และมีผู้ปาสิ่งของบางอย่างดังคล้ายระเบิด ซึ่งเบื้องต้นพบว่า ผู้ถูกยิงเป็นการ์ดของกลุ่มราษฎร ถูกยิงที่ท้อง ทราบชื่อคือ นายประชากร ศักดิ์ศรีเท้า อายุ 20 ปี เป็นอดีตนักเรียนเทคนิคปทุมธานี ส่วนผู้ก่อเหตุถูกผู้ชุมนุมจับกุมไว้ได้และรุมประชาทัณฑ์ จนได้รับบาดเจ็บเช่นกัน คือ นายภาสพงศ์ กุลอมรกานต์ อายุ 25 ปี เป็นอดีตนักเรียนอาชีวะมีนบุรีโปลีเทคนิค
เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งเหตุการณ์การยิง และการปาวัตถุเสียงดังคล้ายระเบิด มีสื่อบันทึกภาพไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีคลิปการพูดคุยกับผู้ก่อเหตุยิง ระหว่างผู้ก่อเหตุถูกนำตัวส่ง รพ. โดยเจ้าตัวระบุว่า เป็นการ์ดของม็อบราษฎรเช่นกัน และตนถูกทำร้ายก่อน นอกจากนี้ยังมีคลิปการคุยกันของหลายบุคคล ทำนองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการทะเลาะกันเองของ 2 ฝ่าย ซึ่งพยายามช่วยเคลียร์แล้ว นอกจากนี้ยังพูดว่า อย่าให้สื่อรู้เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะเสียหมด
อย่างไรก็ตาม แม้คลิปหลักฐานและพยานต่างๆ จะสะท้อนชัดเจนว่า การ์ดของกลุ่มราษฎรทะเลาะวิวาทกันเอง แต่ทางแกนนำและการ์ดกลุ่มราษฎรยังพยายามอ้างว่า คนก่อเหตุไม่ใช่การ์ดของกลุ่ม แต่เป็นคนแฝงตัวเข้ามาหาช่องก่อเหตุ
ซึ่งต่อมา ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานและออกหมายจับผู้ก่อเหตุยิง ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งนายภาสพงศ์ ได้เข้ามอบตัวที่ สน.พหลโยธิน หลังรักษาตัวจากการถูกรุมประชาทัณฑ์แล้ว โดยเดินทางมาพร้อมบิดาและนายธนเดช ศรีสงคราม หัวหน้ากลุ่มอาชีวะมีนบุรี หลังก่อเหตุใช้อาวุธปืนลูกโม่ขนาด .38 ยิงเข้าใส่นายประชากร
เบื้องต้นนายภาสพงศ์ ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พร้อมระบุว่า สาเหตุเกิดจากตนมีปัญหาส่วนตัวกับคนเจ็บ เพราะถูกฝ่ายคู่กรณีมาโพสต์เฟซบุ๊กแขวะเกี่ยวกับความเห็นต่างเรื่องการจาบจ้วงสถาบัน ที่พวกตนไม่เอาด้วย และมีกลุ่มรุ่นพี่ตนไปปราศรัยที่ จ.ชัยนาท โดยพูดถึงกลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตย ทั้งนี้ วันเกิดเหตุพวกตนมาที่รัชโยธิน เพื่อเป็นการ์ดดูแลมวลชน แต่ไม่ได้สวมปลอกแขน เพราะเข้ามาในฐานะประชาชน ยืนยันไม่ได้มีใครจ้างพวกตนมา เพราะขนาดเจ็บตัวก็ยังต้องออกเงินรักษาเอง
นายภาสพงศ์ ยังให้การกับตำรวจด้วยว่า เหตุที่ไม่ติดปลอกแขน เพราะก่อนหน้านั้นมีคุยกันก่อนแล้วว่า เราไปในฐานะราษฎร ปลอกแขนอะไรห้ามติด ห้ามใส่ แต่ ผมเห็นฝั่งเขาที่มีปัญหากับผม เขาก็ใส่กัน เมื่อตำรวจถามว่า แล้วอาวุธปืนเอามาจากไหน นายภาสพงศ์ ตอบว่า หัวหน้าการ์ดให้
3.อสส.มีคำสั่งฟ้อง "วิรัช รัตนเศรษฐ" กับพวก คดีทุจริตสร้างสนามฟุตซอลโคราช เมื่อครั้งเป็น ส.ส.เพื่อไทย!
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กับอัยการสูงสุด (อสส.) ได้ร่วมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย กับพวก กรณีทุจริตเงินจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษาที่ 2 จ.นครราชสีมา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งก่อนหน้านี้คณะทำงานร่วมเคยมีมติเห็นควรสั่งฟ้องนายวิรัชไปยังอัยการสูงสุด
ซึ่งการประชุมร่วมวันดังกล่าวได้มีการเเจ้งคำสั่งอัยการสูงสุด ให้ฟ้องนายวิรัช กรณีทุจริตเงินจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลฯ โดยฝ่ายอัยการจะใช้เวลาร่างคำฟ้องประมาณ 60 วัน ก่อนจะยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
สำหรับคดีทุจริตจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษาที่ 2 จ.นครราชสีมานั้น ตามสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช.ระบุว่า ผู้ถูกกล่าวหาประกอบด้วย ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการระดับสูง และกลุ่มเอกชน ซึ่งมีพฤติการณ์ร่วมกันทุจริตเชิงนโยบาย และเป็นตัวการร่วมกันในลักษณะการแบ่งหน้าที่กันทำตามบทบาทตามหน้าที่และอำนาจที่แต่ละคนมี และเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการกระทำความผิด โดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนร่วมดำเนินการอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการโดยทุจริต
เริ่มจากขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2555 (งบแปรญัตติ) ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาใน จ.นครราชสีมา และจังหวัดอื่น รวม 18 จังหวัด วงเงินประมาณ 4,459,420,000 บาท ใน 2 โครงการหลัก หนึ่งในนั้นคือ โครงการก่อสร้างสนามกีฬาฟุตซอล รวมทั้งมีการวางแผนทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอีกหลายประการ เพื่อให้กลุ่มเอกชนที่เป็นพรรคพวกของตนเองได้เข้าเป็นคู่สัญญา และการก่อสร้างสนามกีฬาฟุตซอลไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริงตรงตามวัตถุประสงค์ โดยมีการชี้มูลการกระทำผิดเป็น 7 สำนวน อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องไป 1 สำนวน ส่วนสำนวนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด
ด้านนายวิรัช กล่าวว่า ไม่มีปัญหาปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนขอปฏิเสธ ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงการใช้งบประมาณ โดยจะชี้แจงข้อเท็จจริงรวมไปถึงแนวทางการสู้คดีในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีอัยการสูงสุดเเจ้งคำสั่งฟ้อง นายวิรัช รัตนเศรษฐ กรณีทุจริตจัดสร้างสนามฟุตซอล ในการประชุมร่วม ปปช.- อสส. โดยจะใช้เวลาร่างคำฟ้อง 60 วัน ก่อนยื่นศาลฎีกานักการเมืองว่า ความรับผิดชอบทางการเมือง อยู่เหนือความรับผิดชอบทางกฎหมาย ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าใจและยึดมั่นในหลักการนี้หรือไม่ และว่า เมื่ออัยการสูงสุดสั่งฟ้องแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะเพิกเฉย นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็นไม่ได้ อย่าให้ประชาชนตั้งคำถามว่า กับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น แต่แอบหลิ่วตาช่วยผ่อนปรนให้พวกเดียวกันให้รอดหรือไม่
โดยเฉพาะการเป็นเป็นประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่ออัยการสูงสุด เเจ้งคำสั่งฟ้อง นายวิรัชต้องเข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดี ต้นทุนของรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญติดลบอยู่แล้ว เมื่อนายวิรัช ที่เป็นประธานกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถูกสั่งฟ้อง ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากสังคมจึงวิกฤติ ติดลบอย่างหนัก “พล.อ.ประยุทธ์ ต้องให้นายวิรัชยุติการปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าการพิจารณาคดีจะถึงที่สุด หากดันทุรังปฎิบัติหน้าที่ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะทำให้รัฐบาลพังพาบเร็วขึ้น"
4.พบสาวเชียงใหม่ ติดโควิดจากเมียนมา กลับไทยไม่ได้เข้าสถานกักกันโรค เดินห้างดัง-ดูหนัง-เที่ยวผับ มีผู้เข้าข่ายเสี่ยงสัมผัส 326 ราย!
วันนี้ (28 พ.ย.) ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 5 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และพบในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ ทุกรายเข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ประกอบด้วย อินเดีย 2 ราย ฟิลิปปินส์ 1 ราย และสวีเดน 1 ราย ส่วนอีก 1 รายเป็นหญิงไทยอายุ 29 ปี มาจากเมียนมา ไม่ได้เข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ ซึ่งวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 8 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสมรวม 3,966 ราย รักษาหายรวม 3,798 ราย ยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 108 ราย ผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 60 ราย
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ผู้ป่วยรายล่าสุดของประเทศไทย ที่เป็นหญิงไทย อายุ 29 ปี มีประวัติที่ได้จากการสอบสวนอย่างรวดเร็ว เบื้องต้นดังนี้ วันที่ 24 ต.ค.-23 พ.ย. อยู่ในประเทศเมียนมา วันที่ 23 พ.ย. เริ่มมีอาการป่วย ด้วยอาการไข้ ถ่ายเหลว จมูกไม่ได้กลิ่น วันที่ 24 พ.ย. ยังมีอาการไข้ ไอ ปวดศีรษะ เวลา 05.00 น. เดินทางจากเมียนมาเข้าแม่สาย จ.เชียงราย ด้วยรถตู้สาธารณะ เวลา 11.00 น. เดินทางจากเชียงราย มาเชียงใหม่ ด้วยรถบัสประจำทาง
เวลา 14.51 น. เดินทางถึงเชียงใหม่ ใช้บริการ Grab Car 1 คัน กลับคอนโดของผู้ป่วย ช่วงกลางคืนใช้บริการรถ Grab Car 2 ไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ย่านสันติธรรม กับเพื่อน 2 คน มีการสูบบุหรี่ร่วมกัน เวลา 02.00 น. เข้าพักค้างคืนที่คอนโดแห่งหนึ่งของเพื่อน ที่มาจากสถานบันเทิงด้วยกัน พร้อมกับเพื่อนคนที่ 1 และมีเพื่อนคนที่ 2 และคนที่ 3 ซึ่งพักอยู่ในห้องใกล้กันตรงข้ามกัน เข้ามาร่วมดื่มสุรา
เมื่อวันที่ 25 พ.ย. เวลา 12.00 น. ออกจากคอนโดของเพื่อน ใช้บริการ Grab Car 3 เวลา 13.00 น. เดินทางกลับถึงคอนโดที่พักของผู้ป่วย เวลา 15.30-20.30 น. ใช้บริการรถ Grab Car 4 ไปห้างสรรพสินค้าและอยู่ในห้าง โดยมีกิจกรรม คือ ชมภาพยนตร์ ทานอาหาร และเดินซื้อของ โดยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของผู้ป่วยสวมใส่หน้ากากอนามัย แต่ไม่ตลอด และได้เรียก Grab Car 5 กลับคอนโด
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. เวลา 15.30 น. ใช้บริการ Grab Car 4 เพื่อไปตรวจที่ รพ.เอกชน แห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ มีอาการจมูกไม่กลิ่น และถ่ายเหลว อุณภูมิร่างกาย 36.9 เซสเซียส ตรวจหาเชื้อโควิด-19 เวลา 22.00 น. ส่งต่อ เข้ารับการตรวจหาเชื้อที่ รพ.นครพิงค์ วันที่ 27 พ.ย. ผลตรวจยืนยันพบเชื้อ ทีมปฏิบัติการสอบสวนโรค สสจ.เชียงใหม่ และ สคร.1 ดำเนินการสอบสวนและควบคุมโรค
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา ได้เกิดกรณีหลายเหตุการณ์ เช่น 1.การค้นพบผู้ขนส่งชาวเมียนมา ติดเชื้อบริเวณชายแดนแม่สอด 2.หญิงฝรั่งเศสที่ติดเชื้อจากการปนเปื้อนเชื้อในสถานการณ์กักกันโรค ซึ่งจะต้องเข้าไปตรวจสอบ 3.การลักลอบเข้าเมืองของชาวเมียนมา ที่มีการกลับคำให้การจากเดิมบอกว่ามาจากแม่สอด แต่ข้อมูลจริงคือมาจากมาเลเซีย 4.ชายชาวอินเดีย ที่ตรวจพบเชื้อจากการตรวจร่างกายเพื่อทำใบ Work Permit ใน จ.กระบี่ ซึ่งเป็นการติดเชื้อมานานแล้วแต่เพิ่งตรวจพบเชื้อ 5.ทหารเกาหลี ที่เดินทางเข้าไทยเพื่อมาร่วมฝึกอบรม 6.รัฐมนตรีจากประเทศฮังการี 7.ทูตประเทศฮังการีประจำประเทศไทย 8.การพบชาวเมียนมา ในศูนย์พักพิงอุ้มเปี้ยม จ.ตาก และ 9.หญิงไทย อายุ 17 ปี ที่มีผู้ปกครองเป็นชาวไทยและเมียนมา ป่วยเป็นโรค SLD โดยลักลอบเข้าประเทศไทย
“ดังนั้น วัตถุประสงค์ในการควบคุมโรค คือ 1.ยืนยันว่าผู้ป่วยรายนั้นเป็นการติดเชื้อโควิด-19 จริง 2.หาสาเหตุว่าติดมาจากที่ใด และ 3.เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นการแพร่กระจายให้ผู้อื่น แต่ในบางรายอาจจะให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จึงต้องมีการสอบสวนเพื่อให้เกิดความมั่นใจและให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง จึงเป็นบทเรียนและประสบการณ์ในการป้องกันในครั้งต่อไป ทั้งนี้ การสวมหน้ากากอนามัย ยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก การใช้กล้องวงจรปิดช่วยสืบสวนโรคได้อย่างดี รวมถึงการใช้แอพพลิเคชั่นไทยชนะที่จะทำให้ทราบข้อมูลการเข้าออก”
ทั้งนี้ มีผู้เข้าข่ายสัมผัสเสี่ยงสูงและต่ำกับผู้ป่วยรายดังกล่าวจำนวน 326 คน ด้านศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ ได้ออกประกาศว่า ขอปิดให้บริการในวันนี้ (28 พ.ย.) ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป เพื่อดำเนินการป้องกันเชิงรุก ทำ BIG CLEANING พร้อมฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทุกจุดทั่วทั้งศูนย์ฯ โดยจะเปิดให้บริการวันพรุ่งนี้ (29 พ.ย.) ตามเวลาปกติ
5.รวบอดีตผู้บริหารพร้อมพวกรวม 9 ราย โกงเงินสหกรณ์รถไฟ 2,800 ล้าน!
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ ผบก.รฟ. กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกันแถลงยุทธการ “ด่วนนรกซอมบี้” จับกุมเครือข่ายทุจริตเงินสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด (สอ.สรฟ.) ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้
โดยผู้ต้องหา ประกอบด้วย นายบุญส่ง หงส์ทอง อายุ 70 ปี อดีตผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายจัดการ สอ.สรฟ., น.ส.พิมพา รอดรัศมี อายุ 49 ปี, น.ส.อรชนก สงัดศัพท์ อายุ 31 ปี, นายวีระชัย ศรีสวัสดิ์ อายุ 59 ปี, นางสุรัตน์ ศรีสวัสดิ์ อายุ 69 ปี, นายประพัฒน์ ศรีสวัสดิ์ อายุ 37 ปี, นายศุภกิจ อ้นอารี อายุ 44 ปี, นายปรีชา ธนะไพรินทร์ อายุ 63 ปี และ น.ส.ณัฐญาณิศ มหาโชติ อายุ 40 ปี รวม 9 ราย
ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์, ร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง หรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม ร่วมกันฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานที่ออกตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ และความผิดฐานฟอกเงิน หลังปล่อยเงินกู้ 199 สัญญา ซึ่งผิดระเบียบสหกรณ์ที่กำหนดให้กู้รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,800 ล้านบาท
พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ทางตำรวจได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมหลักฐานมาเป็นเวลานาน ก่อนขอศาลออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา โดยพบว่า กลุ่มผู้ต้องหามีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน แปรสภาพไปเป็นทรัพย์สินอื่น เช่น บ้าน ที่ดิน และ รถยนต์ เป็นต้น “สำหรับปฏิบัติการนี้ที่เรียกว่า ซอมบี้ เพราะเปรียบซอมบี้เป็นเชื้อโรคที่แทรกซึมกัดกินอยู่ในคนธรรมดา ซึ่งไม่ตาย อยู่ง่ายตายยาก เปรียบเสมือนกรณีนี้ที่แทรกซึมอยู่ในองค์กร เหมือนเชื้อร้ายที่คอยกัดกินและพร้อมที่จะแพร่พันธุ์ ฉะนั้นจึงเป็นที่มาของชื่อปฏิบัติการครั้งนี้”
ขณะที่ พล.ต.ต.อำนาจ กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 13 ม.ค. 2555-16 พ.ย. 2559 กลุ่มผู้ต้องหาเป็นคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติเงินกู้สมาชิก แต่อนุมัติปล่อยเงินกู้กันเองโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง และไม่มีการประชุมสมาชิก โดยได้นำเงินออกไปใช้จ่ายส่วนตัวครั้งละไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อครั้งต่อคน พร้อมปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ โดยประสานพันธมิตร 15 สหกรณ์ระดมเงินลงทุนไปแปรเปลี่ยนเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือลงทุนทำธุรกิจโรงแรมรีสอร์ท โครงการบ้านจัดสรร และโครงการที่ดินจัดสรร 50 ไร่ และซื้อสินค้าต่างๆ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้ายึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องจากการกระทำความผิดดังกล่าวจำนวน 26 จุดในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ และ เพชรบุรี พร้อมยึดของกลางเงินสด รถยนต์อีกหลายคัน โดยผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ได้เข้ามอบตัวและใช้หลักทรัพย์ยื่นประกัน คนละ 2 ล้านบาท ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ให้ประกัน เนื่องจากไม่มีพฤติการณ์หลบหนี