อัยการสูงุสดมีคำสั่งฟ้อง “วิรัช รัตนเศรษฐ” ทุจริตฯ จัดสร้างสนามฟุตซอลโคราชเมื่อปี 2555 โดยจะใช้เวลาร่างคำฟ้อง 60 วัน ก่อนยื่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
วันนี้ (27 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 พ.ย. ที่ประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กับอัยการสูงสุด ได้ร่วมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดต่อนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย กับพวก กรณีทุจริตเงินจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษาที่ 2 จ.นครราชสีมา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งก่อนหน้านี้คณะทำงานร่วมเคยมีมติเห็นควรสั่งฟ้องนายวิรัชไปยังอัยการสูงสุด
โดยการประชุมร่วมวันดังกล่าวได้มีการเเจ้งคำสั่งอัยการสูงสุด ให้ฟ้องนายวิรัช รัตนเศรษฐ กรณีการทุจริตเงินจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลในพื้นที่เขตการศึกษาที่ 2 จ.นครราชสีมา โดยฝ่ายอัยการจะใช้ระยะเวลาเพื่อร่างคำฟ้องดังกล่าวประมาณ 60 วัน ก่อนจะยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีทุจริตจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษาที่ 2 จ.นครราชสีมานั้น ตามสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช.ระบุว่า ผู้ถูกกล่าวหาประกอบไปด้วยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการระดับสูง และกลุ่มเอกชน มีพฤติการณ์ร่วมกันทุจริตเชิงนโยบาย และเป็นตัวการร่วมกันในลักษณะการแบ่งหน้าที่กันทำตามบทบาทตามหน้าที่และอำนาจที่แต่ละคนมี และเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการกระทำความผิด โดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนร่วมดำเนินการอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการโดยทุจริต เริ่มจากขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2555 (งบแปรญัตติ) ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาใน จ.นครราชสีมา และจังหวัดอื่น รวมจำนวน 18 จังหวัด วงเงินประมาณ 4,459,420,000 บาท ใน 2 โครงการหลัก หนึ่งในนั้นคือ โครงการก่อสร้างสนามกีฬาฟุตซอล รวมถึงมีการวางแผนทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอีกหลายประการ เพื่อให้กลุ่มเอกชนที่เป็นพรรคพวกของตนเองได้เข้าเป็นคู่สัญญา และการก่อสร้างสนามกีฬาฟุตซอลไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริงตรงตามวัตถุประสงค์ โดยมีการชี้มูลการหระทำผิดเป็น 7 สำนวน อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องไป 1 สำนวน ส่วนสำนวนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด