1.“เพนกวิน” รอดคุกคดีละเมิดอำนาจศาล หลังเจ้าตัวแถลงขอโทษ อ้างทำไป เพราะอารมณ์ชั่ววูบ!
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ศาลอาญาได้นัดไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล ที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา กล่าวหานายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มประชาชนปลดแอก ผู้ถูกกล่าวหาละเมิดอำนาจศาล จากกรณีเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ นำตัวนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ผู้ต้องหาคดีปราศรัยยุยงปลุกปั่น มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลอาญา ได้เกิดการรวมตัวของบุคคลผู้สนับสนุนบริเวณทางขึ้นศาลอาญา
ระหว่างนั้น นายพริษฐ์ตะโกนส่งเสียงดังและใช้กล้องถ่ายภาพลงโฆษณา เพื่อชักชวนให้บุคคลอื่นๆ เดินทางมาชุมนุมในบริเวณศาล เพื่อขัดขวางการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล รวมทั้งการถ่ายทอดสดภาพและเสียงเหตุการณ์การชุมนุมในบริเวณศาล ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ โดยการกระทำของนายพริษฐ์ ทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยภายในบริเวณศาล ทั้งยังไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลอาญา ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ทั้งนี้ ศาลได้เบิกตัวนายพริษฐ์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งขณะถูกควบคุมตัวอยู่ภายในรถของกรมราชทัณฑ์ นายพริษฐ์ได้ชู 3 นิ้ว ผ่านกระจกระหว่างรถเคลื่อนผ่านด้านหน้าศาล เพื่อทักทายสื่อมวลชนก่อนเข้าไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล พร้อมเบิกตัวนายอานนท์ ในฐานะทนายความมาศาลด้วย
หลังศาลได้สอบถามนายพริษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหาแล้ว นายพริษฐ์แถลงว่า ขณะนี้มีอายุ 22 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ถูกกล่าวหายอมรับว่า ได้พูดถ้อยคำตามที่ปรากฏในคำร้อง และหลักฐานแผ่นซีดีจริง แต่ถ้อยคำที่กล่าวไปนั้น ไม่ทันคิดไตร่ตรอง และว่า ผู้ถูกกล่าวหามิได้มีเจตนาขัดขวาง หรือก้าวล่วงการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล จึงขอโอกาสศาลเพื่อบรรเทาผลร้ายจากการกระทำดังกล่าว โดยจะแถลงขอโทษแสดงความรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตน
หลังจากนั้น ผู้กล่าวหาแถลงว่า หากผู้ถูกกล่าวหาสำนึกผิดในการกระทำครั้งนี้แล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาอีก ทั้งนี้ ขอให้ผู้ถูกกล่าวหาอย่ากระทำในลักษณะเดียวกันกับการกระทำในครั้งนี้อีก และขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณา
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายพริษฐ์กำลังศึกษาอยู่ กล่าวข้อความไปโดยสำคัญผิดคิดว่า มีสิทธิที่จะกระทำได้ ทั้งเป็นการกล่าวถ้อยคำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ มิได้ไตร่ตรองถึงความถูกต้องและเหมาะสมในการกระทำของตน แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะมิได้หยุดกล่าวถ้อยคำในทันทีที่เจ้าหน้าที่ห้ามปราม แต่เมื่อภายหลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้น มีเวลานึกคิดอย่างรอบคอบ ทราบว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และจะไม่กระทำในลักษณะเดียวกันอีก ศาลจึงเห็นควรว่ากล่าวตักเตือนนายพริษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา และให้ผู้ถูกกล่าวหากล่าวคำปฏิญาณต่อศาลว่า จะไม่กระทำการในลักษณะเช่นเดียวกันอีก แล้วให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาไปในคดีนี้ และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
2.ม็อบรุมทุบรถ ตร.หลังอายัดตัว “ไมค์-รุ้ง-เพนกวิน” ด้าน “บิณฑ์” ชวนคนไทยใส่เสื้อเหลืองปกป้องสถาบัน 1 พ.ย.นี้ ที่วัดพระแก้ว!
สถานการณ์การชุมนุมสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งการชุมนุมของกลุ่มราษฎร 63 และการแสดงพลังปกป้องสถาบันของประชาชนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากกลุ่มราษฎรได้ประกาศจะไปชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้ทางเยอรมนีตรวจสอบการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยขณะประทับในเยอรมนีว่า ละเมิดอธิปไตยหรือผิดกฎหมายเยอรมนีหรือไม่ ซึ่งปรากฏว่า ทางฝั่งประชาชนผู้รักสถาบัน นำโดย นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา พร้อมประชาชนที่รักสถาบันซึ่งพร้อมใจกันใส่เสื้อเหลือง ได้เดินทางไปยังสถานทูตเยอรมนี ช่วงบ่าย ซึ่งทางกลุ่มราษฎรนัดหมายเดินทางไปช่วงเย็น
ทั้งนี้ หนังสือที่ทางนายนิติธรยื่นต่อนายเกเออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงถึงการชุมนุมเรียกร้องของบางกลุ่มที่กำลังจะดึงเยอรมนีเข้าสู่เวทีความขัดแย้งในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากความพยายามต่อสู้ช่วงเชิงอำนาจทางการเมือง พยายามสร้างสถานการณ์ที่เอื้อต่อประโยชน์ทางการเมืองของตน โดยนำเอาความเชื่อทางการเมืองผสมผสานกับความเท็จที่แพร่หลายไปทางสื่อสังคมออนไลน์ครอบงำความคิดของนักเรียนนักศึกษาให้มีความเกลียดชัง มีอคติให้ทำลายทุกสิ่งที่ต่างสมัยจากตนเองให้หมด ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ขณะที่ข้อเรียกร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็อยู่ระหว่างการนำเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภาแล้ว ส่วนข้อเรียกร้องอื่น สามารถแก้ไขได้ตามกลไกในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงขอให้รัฐบาลเยอรมนีรับฟังและพิจารณาข้อมูลจากทุกฝ่าย เพื่อยับยั้งการบานปลายที่จะสร้างความเสียหายต่อประเทศไทย อันเกิดจากข้อมูลที่ถูกบิดเบือนและเป็นเท็จโดยเจตนา
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากกลุ่มราษฎรยื่นหนังสือถึงสถานทูตเยอรมนีให้ตรวจสอบการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยในเยอรมนีแล้ว ในเวลาต่อมา ทางเยอรมนีได้ยืนยันแล้วว่า พระมหากษัตริย์ของไทยไม่ได้ละเมิดข้อห้ามปฏิบัติภารกิจทางการเมืองขณะประทับอยู่ในเยอรมนีแต่อย่างใด
วันต่อมา (27 ต.ค.) นางหฤทัย ม่วงบุญศรี หรืออุ๊ อดีตศิลปินชื่อดัง พร้อมด้วยประชาชนคนรักสถาบันได้ใส่เสื้อเหลืองไปรวมตัวเพื่อแสดงออกถึงการปกป้องสถาบันที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ทั้งนี้ นางหฤทัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีการปั่นกระแสจากต่างประเทศ ให้ข้อมูลเท็จ ดึงสถาบันมาเกี่ยวโยงการเมือง อ้างว่าสถาบันเกี่ยวโยงกับการรัฐประหาร ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่จริง ทหารออกมาเพราะต้องการให้บ้านเมืองสงบ “ไทยกับสหรัฐอเมริกาคือมิตรประเทศที่แน่นแฟ้น คนอเมริกันกับคนไทยก็เป็นมิตรกัน มีสัมพันธ์ที่ดีมายาวนาน คนไทยรักในศิลปวิทยาการของอเมริกา ดนตรี ศิลปะ ภาพยนตร์ เชื่อว่า คนอเมริกันจำนวนมากก็รักประเทศไทยเช่นกัน”
ด้านนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนให้ประชาชนใส่เสื้อสีเหลืองและสีชมพูไปแสดงพลังปกป้องสถาบันที่วัดพระแก้วในวันที่ 1 พ.ย.นี้ เวลา 16.00 น. โดยข้อความบางส่วนระบุว่า “ผมขอพลังอันเป็นมหาพลังของทุกคนชาวไทย ที่ยังมีสถาบันอยู่ในหัวใจ ลุกขึ้นมาปกป้องและเป็นกำลังใจด้วยนะครับ ผมจะไปทุกที่ ถ้ามีการรวมพลังออกมาปกป้องสถาบัน ถึงเวลาแล้วครับที่ต้องให้เขารู้ถึงพลังของพวกเรา อย่ากลัวถ้าเราทำในสิ่งที่ถูก”
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชีนี ทรงมีหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนเป็นเครื่องทรงฤดูหนาวถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เวลา 17.00 น.
เป็นที่น่าสังเกตว่า ม็อบกลุ่มราษฎร กลุ่มปลดแอก เริ่มเคลื่อนไหวข่มขู่คุกคามสื่อแล้ว โดยเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ได้นัดรวมตัวที่หน้าสำนักข่าวเนชั่น อ้างว่าเนชั่นเสนอข่าวบิดเบือน แต่ไม่ระบุว่าบิดเบือนตรงไหน อย่างไร ซึ่งวันต่อมา นายจัสติน ไทยแลนด์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร ได้ยื่นหนังสือให้สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยตรวจสอบการนำเสนอข่าวของเนชั่น พร้อมอ้างว่าบิดเบือน ให้ข้อมูลเท็จ โดยให้เวลา 7 วัน หากเนชั่นไม่ปรับปรุงแก้ไข จะยกระดับโดยยื่นให้มีการระงับการออกอากาศของเนชั่นต่อไป
ส่วนความเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มราษฎร อย่างนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ นายภาณุพงศ์ หรือไมค์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล นั้น หลังจากศาลได้ยกคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ในคดีชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 ที่ มธ.และสนามหลวง ทำให้ทั้งสามจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำกรุงเทพฯ ปรากฏว่า ตำรวจได้อายัดตัวบุคคลทั้งสามตามหมายจับ สภ.พระนครศรีอยุธยา-สภ.นนทบุรี-สภ.อุบลราชธานี ในคดีชุมนุมอื่น ซึ่งม็อบไม่พอใจที่ตำรวจอายัดตัวและนำตัวแกนนำทั้งสามไปยัง สน.ประชาชื่น ปรากฏว่า ม็อบได้ล้อมและรุมทุบรถตำรวจที่ใช้ควบคุมผู้ต้องหา ส่งผลให้กระจกแตกได้รับความเสียหาย สุดท้าย การอายัดตัวตามหมายจับยังสะดุด เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสามขอใช้สิทธิรักษาตัวใน รพ.หลังจากไมค์เป็นลม รุ้งอ่อนล้า และเพนกวินถูกกระจกบาดจากกรณีที่ม็อบรุมทุบรถเพื่อให้ปล่อยตัวพวกตน
3.“บิ๊กตู่” ยันกลางสภา ไม่ยึดติดตำแหน่ง แต่จะไม่ตัดช่องน้อยหนีปัญหา เห็นด้วยตั้ง กก.จากทุกฝ่ายหาทางออกเรื่องม็อบ!
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ได้มีการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติ ตามที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ เพื่อหารือสถานการณ์เกี่ยวกับการชุมนุมที่เกิดขึ้นหลายจุด เพื่อให้รัฐสภาร่วมหาทางออก
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ ส่อว่าจะยืดเยื้อและอาจมีผู้ฉวยโอกาสเข้ามาแทรกซึมได้ เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดมาแล้วในปี 2557 รัฐบาลพยายามดูแลสถานการณ์ให้ดีที่สุด ...รัฐบาลมีหน้าที่รักษาสิทธิของคนไทยทุกคน 70 ล้านคน ...ต้องหาหนทางพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป หากสมาชิกรัฐสภามีข้อเสนอใดที่สามารถปฏิบัติได้ เป็นประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่แทรกซ้อนมา รัฐบาลจะขอขอบคุณและจะรับไปดำเนินการ
ด้านนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อ้างว่า แนวโน้มการจัดการปัญหาภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จะยิ่งนำพาไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงมากขึ้น พร้อมแนะให้สภาเสนอรัฐบาลรับฟังข้อเสนอของนักศึกษาประชาชน, เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย, เร่งปล่อยตัวนักศึกษาประชาชนที่ถูกจับกุม และนายกฯ ต้องลาออก เพราะคืออุปสรรคสำคัญ
ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า การชุมนุมมีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่ 14 ต.ค. ถึงขนาดขัดขวางขบวนเสด็จฯ การกระทำของผู้ชุมนุมถือเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่เป็นเลิศในเรื่องที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน แกนนำผู้ชุมนุมจึงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก เพื่อให้การปกป้องประเทศชาติอ่อนแอลง จนนำไปสู่การรุกคืบต่อการปฏิรูป จึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่ง ทำหน้าที่ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อไป... นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ขอประณามนักการเมืองที่แอบข้างหลังเยาวชนของชาติ
ด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว. อภิปรายว่า ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากนักการเมืองที่นำความขัดแย้งส่งต่อให้ลูกหลาน การชุมนุมมีคำปราศรัยที่รุนแรง ก้าวล่วงไปไกลเกินกว่าจะรับได้ มีการปิดเส้นทางขบวนเสด็จจริง รัฐบาลต้องหาทางออกไม่ให้เกิดขึ้นอีก นายสมชาย ยังเสนอ 9 ข้อเพื่อแก้ปัญหา ได้แก่ รัฐบาลใช้หลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ไม้นวมไม้แข็งดูแลความขัดแย้งอย่างเหมาะสม, ตั้งทีมจัดการข่าวปลอมอย่างรวดเร็ว, ส.ส.และ ส.ว.ร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ, ให้รัฐบาลเปิดเวทีกลาง ให้ผู้ชุมนุมเสนอความเห็นตามเสรีภาพ แทนการชุมนุมบนถนน, การปฏิรูปสถาบันเป็นข้อเสนอสุดโต่ง, นายกฯ ไม่ควรลาออก เพราะไม่ช่วยแก้ปัญหา
ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า อยากเห็นการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง โดยมีผู้แทนของทั้ง ส.ส.รัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน วุฒิสภา ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ฝ่ายที่เห็นต่างกับผู้ชุมนุม และฝ่ายอื่นๆ โดยทำหน้าที่แสวงหาคำตอบที่เป็นทางออกที่เป็นรูปธรรมให้กับประเทศ เน้นจับเข่าคุยกันอย่างสร้างสรรค์ อาจต้องคนละก้าวสองก้าว โดยขอให้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว
สำหรับการประชุมวันที่สอง 27 ต.ค. ส.ส.ฝ่ายค้านบางคนยังคงเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ขณะที่นายถวิล เปลี่ยนศรี ส.ว. อภิปรายว่า ศัตรูของคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่กำลังต่อต้านอยู่ แต่ศัตรูที่แท้จริงคือ นักการเมืองที่ไม่ดี ข้าราชการทุจริต นายทุนที่เห็นแก่ตัว คนไม่ดีเหล่านี้ปลุกปั่นเยาวชน ผลักหลังเด็กเข้าตะราง ตักตวงผลประโยชน์ให้ตัวเอง ขอประณามไอ้โม่ง อีแอบที่เอาความคิด ความเกลียดชังสถาบันไปใส่ในความคิดเด็กๆ เพื่อสนองความมักใหญ่ใฝ่สูง ส่วนการให้นายกฯ ลาออกหรือยุบสภานั้น เท่าที่ดูการบริหารงานของนายกฯ คิดว่ายังไม่ได้ทำผิดอะไรรุนแรงถึงขั้นที่จะขับไล่กันทั่วประเทศเหมือนอดีตนายกฯ คนหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ สามารถพาประเทศฝ่าวิกฤตได้หลายเรื่อง ไม่เห็นการทุจริตของ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญนั้น เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาสามัญเดือน พ.ย. เรื่องนี้จะนำเข้าสู่การพิจารณา มีแนวทางแก้ปัญหาอยู่แล้ว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณี ส.ส.บางคนกล่าวหาว่าตนเป็นต้นตอของปัญหาว่า “ท่านก็พูดแต่เรื่องการยึดอำนาจ พูดถึงรัฐประหาร ไม่เคยพูดถึงเผด็จการรัฐสภาที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น ...หลายอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเข้ามา ท่านลืมไปแล้วหรือยัง สมัยนั้นทำอะไรกัน การทุจริตที่มีหลักฐานชัดเจนเชิงประจักษ์ ลืมไปหมดแล้วหรือ...”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างการอภิปรายช่วงเย็น นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายทำนองว่า ไม่อยากให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม อยากให้นายกฯ รับฟังปัญหาของเด็กๆ ด้วยตัวเอง ไม่อยากให้เด็กๆ ต้องเลือดตกยางออก พร้อมกันนี้ นายวิสารยังอ้างด้วยว่า เพื่อให้นายกฯ เห็นว่า ตนตั้งใจจริงๆ จึงขออนุญาตประธานสภากรีดเลือด จากนั้น นายวิสารได้ถอดเสื้อสูท แล้วใช้มีดปอกผลไม้ที่เตรียมมากรีดที่แขนข้างซ้ายตัวเอง 3 ครั้ง ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้กรีดเลือด ซึ่งไม่ทันแต่อย่างใด เพราะนายวิสารกรีดไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม การกรีดแขนของนายวิสาร ไม่ได้ทำให้การประชุมต้องหยุดลงแต่อย่างใด ยังดำเนินไปตามปกติ โดยนายชวนให้เจ้าหน้าที่พานายวิสารไปโรงพยาบาล
ทั้งนี้ การกรีดแขนของนายวิสาร ถูกหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงนำมีดเข้าสภาได้ ซึ่งนายวิสารอ้างในภายหลังว่า ขอจากแม่บ้านสภา
ขณะที่ช่วงค่ำ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวสรุปในการประชุมร่วมรัฐสภาว่า เห็นด้วยกับการตั้งกรรมการเพื่อนำไปสู่การพูดคุยหาทางออก ที่มีผู้เกี่ยวข้อง รัฐบาล รัฐสภา และผู้เห็นต่าง คุยกันให้รู้เรื่อง ต้องนำสู่ผู้ปฏิบัติให้ได้ ห่วงว่าเจรจากับใคร เพราะไม่มีใครเป็นหัวหน้า ทุกคนเป็นหัวหน้าหมด ข้อเรียกร้องใดๆ ที่เห็นว่าสอดคล้องกับผู้ชุมนุม ยินดีรับไปดำเนินการ ถ้าข้อเรียกร้องใดที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า เป็นข้อเรียกร้องของคนส่วนใหญ่ ขอสงวนสิทธิ์ ทั้งนี้ การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา หน้าที่ใครก็ทำ ตนไม่เคยยึดติดกับตำแหน่ง
พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันด้วยว่า “จะไม่ตัดช่องน้อยเพื่อหนีปัญหา จะไม่ละทิ้งหน้าที่ในยามที่ชาติมีปัญหา เหมือนคนอื่นที่หนีปัญหา จะต้องอยู่แก้ไขปัญหาที่รออยู่ ถามว่า การได้ชัยชนะบนซากปรักหักพัง คุ้มค่าหรือไม่ สิ่งที่ท่านหวังจะเปลี่ยนแปลงอำนาจ จะไม่เหลืออีกเลย สงสารลูกหลานประชาชน ผมจะทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯ อย่างเต็มความสามารถเพื่อประเทศต่อไป จนกว่าจะไม่มีโอกาสให้ทำ ขอสร้างความเข้าใจกับลูกหลานที่มาชุมนุม อย่าทำอะไรที่เกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง สิ่งที่ต้องระวัง อย่าเอาต่างประเทศเข้ามายุ่งกิจการในประเทศไทย...”
4."ธัญญ์วาริน" หลุด ส.ส.พรรคก้าวไกล หลังศาล รธน.ชี้ถือหุ้นสื่อ โดนคนเดียวใน 64 ส.ส. ส่อเรียกเงินเดือนคืน-เอาผิดอาญา!
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพ ส.ส. จำนวน 32 คนของฝ่ายรัฐบาล และอีก 32 คนของฝ่ายค้านสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) หรือไม่
สำหรับ ส.ส.ของฝ่ายรัฐบาล 32 คน ศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคำร้องในส่วนของ พ.ต.ทไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีต ส.ส.เขต 2 กำแพงเพชร เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอาญาให้จำคุก และ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทย นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาภิวัฒน์ เนื่องจากลาออก จึงเหลือ ส.ส. ผู้ถูกร้องที่ศาลวินิจฉัยรวม 29 คน
โดยศาลเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 98 ซึ่งกำหนดลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งไว้ เนื่องจากบุคคลที่จะเป็น ส.ส.เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนปวงชนชาวไทย ต้องได้รับการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้นไว้เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติหน้าที่ว่าซื่อสัตย์สุจริต ซึ่ง (3) บัญญัติมิให้บุคคลที่เป็นเจ้าของประกอบธุรกิจสื่อ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และมาตรา 101 (6) ได้กำหนดว่า บุคคลที่มีลักษณะดังกล่าว เป็นเหตุให้ความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลง มีจุดมุ่งหมายเพื่อมิให้ผู้สมัคร ส.ส.เป็นเจ้าของสื่อ หรือถือหุ้นในสื่อมวลชนใดๆ เพื่ออาศัยความได้เปรียบจากการเป็นเจ้าของกิจการ หรือเป็นสื่อ เผยแพร่ข้อความ ข้อมูลข่าวสารที่เป็นโทษต่อบุคคลใด เพื่อประโยชน์ทางกการเมือง หรือใช้อำนาจครอบงำสื่อมวลชน จนทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระเป็นกลาง โดยเมื่อพิจารณาจากเอกคำ เอกสารจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 29 คน ไม่ได้ถือหุ้น หรือประกอบกิจการในธุรกิจสื่อ
ส่วนของ ส.ส.ฝ่ายค้าน 32 คน ศาลได้จำหน่ายคำร้องส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พล.ท.พงศกร รอดชมภู นายชำนาญ จันทร์เรือง และนายสุรชัย ศรีสารคาม เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคพรรคอนาคตใหม่ ที่ศาลมีคำวินิจฉัยยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง จึงเหลือ ส.ส.ฝ่ายค้าน ผู้ถูกร้องที่ศาลต้องวินิจฉัยรวม 29 คน โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า 28 ส.ส.ไม่ได้ประกอบธุรกิจ หรือถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อ จึงไม่เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลง
ยกเว้นนายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากเห็นว่า นายธัญญ์วาริน ถือครองหุ้นบริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด และบริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด โดยทั้ง 2 บริษัทข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ประกอบกิจการเกี่ยวกับโฆษณา ภาพยนตร์ และการแสดง ซึ่งถือว่า เป็นสื่อกลาง ส่งข่าวสาร สาร หรือเนื้อหาสาระไปสู่ประชาชนที่สามารถสื่อความหมายให้ประชาชนทราบได้โดยทั่วไป แม้ไม่ปรากฏว่า บริษัท เฮดอัพฯ และบริษัทแอมฟายน์ฯ ได้ยื่นคำร้อง หรือประกอบกิจการจดแจ้งตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ฯ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการวิทยุและโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 พ.ร.บ.การจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดีทัศน์ พ.ศ. 2551 ก็ตาม แต่บริษัทย่อมดำเนินการขออนุญาตต่อนายทะเบียนตามกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ ได้ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของบริษัทจัดตั้งขึ้นเกี่ยวกับสื่อ นัยความหมายเดียวกับมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังพบข้อพิรุธกรณีการโอนหุ้นของนายธัญญ์วาริน ที่โอนหุ้นให้บุคคลอื่น โดยพบว่า มีการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 31 ก.ค.2562 ทั้ง 2 บริษัท และนำส่งต่อนายทะเบียนกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในวันเดียวกัน โดยเป็นการดำเนินการภายหลังถูกยื่นคำร้องถือครองหุ้นสื่อต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า 2 บริษัทดังกล่าวระบุในแบบ บอจ.5 ว่า โอนหุ้นตั้งแต่ 11 ม.ค. 2562 อย่างไรก็ดี การประชุมผู้ถือหุ้นของ 2 บริษัทข้างต้นที่ผ่านมากระทำในเดือน เม.ย. เป็นหลัก ดังนั้นการจัดประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 31 ก.ค. 2562 จึงเป็นการกระทำที่ผิดปกติวิสัย นอกจากนี้หากนายธัญญ์วาริน มีการโอนหุ้นดังกล่าวจริง ย่อมสามารถแจ้งต่อนายทะเบียนกรมพัฒนาธุรกิจการค้าโดยเร็ว ก่อนที่จะมีการยื่นคำร้องคดีนี้ได้
ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญ ได้ให้นายธัญญ์วาริน มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แต่นายธัญญ์วารินไม่ได้มาชี้แจงแต่อย่างใด จึงเป็นการผิดปกติวิสัยในการต่อสู้คดี เมื่อมีข้อพิรุธหลายประการ ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีทั้งปวงฟังได้ว่า นายธัญญ์วารินเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท เฮด อัพฯ และบริษัท แอมฟายน์ฯ ในวันที่ 6 ก.พ. 2562 อันเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อ ส.ส. เสนอต่อ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธัญญ์วาริน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 2562 ซึ่งเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อ ส.ส. เสนอต่อ กกต.
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายธัญญ์วาริน สิ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ว่า โดยขั้นตอน กกต.ต้องคัดคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นตั้งเรื่องให้คณะทำงานพิจารณาประเด็นเอาผิดทางอาญา เพราะถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งเหมือนกับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส่วนเงินเดือน ส.ส. และรายได้อื่นๆ ที่นายธัญญ์วารินได้รับ 2 ปีที่ผ่านมานั้น นายธัญญ์วารินก็ต้องส่งคืนสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตกประมาณ 2 ล้านบาทเศษ คงไม่มีดอกเบี้ย โดยเป็นหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องทำหนังสือเรียกเงินคืน
เมื่อถามว่า กรณีนี้ กกต.จะต้องดำเนินคดีอาญากับหัวหน้าพรรคที่เซ็นรับรองส่งรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือไม่ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ถูกต้อง ก็เข้าข่าย ส่วนที่ขณะนี้ไม่มีหัวหน้าพรรคดังกล่าวแล้ว เพราะพรรคถูกยุบนั้น ก็ไม่เป็นไร เพราะศาลวินิจฉัยไปแล้ว และตัวตนของหัวหน้าพรรคก็ยังอยู่
5.กกต. มีมติดำเนินคดีอาญา “ธนาธร-15 กก.บห.คดีเงินกู้ อนค.191 ล้าน ด้าน “ธนาธร-ปิยบุตร” ยัน สู้ไม่ถอย ชี้ แค่เศษหินในรองเท้า!
จากกรณีที่ กกต. ได้ชี้มูลความผิดพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กรณีกู้เงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค 191 ล้านบาท จากนั้น กกต. ได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อวันที่ 21 ก.พ.2563 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งยุบพรรค โดยนายธนาธร และกรรมการบริหารพรรค 15 คน ถูกเว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี
หลังจากนั้น กกต. ได้ดำเนินการพิจารณาความผิดทางอาญาของนายธนาธร และกรรมการบริหารพรรค 15 คน ซึ่งหลังใช้เวลาพิจารณา 8 เดือน ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา กกต. ได้มีมติชี้มูลความผิดนายธนาธร กระทำผิดตาม มาตรา 66 ประกอบมาตรา 72 พ.ร.ป.พรรคการเมือง กรณีบริจาคเงินเกิน 10 ล้านบาทให้กับพรรค อนค. ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
ส่วนกรรมการบริหารพรรค 15 คน มีความผิดตาม มาตรา 66 วรรค 2 ประกอบมาตรา 72 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง กรณีรับบริจาคเงินเกิน 10 ล้านต่อปี มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท โดย กกต. มีคำสั่งให้สำนักงาน กกต. แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป
ขณะที่การยึดทรัพย์ส่วนที่เกินจากเงินบริจาค 10 ล้านบาท ที่กฎหมายกำหนดให้ยึดเข้ามาไว้ในกองทุนเพื่อพัฒนาการเมืองนั้น กกต.ยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นนี้ ซึ่งมีรายงานว่า ที่ประชุมมีข้อถกเถียงเป็น 2 ทาง คือ สำนักงาน กกต. เห็นว่า กกต. สามารถสั่งยึดเงินบริจาคในส่วนที่เกินกว่า 10 ล้านบาท เข้ามาไว้ในกองทุนฯ ได้ แต่ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กกต. กลับเห็นว่า กกต. ไม่สามารถยึดเงินนั้นมาไว้ในกองทุนฯ ได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว จึงไม่มีพรรคให้ กกต. เรียกเก็บเงินเข้ากองทุน
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค พร้อมด้วยอดีตกรรมการบริหารพรรค ได้แถลงถึงกรณีที่ กกกกต. มีมติแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่ออดีต กก.บห.16 คน จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคประเด็นกู้ยืมเงินจากนายธนาธร โดยนายปิยบุตร อ้างว่า คำวินิจฉัยในคดีนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์อยู่มาก ทั้งกรณีระบุพรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลมหาชน, เงินกู้แม้ไม่ใช่รายได้แต่เป็นรายรับ, การเลือกปฏิบัติ เหตุพรรคอื่นๆ กู้เงินแต่กลับไม่ถูกดำเนินคดี, การแปลความเกินเจตนารมณ์ของกฎหมาย
นายปิยบุตร ยังอ้างด้วยว่า หาก กกต.เห็นว่าการกู้เงินนั้นกู้ไม่ได้ เป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรค และพรรครับเงิน ก็ต้องไปแจ้งความ สน.ทุ่งสองห้อง แต่แรก แต่กลับเอามาตรา 72 ขึ้นมาใช้ เพื่อเปิดทางสู่ศาลรัฐธรรมนูญ และความตั้งใจคือยุบพรรค เสร็จแล้วค่อยเอามาดำเนินคดีอาญาต่อ ทั้งที่เรื่องนี้ต้องใช้คดีอาญาตั้งแต่เริ่มต้น ยืนยัน พร้อมสู้คดีอย่างเต็มที่ และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่ทำให้ไฟลามทุ่งจนเป็นหนึ่งในสาเหตุความไม่พอใจที่ทำให้ประชาชนออกมาชุมนุม ตนคิดว่าการยุบพรรคจนถึงการดำเนินคดีอาญาต่อพวกตน จะเป็นคำถามที่ดังขึ้นอีกว่า เรามี กกต.เพื่อจัดการเลือกตั้ง หรือเป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้ามผู้มีอำนาจในปัจจุบัน
ขณะที่นายธนาธร กล่าวว่า เราตั้งพรรคขึ้นมาด้วยความหวังดี เสนอตัวเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า สร้างขึ้นมาและทำมันอย่างโปร่งใส นายธนาธร อ้างด้วยว่า กกต.หลายท่านยืนยันได้ว่า เอกสารต่างๆ ที่เราทำนั้นทำอย่างโปร่งใส หลายคนเอ่ยปากชม แต่ว่าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ การตั้งพรรคนั้นเป็นเรื่องยาก ไม่มีเงินทำไม่ได้ เพราะต้องมีสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด มีสมาชิกที่ต้องจ่ายเงินเป็นค่าสมาชิก ฯลฯ เราไม่รับบริจาคจากนายทุนใหญ่ เราระดมทุน ขายสินค้า แต่ก็ห้ามขายออนไลน์ จนสุดท้ายก็ออกมาในรูปแบบของเงินกู้ แต่สิ่งที่เราได้รับคือ การยุบพรรคอย่างนี้หรือ
นายธนาธร กล่าวต่อว่า นี่คือสิ่งที่ทำให้เราถอยไม่ได้ เพราะยังมีคนรอคอยเราอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงเศษหินในรองเท้า ทำให้เสียสมาธิ เสียเวลา แต่เรายังเดินหน้าต่อไป คดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะไม่ยอมให้ลดทอนข้อเรียกร้อง ในการยืนหยัดสร้างประชาธิปไตย สร้างประเทศไทยที่คนทุกคนเท่าเทียมกัน