xs
xsm
sm
md
lg

กรรม! “พุทธะอิสระ” แนะ “ทอน-พวก” ก้มหน้ารับ “บุญเกื้อ” แขวะ “ละคร 3 นิ้ว” “เชาว์” สอน “บุตร” หมดราคา

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากแฟ้ม
ไม่มีอะไรแนะได้ดีกว่านี้แล้ว “อดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ” ยก “กรรม” คือผลการกระทำของ “ทอน-พวก” คงถึงเวลาก้มหน้ารับ “บุญเกื้อ” ให้อดทนดู“ละคร 3 นิ้ว” แข็งไปหน่อยแต่สมบทบาท “เชาว์” สอน “บุตร” จนหมดราคาดอกเตอร์

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(31 ต.ค.63) อดีตพระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ “กรรมนี้มีผล”

โดยระบุว่า “ต่อไปนี้สังคมคงจะได้เห็นภาพทอนและพวกต้องเดินขึ้นโรง ขึ้นศาล ไม่เว้น แต่ละเดือนเป็นแน่

ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพฤติกรรม ของทอนและพวกเองที่ ทั้งนั้น

ทอนและพวก จงอย่าได้ไปโทษใครเขาอีกนะทอน

ก็ไม่รู้ทอนจะเชื่อกฎของกรรมไหม

ทอนเคยได้ยินคำว่า สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรมบ้างไหม

กรรมคือการกระทำของตนนั้น ย่อมส่งผลให้สัตว์โลกได้รับผลที่แตกต่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นแก่ทอนและพวกในเวลานี้ ล้วนแต่มาจากเหตุที่พวกทอน ทำเองทั้งนั้น

ฉะนั้นทอน จงอย่าไปโทษใครเลย

จงก้มหน้ารับกรรมต่อไป ต้องเที่ยวขึ้นโรง ขึ้นศาลอีกหลายปี สู้สู้นะทอน”

ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ขณะช่วยเหลือ เพนกวิน จากเฟซบุ๊ก นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว
ขณะเดียวกัน นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว กรรมการโฆษกกลุ่มไทยภักดี โพสต์รูปภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ คณะก้าวหน้า และ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ขณะเยี่ยม นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ "เพนกวิน" และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ "ไมค์" ที่สน.ประชาชื่น เมื่อคืนที่ผ่านมา

ภาพ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ขณะช่วยเหลือ ไมค์ จากเฟซบุ๊ก นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว
ระบุว่า “ช่วงนี้คนไทยเราต้องทนดูบทบาทการแสดงของพวกนักการเมืองฝ่ายค้านที่อกหัก ตกงานทั้งหลายแหล่ ที่ต้องผันตัวเองมาเป็นผู้แสดงเข้าฉากละครน้ำเน่าด้วยตนเอง...บทบาทการแสดงอาจจะดูแข็งๆขืนๆไปบ้าง ช่วยทนๆดูกันหน่อยนะพี่น้อง #เล่นการเมืองน้ำเน่า..ฉิบหาย”

ภาพ นายเชาว์ มีขวด จาก เฟซบุ๊ก Chao MeekhuadChao Meekhuad
นอกจากนี้ เฟซบุ๊ก Chao MeekhuadChao Meekhuad ของนายเชาว์ มีขวด ทนายความ และอดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความระบุว่า

“เพราะจมปรักอยู่กับทฤษฎีล้มเจ้า จึงไม่เข้าใจบริบทของกฎหมายไทย

เมื่อวานนี้ (30 ต.ค.63) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ คณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ตนเองเพิ่งทราบจากข่าวว่า ตำรวจ สน.พญาไท ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อหาในความผิดฐาน “ยุยง ปลุกปั่น” ตามมาตรา 116 ป.อาญา โดยยังไม่ทราบว่า ตำรวจอ้างการกระทำใดที่เป็นความผิดตามมาตรา 116 และกล่าวประชดประชันเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า

หากลองถอดชุดตำรวจออก แล้วสวมวิญญาณย้อนกลับไปสมัยเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ปี 2 ก็จะทราบดีว่า เกือบทุกกรณีที่ออกหมายนั้น ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตาม ม.116 เลย เราต่างก็เรียนกฎหมายอาญากันมา ตำราเล่มเดียวกัน ทำไมพอมาเป็นตำรวจแล้วจงใจลืมไปหมด”

ในฐานะที่ผมเป็นทนายความที่เรียนกฎหมายมาเล่มเดียวกับนายปิยบุตรขอบอกกับนายปิยบุตรว่า อย่าว่าแต่คนเรียนกฎหมายเลยคนทั่วไปที่อ่านกฎหมายออกหรือโดยสามัญสำนึก ย่อมรู้ได้ว่า การกระทำใดเข้าข่ายความผิดฐานยุยง ปลุกปั่น ตามมาตรานี้ เพราะการบังคับใช้กฎหมายเขาดูที่การกระทำหรือเจตนาและพฤติการณ์เป็นกรณีๆไป การกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่น ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะชน ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่เห็นว่า ไม่ชอบธรรม หากกระทำโดยสุจริตก็ไม่ผิดกฎหมาย

แต่พฤติกรรมหรือการกระทำของม็อบเยาวชน ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ขณะนี้ โดยเฉพาะข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการประดิษฐ์ถ้อยคำขึ้นมาจาบจ้วง ด่าทอ ล่วงละเมิด ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำพูด หรือแผ่นป้าย สื่อโฆษณารวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ เช่น การขัดขวางขบวนเสด็จ แล้วด่าทอด้วยถ้อย คำหยาบคาย การปราศรัยโจมตีใส่ร้ายในหลวงที่สถานทูตเยอรมัน การจัดเดินแฟชั่นเสียดสีสถาบัน การข่มขู่งานพระราชทานปริญญาที่ธรรมศาสตร์ รวมถึงการพูดจาด่าทอทุกวันทุกเวที ด้วยชุดความคิดเดียวกันทั้งถ้อยคำ ภาพถ่าย คลิปภาพ ลักษณะแบ่งงานกันทำ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ผมถามนายปิยบุตรว่า การกระทำหรือพฤติการณ์เหล่านี้ถือเป็น กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ใช่หรือไม่ มันจึงไม่ใช่ความผิดหยุมหยิม อย่างที่นายปิยบุตรเข้าใจ

ส่วนปัญหาว่า การกระทำของนายปิยบุตร จะมีส่วนไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าในฐานะตัวการหรือก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม ม็อบเยาวชนให้จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ นายปิยบุตรย่อมรู้แก่ใจดี และอีกไม่กี่วัน นายปิยบุตรก็คงจะรู้พฤติการณ์แห่งคดีของตน หลังจากที่ไปรับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวน

เชื่อว่าพนักงานสอบสวนคงมีพยานหลักฐานที่แน่นหนาพอสมควร จากพฤติกรรมแอบอยู่ข้างหลังของนายปิยบุตร และคงจะไม่ใช่ที่สน.พญาไท ที่เดียว เพราะหากนายปิยบุตรยังจมปรักอยู่กับทฤษฎีล้มเจ้า นอกจากจะได้รับกรรมตามบทบัญญัติของกฎหมายต่างกรรมต่างวาระแล้ว การล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่สืบทอดสันติวงศ์ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอันศักดิ์สิทธิ์ ที่คนไทยทั้งชาติให้ความเคารพสูงสุด ไม่เพียงจบที่เรือนจำใครลบหลู่ระวังนรกจะกินกบาลเอาด้วย

"ผมคิดว่า การได้รับหมายเรียกครั้งนี้ เป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ไม่ควรออกมาโอดครวญใดๆ เพราะในวันที่ตัดสินใจเป็นผู้นำทางความคิดเป็นปฏิปักษ์กับสถาบัน ก็ควรเตรียมใจรับผลแห่งกรรมไว้ด้วย และที่ต้องจดจำใส่สมองไว้ให้จงหนักคือ คนที่ถูกนายปิยบุตรปลุกปั่น เชิดให้เป็นแกนนำ มีชะตากรรมเคยนอนคุกกันไปหลายคนแล้ว แต่นายปิยบุตรยังไม่เคยลิ้มรสการถูกคุมขังแม้แต่น้อย งอแงเป็นเด็ก ไม่อายเด็กที่เขาสู้แบบยอมสละอนาคตตัวเองบ้างหรือ จะเชิดหน้าบอกตัวเองว่าเป็นนักปฏิรูปได้ ก็ต่อเมื่อรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ไม่ใช่หลอกใช้เด็กทุกวันแล้วลอยนวลแบบนี้"

โดยรายละเอียด วานนี้(30 ต.ค.63) นายปิยบุตร เลขาธิการ คณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า วันนี้ ผมพึ่งทราบจากข่าวว่า ตำรวจ สน.พญาไท ออกหมายเรียกให้ผมไปรับทราบข้อหาในความผิดฐาน “ยุยง ปลุกปั่น” ตามมาตรา 116 ป.อาญา โดยยังไม่ทราบว่าตำรวจอ้างการกระทำใดของผมที่เป็นความผิดตามมาตรา 116 นี้

เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ผมได้ไปบรรยายให้กับ กมธ. ความมั่นคงฯ ของสภาผู้แทนราษฎร เรื่องความผิดตามมาตรา 116 ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาใช้เป็นเครื่องมือ “กำจัด” เสรีภาพกันมากในยุคสมัยนี้ (ชมคลิปการบรรยาย : https://www.facebook.com/2259969334286937/videos/336878097547755 )

หากตำรวจ ลองถอดชุดตำรวจออก แล้วสวมวิญญาณย้อนกลับไปสมัยเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ปี 2 ก็จะทราบดีว่า เกือบทุกกรณีที่ออกหมายนั้น ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตาม ม.116 เลย แต่ประเทศไทยโชคร้าย ที่คนเหล่านี้เติบโตมาปฏิบัติหน้าที่ตำรวจแล้ว กลับละทิ้งสิ่งที่ตนเองเรียนมา พลีตนเป็นกลไกรัฐ รับใช้พวกผู้มีอำนาจในระบบ แล้วกล่อมประสาทตนเองทุกวันว่า “นี่คือการปฏิบัติหน้าที่”

เมื่อวานนี้ ผมเดินไปศาลแขวง ปทุมวัน ได้ประสบการณ์ใหม่ เป็น “จำเลย” ครั้งแรกในชีวิต 41 ปี

วันนี้ มีประสบการณ์ใหม่อีกแล้ว โดนกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐาน “ยุยง ปลุกปั่น” เป็นครั้งแรก

สมัยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ใช้เสรีภาพแสดงออกเต็มที่ ไม่โดนคดีความใดๆ พอมาเป็นนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยู่ตรงข้ามกับคนมีอำนาจในระบอบนี้ ไม่ว่าจะใช้เสรีภาพแสดงออกในเรื่องใด ก็มีโอกาสที่จะถูกดำเนินคดีเสมอ

สัปดาห์หน้า ผมจะเดินทางไป สน.พญาไท ตามหมายเรียก และจะขออนุญาตถามตำรวจ พนักงานสอบสวน และผู้บังคับบัญชาของเขาด้วยว่า "เราต่างก็เรียนกฎหมายอาญากันมา ตำราเล่มเดียวกัน ทำไมพอมาเป็นตำรวจแล้วจงใจลืมไปหมด”

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ สถานการณ์การชุมนุมของม็อบนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่เริ่มหมดมุกไปทุกวัน เพราะเป็นการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกว่านั้น แกนนำ นับแต่เริ่มชุมนุมเป็นต้นมา ก็ยังได้รับผลของการกระทำ เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายคดี พูดได้ว่า ขึ้นโรงพัก ขึ้นศาลเป็นว่าเล่น จบคดีหนึ่งถูกอายัดของหมายจับอีกคดีหนึ่งไม่จบสิ้น เพราะทำความผิดเอาไว้หลายกรรมหลายวาระนั่นเอง ที่สำคัญ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย เพราะไม่อย่างนั้น ก็มาเป็นธรรมกับประชาชนที่เคารพกฎหมาย

นอกจากนี้ ดูเหมือนคิวของ “อีแอบ” และฝ่ายชี้นำทางความคิด ก็เริ่มได้รับผลของการกระทำด้วยเช่นกัน เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่จะปล่อยให้การชุมนุมเดินเกมโดยลำพัง จำเป็นที่จะต้องมีการรับ ส่ง และแบ่งหน้าที่กันทำงาน โดยเมื่อม็อบเริ่มแรง และยกระดับทะลุเพดาน ผู้ชี้นำ ผู้หนุนหลัง ก็ต้องสำแดงวาทกรรมที่รุนแรง เพื่อปลุกเร้า ชี้นำควบคู่ไปด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เมื่อนำเสนอเรื่องปฏิรูปสถาบัน การปลุกเร้าให้มวลชนเข้าร่วมการชุมนุม ด้วยวาทกรรมที่จะทำให้เห็นว่า เป็นปัญหา และต้องการการเปลี่ยนแปลง ก็ย่อมสุ่มเสี่ยง หมิ่นเหม่ต่อการเข้าข่ายผิดกฎหมายในมุมของผู้รักษากฎหมาย และพยานหลักฐานแวดล้อมด้วย ซึ่งต้องไปว่ากันที่ศาล

เหนืออื่นใด ดูเหมือนเวลานี้ ทั้งม็อบ และอีแอบอยู่เบื้องหลัง ต่างก็ขึ้นบนหลังเสือหมดแล้ว จะลงอย่างไร คือ สิ่งที่น่าจับตามอง และน่าลุ้นอย่างมากเลยทีเดียว อยู่ที่เสือจะดุร้ายหรือไม่ แค่ไหน!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น