ใน พ.ศ.๒๔๘๓ หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองมาได้ ๘ ปี แม้กำลังตื่นที่มีรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่อำนาจการเมืองอันแท้จริงกลับอยู่ในยุคเผด็จการทหาร และบรรยากาศอึมครึมของการแย่งชิงอำนาจ มีการตั้งศาลพิเศษประหารชีวิตกบฎไปถึง ๑๘ ศพ ในบรรยากาศเช่นนี้คงไม่มีใครกล้าลงถนนเดินขบวนขับไล่รัฐบาลแน่ แต่การเดินขบวนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็เกิดขึ้นได้ในวันที่ ๘ ตุลาคม
นอกจากการเดินขบวนจะเป็นของใหม่สำหรับคนไทยในขณะนั้นแล้ว การเดินขบวนที่เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ยังแพร่ไปจังหวัดต่างๆอย่างรวดเร็ว พร้อมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้รัฐบาลใช้กำลังทหารเข้าคิดบัญชีกับฝรั่งเศส ที่สร้างความแค้นมายาวนานในประวัติศาสตร์
ตอนนั้นเป็นช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ เยอรมนีส่งทหารรุกฝรั่งเศสจนราบไปแล้ว ญี่ปุ่นก็ส่งทหารเข้าอินโดจีนดื้อๆ อ้างว่าจะไปยันทหารเจียงไคเช็คที่จีน ทหารฝรั่งเศสที่ยึดครองอินโดจีนได้แต่ยืนดูตาปริบๆไม่มีการต่อสู้ ขณะนั้นไทยกำลังขอเปิดเจรจาเรื่องเส้นแบ่งเขตแดนในลำน้ำโขงกับฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสถือว่าแม่น้ำโขงเป็นของฝรั่งเศสแต่ผู้เดียว ไทยเราก้าวลงจากตลิ่งไปไม่ได้เลย ไทยจึงขอให้ใช้ร่องน้ำลึกเป็นเส้นแบ่งตามหลักสากล ฝรั่งเศสก็รับว่าจะส่งผู้แทนมาเจรจา แต่พอทำสัญญายอมแพ้เยอรมนีไปแล้ว ก็จะขอเซ็นสัญญาไม่รุกรานกันกับไทยก่อนจึงจะเจรจาเรื่องอื่นต่อไป ไทยได้ตอบไปในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๘๓ ว่า ยินดีตกลงตามคำขอของฝรั่งเศส แต่ขอให้ฝรั่งเศสตกลงดังนี้ก่อน คือ
๑.วางเส้นเขตแดนตามลำน้ำโขงให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ คือใช้ร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์
๒.ปรับปรุงเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือให้ถือว่าแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนประเทศไทยกับอินโดจีน ตั้งแต่ทิศเหนือจนจดทิศใต้ถึงเขตแดนกัมพูชา โดยให้ไทยได้รับดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงข้ามหลวงพระบางและตรงข้ามปากเซคืนมา
๓.ขอให้ฝรั่งเศสรับรองว่า ถ้าอินโดจีนเปลี่ยนอธิปไตยไปจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจะคืนอาณาเขตลาวและกัมพูชาให้ไทย
ฝรั่งเศสไม่ยอมตกลงทั้ง ๓ ข้อ ทั้งยังปากแข็งบอกว่าจะปกป้องอินโดจีนของตนไม่ว่าศัตรูจะมาจากที่ไหน ทั้งๆที่ขณะนั้นมีทหารญี่ปุ่นอยู่เต็มอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้ต่อสู้ป้องกันเลย ว่าแล้วก็ขนอาวุธยุทโธปกรณ์มาไว้ตามชายแดนด้านติดกับไทย ส่งเครื่องบินล้ำแดนเข้ามาไม่ต่ำกว่า ๓๐ ครั้งเป็นการข่มขู่
ด้วยความแค้นที่สุมอกมาเป็นเวลานาน ประกอบกับความเชื่อมั่นในกองทัพ ประชาชนคนไทยจึงพร้อมใจกันเรียกร้องให้ทหารตอบโต้การคุกคามของฝรั่งเศส โดยนักเรียนเตรียมอุดมและนิสิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้แสดงออกเป็นคณะแรก ชุมนุมกันภายในมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้ามืดวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๔๘๓ ด้านหน้ามหาวิทยาลัยมีป้ายแผ่นใหญ่ติดที่รั้วว่า “วันนี้อำนาจสูงสุดเป็นของเรา”
จน ๐๘.๐๐ น. ขบวนได้เคลื่อนออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีคนเข้าร่วมประมาณ ๓,๐๐๐ คน ชูป้ายแผ่นใหญ่หลายสิบป้าย มีข้อความเร้าใจ เช่น
“เร็วๆอย่ามัวโยเย ปากเซอยู่ที่นั่น แคว้นเราทั้งนั้น เขาโกงเราไป”
“ไทยยอมตาย เมื่อไม่ได้ดินแดนคืน”
“ขอด้วยไมตรีจิตนิดเดียว ขืนขี้เหนียวเอาหมด”
“เราไม่รุกราน แต่ต้องการดินแดนของเราคืน”
“พูดดีๆไม่ชอบ ต้องปลอบด้วยปืน”
“เราขอด้วยละม่อมมานาน หรือจะต้องการด้วยอำนาจ”
“เราต้องรบ ถ้าไม่คืน”
ขบวนได้ไปหยุดที่ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม ตะโกนเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการนำดินแดนคืนมาจากฝรั่งเศส พลตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้ออกมาปราศรัยกับนักเรียนและนิสิตท่ามกลางเสียงโห่ร้องสนั่นหวั่นไหว กล่าวว่าประเทศไทยเป็นแต่เรียกร้องสิ่งที่เป็นของตนกลับคืนมาเท่านั้น และประชาชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ไทยกำลังเรียกร้อง ก็เป็นพี่น้องเลือดเนื้อเชื้อไขไทย
ส่วนนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งมาชุมนุมกันแต่เช้าเหมือนกัน แต่ถูกทางมหาวิทยาลัยยับยั้งไว้ เกรงจะเป็นเงื่อนไขทางการเมือง จนบ่ายมีนักศึกษามาชุมนุมกันมากขึ้น จนทางมหาวิทยาลัยไม่สามารถหยุดยั้งความเร่าร้อนที่จะแสดงออกในความรักชาติได้ นักศึกษาจำนวน ๕,๐๐๐ คนทั้งชายหญิงได้เคลื่อนออกจากมหาวิทยาลัย มีอาจารย์ร่วมไปด้วยอย่างมีระเบียบ ถือป้ายแสดงมติไปชุมนุมที่หน้ากระทรวงกลาโหมเช่นกัน นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับนักศึกษา คุกเข่าลงที่หน้ากระทรวงกลาโหม กล่าวปฏิญาณตนต่อพระแก้วมรกตที่จะเรียกร้องดินแดนคืนมาให้ได้
สถานีวิทยุทรานส์โอเชียนได้เสนอข่าวว่า การเดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสของนักเรียนนิสิตนักศึกษานี้ นับเป็นการเดินขบวนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย
จากนั้นก็ได้มีการเดินขบวนเรียกร้องดินแดนกระจายออกไปตามต่างจังหวัดทั่วประเทศ ส่วนกรุงเทพฯก็มีการเดินขบวนของกลุ่มต่างๆตลอดมา รวมทั้งพี่น้องไทยในมณฑลบูรพาที่ฝรั่งเศสบีบเอาไปในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เข้ามาเดินขบวนแสดงความปรารถนาจะกลับเข้ามาสู่อ้อมกอดของพี่น้องไทยด้วย บางคณะก็ถือคบเพลิงเดินขบวนในเวลากลางคืน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งประเทศที่จะแสดงประชามติในเรื่องนี้
การเดินขบวนครั้งใหญ่สุดคือการเดินขบวนที่กรุงเทพฯในวันเสาร์ที่ ๑๒ ตุลาคม มีประชาชนเข้าร่วมกว่า ๕๐,๐๐๐ คน เริ่มต้นชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวงตั้งแต่เที่ยง
วิทยุกระจายเสียงกรุงมะนิลาได้แพร่ข่าวการเดินขบวนครั้งนี้ว่า ประชาชนเดินขบวนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการใช้กำลังบังคับรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสให้คืนดินแดนโดยเร็ว ซึ่งพลตรีหลวงพิบูลสงครามได้ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ อย่าตื่นเต้น รัฐบาลได้ดำเนินการขอดินแดนคืนด้วยความสุขุม
เมื่อการเรียกร้องของคนไทยกระจายไปทั่วประเทศและก้องไปทั่วโลก ฝรั่งเศสจึงข่มขู่อีกครั้งโดยการนำเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนมในวันที่ ๒๘ ตุลาคม เมื่อฝรั่งเศสเปิดฉากก่อน ทหารไทยซึ่งพร้อมอยู่แล้วจึงได้โอกาสลุยเข้าไป โดยมีประชาชนสนับสนุนทหารเต็มที่ชุมนุมกันที่สนามหลวง กล่าวคำปฏิญาณตนต่อพระแก้วมรกตยอมสละชีวิตเพื่อชาติ แล้วเคลื่อนขบวนไปที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรี วังสวนกุหลาบ เพื่อแสดงมติประชาชนขอให้รัฐบาลใช้กำลังบังคับรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสให้คืนดินแดนไทยที่เสียไป
เพื่อสนับสนุนการเรียกร้องดินแดนคืน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนทั่วทุกจังหวัด ได้พร้อมใจกันบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือทางราชการทหารในการเรียกร้องดินแดนคืน จนถึงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน กรมปลัดบัญชี กระทรวงกลาโหม แถลงว่าได้รับเงินไว้เป็นจำนวนถึง ๖๗๗,๗๘๔.๔๙ บาท
ความพร้อมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจากความสามัคคีของคนไทยในครั้งนี้ เป็นผลให้ฝรั่งเศสต้องไปขอให้ญี่ปุ่นมาช่วยเจรจาขอสงบศึก และยอมคืนมณฑลบูรพาให้ไทย
นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำไว้ด้วยความประทับใจ ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมเช่นกัน แต่โปรดอย่าเอาไปเทียบกับการเดินขบวนในตุลาคมปีนี้ จุดมุ่งหมายมันคนละทิศ