1.กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ไม่สนผู้บริหาร มธ.ไม่อนุญาต ยันใช้มหาวิทยาลัยชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย. เตรียมปราศรัยปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อีก!
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดย น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ได้แถลงรายละเอียดการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.ว่า จะระดมพลในเวลา 14.00 น. และปักหลักค้างคืนที่ มธ.ท่าพระจันทร์ โดยระบุว่า สาเหตุที่เลือกสถานที่นี้ เพราะเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของประชาชน และว่า หากผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก จะขยับไปยังท้องสนามหลวง นอกจากนี้อาจมีการปิดถนนราชดำเนินกลาง สะพานผ่านพิภพลีลา มีการปราศรัย จัดแสดงศิลปะ และตลาดของประชาชน จากนั้นวันที่ 20 ก.ย. จะเดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องที่ทำเนียบรัฐบาล
น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า การชุมนุมใหญ่ในวันดังกล่าว ใช้ชื่อว่า “19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร” และว่า ในวันที่ 20 ก.ย. จะมีการเคลื่อนขบวนต่อต้านเผด็จการไปยังทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป จึงขอให้ประชาชนที่จะเข้าร่วมชุมนุมเตรียมสิ่งของเครื่องใช้สำหรับการค้างแรม รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันแดดมาร่วมชุมนุมด้วย การชุมนุมครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยครั้งสำคัญ จะสำเร็จได้ด้วยพลังของประชาชน ขอให้ถนนทุกสายมุ่งสู่ท่าพระจันทร์ในวันและเวลาดังกล่าว
ด้านนายพริษฐ์ กล่าวว่า จะปักหลักพักค้างมากกว่า 1 คืนหรือไม่ จะประเมินตามสถานการณ์อีกครั้ง หรือ มธ.จะอนุญาตให้ใช้สถานที่หรือไม่ กำลังรอการตอบรับ และว่า มหาวิทยาลัยเป็นภาษีของประชาชน และค่าเทอมนักศึกษา หากอธิการบดีไม่อนุญาต ก็จะใช้มติมหาชนอนุญาต เพราะอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีการห้าม แต่ไม่เคยสำเร็จ เชื่อว่าจะมีประชาชนมาเข้าร่วมไม่ต่ำกว่าหลักหมื่น
วันต่อมา (10 ก.ย.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงหลังประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน โดยกล่าวถึงการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 ก.ย.ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจรอฟังด้านการข่าวว่าผู้ชุมนุมจะทำอะไรบ้าง เบื้องต้นได้รับรายงานจากฝ่ายข่าวว่า จะมีการชุมนุมในพื้นที่ มธ.ท่าพระจันทร์ ถ้าจะมีการเคลื่อนย้ายมายังท้องสนามหลวง ต้องดูสถานการณ์ ณ เวลานั้น ส่วนจะมีการเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล ก็ต้องพูดคุยกัน และว่า นายกรัฐมนตรีกำลังให้เจ้าหน้าที่อดทนเพียงอย่างเดียว อย่าใช้ความรุนแรง และเป็นห่วงตรงนี้ ในเรื่องที่จะมีการปะทะกันหรือยื้อยุดฉุกกระชากกัน ปกติเราจะหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว ตำรวจไม่สร้างเงื่อนไขแน่นอน รู้อยู่แล้วว่าผู้ชุมนุมเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (10 ก.ย.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้เผยแพร่เอกสารระบุว่า ตามที่กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้ขออนุญาตใช้สถานที่มหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 19 ก.ย. และทางกลุ่มดังกล่าวได้แถลงข่าวถึงรายละเอียดการชุมนุมไปแล้วนั้น เนื่องจากการขออนุญาตดังกล่าวยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศเรื่อง แนวทางการขออนุญาตจัดชุมนุมทางการเมืองของนักศึกษาในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ฉบับลงวันที่ 3 ก.ย.2563 ซึ่งกำหนดแนวทางเพื่อใช้กับการจัดกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองของนักศึกษาทุกกลุ่มในพื้นที่ มธ. ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความรับผิดชอบภายในขอบเขตของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และการเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างตามระบอบประชาธิปไตย โดยควบคู่กับการดูแลสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของนักศึกษา เพื่อให้การใช้ประกาศนี้เป็นไปโดยเสมอภาคสำหรับนักศึกษาทุกกลุ่ม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงไม่อนุญาตให้กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดกิจกรรม จนกว่าจะได้มีการปฏิบัติตามประกาศโดยถูกต้อง
หลัง มธ.ไม่อนุญาตให้ทางกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยจัดชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. ปรากฏว่า ทางแนวร่วมกลุ่มธรรมศาสตร์ฯ ได้ออกเอกสารประณามผู้บริหาร มธ.ที่ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่จัดชุมนุม พร้อมอ้างว่า ทางกลุ่มขออนุญาตถูกต้อง และยืนยันจะจัดชุมนุมในมหาวิทยาลัยต่อไป “จึงขอประณามการกระทำดังกล่าวของมหาวิทยาลัยและขอเรียกร้องให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี และ รศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ท่าพระจันทร์ ในฐานผู้รับผิดชอบ ได้พิจารณาตนเองว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับที่เป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพแล้วหรือไม่ แนวร่วมขอยืนยันว่า จะใช้ มธ.ท่าพระจันทร์ เป็นสถานที่ชุมนุมในวันที่ 19 ต่อไป เพราะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ย่อมเป็นของนักศึกษาและประชาชน...”
เป็นที่น่าสังเกต ในเอกสารที่ทางแนวร่วมกลุ่มธรรมศาสตร์ฯ ยื่นขออนุญาตกับทางผู้บริหาร มธ.เพื่อขอใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยจัดชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. ได้เผยหัวข้อที่จะมีการปราศรัยบนเวทีของแกนนำด้วย ซึ่งนอกจากจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ชอบธรรมและความเป็นเผด็จการของรัฐบาลปัจจุบันแล้ว ยังจะมีการปราศรัยเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และข้อเรียกร้อง 10 ข้อของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมอีกด้วย ซึ่งข้อเรียกร้อง 10 ข้อดังกล่าว เคยมีการปราศรัยบนเวทีที่ มธ.รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา จนถูกกระแสสังคมที่รักและเทิดทูนสถาบันรับไม่ได้และตำหนิอย่างหนักมาแล้ว
ด้านนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้ประกาศว่า เมื่อผู้บริหารไม่ยอมให้ใช้สถานที่แต่โดยดี เราจึงอนุญาตตัวเองด้วยมติมหาชน จะเข้าไปพร้อมมวลชน ถ้ามหาวิทยาลัยปิดประตู ไม่ยอมให้เข้าไป ตนในฐานะที่เป็นตัวแทนนักศึกษาจะเปิดประตูให้พี่น้องเข้าไปเอง
วันต่อมา (11 ก.ย.) นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แถลงจุดยืนพร้อมเชิญชวนศิษย์เก่าร่วมลงนามระงับการใช้พื้นที่ใน มธ.เพื่อการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.นี้ โดยเตรียมเข้ายื่นข้อเรียกร้องต่อกรรมการสภามหาวิทยาลัย และผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ เวลา 16.00 น. “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ไม่มีความโปร่งใสและความรับผิดชอบ รวมถึงความสามารถที่จะจัดการชุมนุมได้โดยสงบตามที่กล่าวอ้าง เป็นม็อบที่ฉาบฉวย มีมาตรฐานต่ำกว่าประชาธิปไตย ต้องการจะเทมวลชนกดดันให้เกิดความรุนแรงคล้ายกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พร้อมถามม็อบหากเกิดความรุนแรงจะสามารถดูแลความปลอดภัยกลุ่มผู้ชุมนุมได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาไม่เห็นเลยว่าจะมีความสามารถในการนำ ควบคุมหรือจัดการคุ้มครองผู้ชุมนุม เห็นมีแต่ความสามารถทางวาทกรรม
ล่าสุด วันนี้ (12 ก.ย.) นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กสวนกลับนายแก้วสรรว่า “ฟังการแถลงข่าวของนายแก้วสรร อติโพธิ ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์แล้ว ไม่แน่ใจว่า พี่แกจบจากธรรมศาสตร์ หรือจบจาก จปร. (โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) ถึงได้มีความเห็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยได้ขนาดนี้ ออกมาโวยวายเราจะไปทำเนียบถือเป็นเผด็จการ แล้วไอ้ที่พันธมิตรยึดทำเนียบครึ่งค่อนปีนี่ คุณแก้วสรรจะเรียกว่าอะไรครับ”
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้ออกมาเผยว่า จะไปร่วมชุมนุมที่ มธ.วันที่ 19 ก.ย. แต่จะไม่ขึ้นปราศรัย ขณะที่เพจคณะก้าวหน้าได้โพสต์ข้อความ พร้อมอำนวยความสะดวกสำหรับคนที่ต้องการไปร่วมชุมนุมที่ มธ.19 ก.ย.แต่ไม่มีรถ
2.สธ. เผยพบนักเตะทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ชาวอุซเบกิสถาน ติดเชื้อโควิด-19 หลังพ้นกักตัว 14 วัน แต่ไม่มีอาการ!
เมื่อวันที่ 11 ก.ย. กระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงพบนักฟุตบอลชาวอุซเบกิสถาน อายุ 29 ปี ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดเชื้อโควิด-19 ไม่มีอาการ โดยเป็นการตรวจพบเชื้อตามกระบวนการตรวจทางห้องปฏิบัติการหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานก่อนการแข่งขันไทยลีก ที่จะเริ่มวันที่ 12 ก.ย.นี้ โดยตรวจนักกีฬาและบุคลากรฟุตบอลอาชีพ รวม 1,115 ราย พบติดเชื้อ 1 ราย
ผลการสอบสวนโรค พบว่า วันที่ 11 ส.ค. ตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางเข้าไทย ต่อมาวันที่ 13 ส.ค. เดินทางถึงไทย และเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ถึง 27 ส.ค. ตรวจ 2 ครั้งไม่พบเชื้อ ไม่มีอาการ หลังจากนั้น วันที่ 28 ส.ค.-9 ก.ย. อยู่บ้าน ตอนเที่ยงไปรับประทานอาหารกับกลุ่มเพื่อน และตอนเย็นเดินทางไปซ้อมฟุตบอล (ระหว่างอยู่ในห้องแต่งตัวไม่ได้สวมหน้ากาก) ใช้รถยนต์ส่วนตัว
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. มีแข่งนัดอุ่นเครื่องกับทีมราชบุรี, 5 ก.ย. แข่งอุ่นเครื่องกับทีมขอนแก่น, 8 ก.ย. ตรวจหาเชื้อ และเมื่อวันที่ 10 ก.ย. เข้าแคมป์ที่บางบ่อ สมุทรปราการ เดินทางสายการบิน Air Asia FD3521 (13.50 น.) ต่อรถบัสของสโมสร ระหว่างเดินทางสวมหน้ากากตลอดเวลา
ทั้งนี้ ทีมสอบสวนได้ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด บนเครื่อง ในแคมป์เก็บตัว สถานที่และร้านอาหารที่เกี่ยวข้อง โดยเพื่อนร่วมทีมและทีมงานอีก 41 คน ไม่พบเชื้อ พบเพียงผู้ป่วยรายนี้รายเดียว และได้ค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดเพิ่มเติม คือ ผู้สัมผัสบนเครื่องบิน, แคมป์เก็บตัว, นักเตะทีมราชบุรี และขอนแก่น, ผู้โดยสารบนเครื่อง, ผู้ใช้สนามบิน ซึ่งจะค้นหาผู้สัมผัสเพิ่มเติมเพื่อตรวจหาเชื้อต่อไป
3.ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา “ปารีณา” แจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ-ทำผิดจริยธรรมร้ายแรง ด้านเจ้าตัวไม่หนักใจ พร้อมชี้แจง!
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. นายนิวัติไชย เกษมมงคล โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยอมรับว่า ป.ป.ช. ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.จังหวัดราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ใน 2 ข้อหาจริง คือ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และกระทำความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงกรณีครอบครองพื้นที่ป่าสงวน แต่ไม่แน่ใจว่า น.ส.ปารีณารับทราบข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการแล้วหรือไม่ ตามขั้นตอน ป.ป.ช.จะเรียก น.ส.ปารีณามารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเอง หากไม่มาถือว่าเป็นสิทธิ โดย ป.ป.ช.จะส่งหนังสือทางไปรษณีย์ เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาหรือแจงพยานหลักฐานเพิ่มเติมภายใน 15 วัน หากครบกำหนด 15 วัน จะถือว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ประสงค์จะแก้ข้อกล่าวหาเพื่อหักล้าง ทุกอย่างก็จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เพื่อนำไปสู่การชี้มูลความผิดหรือไม่
นายนิวัติไชย ยืนยันว่า การแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว เป็นเพียงกระบวนการหนึ่ง ขณะนี้ น.ส.ปารีณายังเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะคดียังไม่มีการชี้มูลความผิด และเมื่อแก้ข้อกล่าวหาแล้ว หากคณะกรรมการเห็นว่าไม่มีมูล คดีดังกล่าวก็จะตกไป แต่หากมีมูล ก็ชี้มูลความผิด ก่อนส่งเรื่องนี้ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้วินิจฉัย และหากศาลประทับรับฟ้อง น.ส.ปารีณาจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ทันที จากนั้นก็เป็นกระบวนการของศาล ขณะเดียวกัน การยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จจะมีโทษทางอาญาด้วย
นายนิวัติไชยยอมรับด้วยว่า การยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินเท็จของ น.ส.ปารีณาครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงที่ดิน 1,700 ไร่ ที่ จ.ราชบุรีเท่านั้น แต่ยังมีรายการทรัพย์สินอื่นอีก ทั้งที่เกี่ยวเนื่องและไม่เกี่ยวเนื่องกับที่ดินดังกล่าว แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
นายนิวัติไชย ยังเผยด้วยว่า ป.ป.ช.จะต้องตรวจสอบว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปให้การช่วยเหลือ น.ส.ปารีณา ให้เข้าไปครอบครองพื้นที่ป่าสงวนเขาสนฟาร์มหรือไม่ หากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็จะถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ แต่ขณะนี้ยังไม่พบเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบต่อไป
นายนิวัติไชย ยังชี้แจงเรื่องการถือครองที่ดินด้วยว่า ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ คดีอาญาเป็นอำนาจของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ดำเนินการ แต่ ป.ป.ช.จะตรวจสอบเรื่องการกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรงฐานครอบครองพื้นที่ป่า หากพบข้อมูลความผิดจริง ก็จะต้องยื่นร้องต่อศาลฎีกาฯ เพื่อพิจารณาลงโทษให้พ้นจากตำแหน่งและตัดสิทธิทางการเมือง
วันเดียวกัน (8 ก.ย.) น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ แถลงกรณีถูก ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาคดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และกรณีทำผิดจริยธรรมจากการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติว่า ไม่หนักใจ พร้อมจะไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. โดยได้เตรียมเอกสารหลักฐานต่างๆ ไว้ชี้แจงเรียบร้อยแล้ว เช่น กรณี ป.ป.ช.สงสัยการให้กู้เงิน 7.7 ล้านบาท ที่ฝ่ายลูกหนี้ปฏิเสธไม่มีการกู้เงินจริงนั้น ตนมีหลักฐานเป็นหนังสือกู้ยืมเงิน ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างฟ้องร้องกันในชั้นศาล ป.ป.ช.อาจมองแค่มุมเดียว แต่ไม่เห็นหลักฐานทั้งหมด จึงคิดว่าตนไม่มีสถานะเป็นเจ้าหนี้จริง ขณะที่ข้อสงสัยเรื่องราคาพระสมเด็จบางขุนพรหม ราคา 2.5 ล้านบาท ยืนยันเป็นทรัพย์สินที่แบ่งสมบัติจากอดีตสามี ซึ่งราคา 2.5 ล้านบาท เป็นราคาที่อดีตสามีเป็นผู้แจ้งมา จึงแจ้งราคาต่อ ป.ป.ช.ตามที่อดีตสามีระบุ เพราะตนไม่มีความรู้เรื่องพระ ไม่เกี่ยวกับประเด็นการปั่นราคาในเชิงพาณิชย์ มั่นใจสามารถชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ได้ทุกประเด็น
ด้านนายทศพล เพ็งส้ม ทนายความ น.ส.ปารีณา กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่ ป.ป.ช. แจ้งต่อ น.ส.ปารีณามี 2 ข้อหา โดยข้อหาแรก คือ การแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ มี 3 เรื่อง คือ 1.ไม่เชื่อว่า น.ส.ปารีณามีสถานะเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ 7.7 ล้านบาทจริง เพราะฝ่ายลูกหนี้ปฏิเสธว่าไม่ได้กู้เงินจาก น.ส.ปารีณา กรณีนี้มีหลักฐานชัดเจนเป็นหนังสือกู้ยืมเงิน เรื่องอยู่ระหว่างการฟ้องร้องเป็นคดีความ 2.ราคาพระสมเด็จบางขุนพรหม 2.5 ล้านบาท ที่ได้จากอดีตสามี ซึ่ง น.ส.ปารีณาได้แจ้งราคาดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.ตามที่อดีตสามีบอก 3.การแจ้งเท็จเรื่องการครอบครองที่ดิน ภบท.5 จำนวน 58 แปลง ยืนยันว่าไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จต่อ ป.ป.ช. พร้อมไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ว่า รายการที่ดิน ภบท.5 ที่ครอบครองอยู่จริงมีอยู่ 29 แปลง ไม่ใช่ 58 แปลง โดย 29 แปลงที่เหลือถ้านำมาเทียบจะเป็นแปลงเดียวกับ 29 แปลงที่มีอยู่จริง แต่ที่แจ้งไป 58 แปลง เนื่องจากฝ่ายบัญชีเข้าใจคลาดเคลื่อนในการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ยื่นเอกสารไปทั้งหมดโดยไม่รู้ว่า มีรายการที่ดินที่ซ้ำซ้อน เป็นรายการเดียวกันอยู่ ยืนยันว่าไม่มีการสวมรอยเอาที่ดินคนอื่นมาแจ้ง
นายทศพล กล่าวอีกว่า ส่วนข้อหาที่ 2 การแจ้งข้อหาเรื่องการทำผิดจริยธรรมนั้น ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่า ป.ป.ช.แจ้งข้อหาเรื่องผิดจริยธรรมร้ายแรงในหมวดใด เพราะมีทั้งจริยธรรมทั่วไปและจริยธรรมร้ายแรง จะได้เตรียมหลักฐานมาต่อสู้คดี ยืนยันทั้งสองข้อหา เราไม่หนักใจ แต่กังวลแค่เรื่องประเด็นการทำผิดจริยธรรมที่ยังไม่รู้รายละเอียดเท่าใด และว่า ในวันที่ 10 ก.ย.จะทำหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาส่งไปยัง ป.ป.ช.ก่อนใน 2 ประเด็นกรณีการให้กู้เงิน 7.7 ล้านบาท และราคาพระเครื่องที่ได้เตรียมหลักฐานชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไว้หมดแล้ว ส่วนเรื่องที่ดิน ภบท.5 อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อนำไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช. และเรื่องการทำผิดจริยธรรมก็กำลังพิจารณาอยู่ว่า ป.ป.ช.จะให้ชี้แจงการทำผิดจริยธรรมในประเด็นใด น.ส.ปารีณาพร้อมชี้แจงทุกข้อกล่าวหา
4.12 กบฏ ปชป.แห่ถอนชื่อญัตติแก้ ม.272 ทำ “ก้าวไกล” แห้ว ด้าน “พท.” ช่วยผนึกกำลังฝ่ายค้านยื่นญัตติใหม่!
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันนำรายชื่อ ส.ส.99 คน มายื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 272 ว่าด้วยการยกเลิกการให้ ส.ว.ร่วมลงมติในที่ประชุมรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี
ด้านนายชวน กล่าวว่า หากตรวจสอบองค์ประกอบของญัตติแล้วไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย จะสามารถบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาได้ใน 15 วัน ซึ่งขณะนี้ได้มีการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านไปก่อนหน้านี้ โดยจะมีการพิจารณาในวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ หากไม่มีปัญหา จะสามารถพิจารณาได้พร้อมกัน
นายพิธา เผยว่า ส.ส.ที่ร่วมลงชื่อจำนวน 99 คน จาก 13 พรรคการเมือง โดยไม่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐร่วมลงชื่อ แต่มี ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ร่วมลงชื่อด้วย
ขณะที่นายสาทิตย์ ยืนยันว่า การดำเนินการของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ร่วมลงชื่อครั้งนี้ แม้ไม่ได้เป็นมติพรรค แต่เป็นเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญที่ ส.ส.สามารถทำได้ แม้ว่า ส.ส.ของพรรคส่วนใหญ่ได้ร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลไปก่อนหน้านี้ และว่า การแก้ไขมาตรา 272 เป็นการยกเลิกการสืบทอดอำนาจ และว่า พวกตนพร้อมจะเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป
สำหรับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 16 คนที่ร่วมลงชื่อกับพรรคก้าวไกลในการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เพื่อไม่ให้ ส.ว.มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายพนิต วิกิจเศรษฐ์, นายอันวาร์ สาและ, นายกนก วงษ์ตระหง่าน, น.ส.รังสิมา รอดรัศมี, นายเกียรติ สิทธีอมร, น.ส.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล, น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ, นายอภิชัย เตชะอุบล, นายเทพไท เสนพงศ์, พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่, นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย, นางกันตวรรณ ตันเถียร, นายสาคร เกี่ยวข้อง, นายอัศวิน วิภูศิริ, นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ และนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์
ด้าน น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคนได้ร่วมลงชื่อในญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 กับพรรคก้าวไกลว่า มองว่าเรื่องดังกล่าวไม่กระทบเสถียรภาพของรัฐบาล แต่โดยธรรมเนียมปฏิบัติและมารยาททางการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคจะต้องยึดมติของวิปรัฐบาลเป็นหลัก และว่า เบื้องต้นทราบว่า มี ส.ส.ซีกรัฐบาลบางคนที่ได้ร่วมลงชื่อใน 99 คน ถอนชื่อออกแล้ว
ขณะที่นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะวิปพรรค ปชป.กล่าวถึงกรณีที่มี ส.ส.บางส่วนของพรรคไปร่วมลงชื่อกับพรรคก้าวไกลยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ว่า เป็นสิทธิของแต่ละคน แต่พรรคมีมติยืนยันว่า เสนอร่างเพียงร่างเดียวเพื่อความเป็นเอกภาพ และต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถเดินหน้าได้จริง นอกจากแก้ไขมาตรา 256 แล้วยังต้องตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ “ส.ส.บางคนของพรรคที่ไปลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคอื่น เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ต้องชี้แจงเหตุผล ตอบคำถามต่อสังคมให้ได้ จะไม่กดดันให้ทั้ง 16 คนที่ไปร่วมลงชื่อ ถอนชื่อจากร่างเดิม เพราะเชื่อว่าทุกคนมีวุฒิภาวะ”
ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา ได้มี ส.ส.ปชป. และพรรคอื่นบางพรรคที่ร่วมลงชื่อยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 กับพรรคก้าวไกล ทยอยถอนชื่อออก สุดท้ายจึงส่งผลให้ญัตติดังกล่าวตกไป เพราะมีเสียง ส.ส.ไม่ถึง 98 เสียง
นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เผยว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถอนชื่อ 12 คน ได้แก่ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี, พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.สงขลา,นางกันตวรรณ ตันเถียร, นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์, นายธีรภัทร พริ้งศุลกะ, นายวิวรรธน์ นิลวัชรมณี, นายสินิตย์ เลิศไกร, นายอัศวิน วิภูศิริ, นายสาคร เกี่ยวข้อง, น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ, นายสมชาติ ประดิษฐพร, นายภานุ ศรีบุศยกาญจน์
ส่วน ส.ส.พรรคอื่นที่ถอนชื่อ ได้แก่ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค หัวหน้าพรรคไทรักธรรม และนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.พรรคไทยศรีวิไลย์ รวมกับ 3 คนที่ถอนชื่อไปก่อนหน้า คือ นายจุลพันธ์ โนนศรีชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา, พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังชาติไทย และนายสุรทิน พิจารณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่
ด้านนายอัศวิน วิภูศิริ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ปชป.ยอมรับว่า เป็นหนึ่งในคนที่ถอนชื่อออกจริง โดยเผยว่า ตอนร่วมลงชื่อ ทำไปเพราะความเป็นเพื่อน เมื่อลงชื่อแล้วมีปัญหา และถูกมองว่าเป็นกบฏพรรค ปชป. ตนเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งในพรรค จึงตัดสินใจถอนชื่อ โดยมี น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ร่วมถอนชื่อด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา (10 ก.ย.) 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้นำฝ่ายค้าน ได้ยื่นร่างญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา จำนวน 4 ญัตติต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ โดยใน 4 ญัตติ มีมาตรา 272 ด้วย หลังจากพรรคก้าวไกลยื่นญัตติมาตราดังกล่าวก่อนหน้านี้ แต่ตกไปหลัง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมลงชื่อแห่ถอนชื่อออก
ด้านนายชวน กล่าวว่า เนื่องจากมีฉบับของพรรคฝ่ายค้านฉบับแรกที่ยื่นโดยพรรค พท.บรรจุไปแล้ว จึงได้สั่งบรรจุฉบับแรกภายใน 15 วัน ส่วนฉบับที่ 2 คือฉบับของพรรคร่วมรัฐบาล อยู่ระหว่างวุฒิสภากำลังพิจารณา จะส่งกลับมาเพื่อบรรจุต่อไป ส่วน 4 ฉบับที่เสนอวันนี้ (10 ก.ย.) จะมอบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องตามระเบียบ รวมถึงตรวจรายชื่อว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้าเรียบร้อย จะรีบสั่งการให้สามารถบรรจุระเบียบวาระได้พร้อมกัน เพราะได้กำหนดวันไว้แล้วล่วงหน้าว่า ญัตตินี้จะได้เข้าพิจารณาในวันที่ 23-24 ก.ย.นี้
5.“นพ.เปรมศักดิ์” รอดคุก คดีสั่งแก้ผ้านักข่าว หลังศาลฎีกาพิพากษาเปลี่ยนโทษจากจำคุกเป็นกักขัง 2 เดือน!
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ศาลจังหวัดพล จ.ขอนแก่น ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการ และนายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำศูนย์ข่าวภาคอีสานตอนบน โจทก์ร่วม ฟ้อง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น และว่าที่ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีตเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ เป็นจำเลย ในความผิดข่มขืนใจ บังคับขู่เข็ญ และกระทำอนาจาร
สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวจาก 5 สำนักในจังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วย นายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวอาวุโส นสพ.เดลินิวส์ ภาคอีสานตอนบน, นายปราโมทย์ ศรีบุระ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, น.ส.จิตติมา จันพรม ผู้สื่อข่าวเครือเดอะเนชั่น, นายสุพล บุญชื่นชม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชน/ข่าวสด และนายปรัชญา เทพสกุล ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์เคเคซีเคเบิ้ล ทีวี ได้ขอสัมภาษณ์ นพ.เปรมศักดิ์ (ขณะนั้นเป็นนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่) กรณีสื่อโซเชียลเผยแพร่ภาพถ่ายของ นพ.เปรมศักดิ์ นั่งคู่กับนักเรียนหญิง ชั้น ม.5 คล้ายพิธีหมั้นหรือพิธีมงคลสมรสของภาคอีสาน
แต่ทาง นพ.เปรมศักดิ์ กลับออกอุบายหลอกให้ผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักเข้าไปภายในห้องทำงานของตนเอง และด้วยความไม่พอใจ ได้สั่งเจ้าหน้าที่เทศบาลซึ่งเป็นลูกน้องยึดโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายภาพของผู้สื่อข่าวทั้งหมด พร้อมกับล็อกตัวนายก่อสิทธิ์ ถอดกางเกงประจาน
จากนั้นผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักจึงเดินทางแจ้งความเอาผิด นพ.เปรมศักดิ์ พร้อมพวกรวม 7 คน ที่ สภ.บ้านไผ่ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2559 ในข้อหา “ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยว บังคับข่มขืนจิตใจ ให้กระทำการ หรือไม่กระทำการใด และกระทำการอนาจารต่อหน้าธารกำนัล“ ซึ่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านไผ่ได้สรุปสำนวนคำฟ้องส่งให้อัยการจังหวัดพลเมื่อกลางเดือน พ.ย. 2559 ต่อมา อัยการจังหวัดพลมีความเห็นสั่งฟ้องเฉพาะ นพ.เปรมศักดิ์ และว่าที่ ร.ต.บัวทอง เพียง 2 คน ส่วนฝ่ายโจทก์ทางอัยการมีความเห็นว่า นายก่อสิทธิ์เพียงคนเดียวเท่านั้นได้รับความเสียหาย
คดีนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2561 ให้ นพ.เปรมศักดิ์ และว่าที่ ร.ต.บัวทอง จำเลย รับโทษจำคุกคนละ 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จากนั้นจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อมา ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2562 แต่เมื่อใกล้ถึงวันนัดอ่านคำพิพากษา จำเลยทั้งสองได้ขอกลับคำให้การใหม่ โดยรับสารภาพทุกข้อหา เพื่อขอให้ศาลเห็นใจและลงโทษสถานเบา
ต่อมา เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2562 ศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือ ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา โดยเห็นว่าคำตัดสินของศาลชั้นต้นชอบแล้ว การที่จำเลยมากลับคำให้การรับสารภาพในภายหลัง ไม่เกิดประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีของศาลแต่อย่างใด
เมื่อถึงวันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา (9 ก.ย.) นพ.เปรมศักดิ์ และว่าที่ ร.ต.บัวทองได้เดินทางมาตามนัด โดยขณะเดินขึ้นศาลมีสีหน้ายิ้มแย้ม
ทั้งนี้ ศาลฎีกาได้เปลี่ยนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จากตัดสินให้รับโทษจำคุก 2 เดือน เป็นกักขัง 2 เดือนแทน โดยศาลให้เหตุผลว่า ก่อนหน้านี้ จำเลย คือ นพ.เปรมศักดิ์ มีความรู้สึกสำนึกผิด ได้นำเงินสดจำนวน 100,000 บาทมาวางต่อหน้าศาล เพื่อขอชดเชยค่าเสียหายให้แก่โจทก์ผู้เสียหาย มีเหตุอันควรเปลี่ยนคำพิพากษาของศาลชั้นอุทธรณ์
สำหรับการลงโทษด้วยการกักขังแทนจำคุกนั้น ขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่มีสถานที่กักขังผู้ต้องหา แต่อาจจะมีวิธีกักขังด้วยวิธีอื่น เช่น การกักบริเวณ โดยใช้กำไลติดตามตัว คือ กำไล EM หรือกำไลอิเล็กทรอนิกส์ แล้วให้ไปกักตัวในสถานที่ที่ศาลกำหนด
ด้านนายปราโมทย์ ศรีบุระ ผู้สื่อข่าวไทยทีวีสีช่อง 3 หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหาย เผยว่า ยอมรับคำพิพากษาของศาลฎีกา ถือว่าคดีนี้สิ้นสุดแล้ว หลังจากใช้เวลานานกว่า 3 ปี สำหรับเงินสด 100,000 บาทที่จำเลยนำมาวางต่อหน้าศาลเพื่อชดเชยเยียวยานั้น กลุ่มสื่อมวลชนที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของ นพ.เปรมศักดิ์ ไม่ได้รับมาแต่อย่างใด เพื่อป้องกันคำครหาตามมา และอยากให้เป็นคดีตัวอย่างที่สื่อมวลชนไม่ควรถูกคุกคามจากแหล่งข่าว