1.“วิชา” แถลงผลสอบคดี “บอส” พบทำสำนวนแบบสมยอม-ไม่สุจริต-สมคบคิด-สร้างหลักฐานเท็จ จี้เอาผิดไม่ต่ำกว่า 10 คน!
เมื่อวันที่ 1 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยความคืบหน้ากรณีหลังนายวิชา มหาคุณ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ทายาทกระทิงแดง ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต และตำรวจไม่เห็นแย้งว่า คณะกรรมการเสนอแนะ 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.ยกคดีขึ้นเพื่อดำเนินการใหม่ โดยเฉพาะคดีทั่งไม่ขาดอายุความ ซึ่งเรื่องนี้ดำเนินการได้อย่างแน่นอน มี 2-3 คดีที่มีอยู่ 2.ดำเนินคดีและดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย 3.ในบางเรื่องมีความชัดเจนว่า มีความผิดหรือไม่ แต่ต้องตรวจสอบพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องในเชิงจริยธรรม 4.ซักซ้อมเกี่ยวกับความเข้าใจการมอบอำนาจของผู้บังคับบัญชาว่า จะทำอย่างไรเมื่อรับมอบไปแล้ว จะรับผิดชอบอย่างไร ก็ต้องไปดูและแก้ไขกฏระเบียบอีกหลายเรื่อง วิธีปฏิบัติในการมอบอำนาจ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า “สิ่งต่างๆ จะส่งให้หน่วยงานเกี่ยวข้องไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ทันที ถ้าเป็นตำรวจ ตนกำกับดูแลอยู่แล้ว ส่วนอัยการเป็นอิสระ ส่วนทนายความมีสภาทนายความดูแลว่ามีบุคคลเกี่ยวข้องหรือเปล่า และรัฐบาลมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท.เป็นศูนย์กลางติดตามดูแลประสานงานดำเนินการความก้าวหน้า รายงานให้ประชาชนทราบเป็นระยะ”
พล.อ.ประยุทธ์ เผยด้วยว่า “5.คณะกรรมการขอทำงานต่ออีก 30 วัน เพื่อเสนอแนะการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในเชิงปฏิรูปให้เกิดความชัดเจน ได้พูดคุยกันแล้วว่า จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ต้องช่วยกันผลักดันต่อไป เพราะฉะนั้นถ้าใครมีเบาะแสหรือข้อเสนอแนะอะไร ก็ขอให้ส่งกับทางคณะกรรมการ”
ขณะที่นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ แถลงที่ทำเนียบรัฐบาลในวันเดียวกันสรุปผลการค้นหาความจริงกรณีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ว่า คดีนี้เป็นที่น่าอับอายสำหรับบุคคลและองค์กรในในกระบวนการยุติธรรม แม้แต่คนไทยเองต้องรู้เรื่องจากฝรั่งว่าคดีของนายวรยุทธจากสั่งฟ้องกลายเป็นสั่งไม่ฟ้อง และว่า คณะกรรมการทำงานมา 1 เดือน จนสามารถส่งข้อเสนอแนะได้ตามกำหนดเวลา อย่างไรก็ตาม นายกฯ กังวลว่า ข้อมูลที่ได้มายังเป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หากเผยแพร่ออกไป จะกระทบถึงเขาหรือไม่อย่างไร ฉะนั้น ในสรุปรายงานให้กับสื่อมวลชนครบเหมือนที่บอกไว้ บอกหมดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร เข้ามาในกระบวนได้อย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร บอกละเอียดทั้งหมดและเป็นสิทธิของนายกรัฐมนตรีต้องไปดำเนินการต่อ และสิทธิของท่านจะพิจารณาเผยแพร่ต่อไป เอกสารที่สรุปให้สื่อมวลชนจะทำให้เห็นกระบวนการทั้งหมด แต่ตัวละครต่างๆ จะขอใช้อักษรย่อ พร้อมระบุตำแหน่งให้ แต่เป็นบุคคลที่คุณก็รู้ว่าใคร เหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ท่านสามารถไปสืบหาต่อได้เลยว่าเป็นใคร
นายวิชา กล่าวอีกว่า “เราเห็นพฤติกรรมเริ่มตั้งแต่ทำสำนวนบกพร่อง เพราะการตั้งข้อหาสำหรับคนตาย กระบวนการเหล่านี้เห็นภาพว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำอย่างมืออาชีพ เพราะบางข้อกล่าวหาไม่ได้ใส่ไว้ในสำนวน สอบไว้เพียงแค่ให้รู้ว่าสอบ แตไม่ได้จริงจัง และสั่งไม่ฟ้องสำหรับข้อกล่าวหานั้น เช่น เรื่องเมาแล้วขับ ประเด็นนี้ นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาแล้วขับ ต่อสู้เรื่องนี้มานาน และท่านเสียใจมากว่าจะกลายเป็นเรื่องขับแล้วเมา จะเป็นตัวอย่างในการต่อสู้คดีในอนาคตและทำให้หลุดคดีทั้งหมด”
นายวิชา กล่าวด้วยว่า คดีนี้มีการร้องขอความเป็นธรรม 14 ครั้ง ยังพบว่า ในการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 8 วันที่ 16 มิ.ย.58 เป็นครั้งที่เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันจนผิดปกติที่สุดในกระบวนการทำสำนวนในลักษณะของการสมยอมในการสอบสวน พบว่าวันที่ก็ผิด ไม่ได้เป็นวันที่จริง เพราะรู้กันอยู่ว่า วันที่สอบพยานผู้เชี่ยวชาญทางด้านความเร็ว พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น ตำรวจพิสูจน์หลักฐานในคดี และนายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทำให้กลับความเห็นเรื่องความเร็ว พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ยืนยันว่า มีการกระทำในลักษณะถูกกดดันด้วย
นายวิชา กล่าวต่อไปว่า “ต้องขอบคุณ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ และนายสายประสิทธิ์ ให้ข้อมูล เพราะวันสอบปากคำทั้งวันที่ 26 ก.พ.2559 และ 2 มี.ค.2559 ถือเป็นวันเท็จ เพราะวันสอบปากคำจริงๆ คือวันที่ 29 ก.พ.2559 เรามีหลักฐานยืนยันชัดเจน และเป็นหลักฐานที่ทำให้เราเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยและทั้งสองคนก็เข้าอยู่ในกระบวนการคุ้มครองพยานในทันที”
นายวิชา กล่าวอีกว่า แม้นายสายประสิทธิ์ยืนยันคำนวณความเร็วรถนายวรยุทธตามหลักวิศวกรรม แต่ยอมรับว่าไม่ได้ไปดูที่เกิดเหตุ คำนวณจากกระดาษบนโต๊ะทำงาน ไม่ใช่ข้อมูลความเร็วที่เป็นจริงเหมือนที่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์คำนวณไว้ว่าความเร็วรถนายวรยุทธอยู่ที่ 177 กม./ชม. คนให้ข้อมูลแท้จริงเรื่องนี้ คือ นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พนักงานสอบสวนไม่ได้นำเอกสารที่ท่านทดสอบไปใส่ไว้ในสำนวนคดีด้วย เป็นข้อพิรุธในสำนวน มีการหยิบยกพยานหลักฐานสร้างขึ้นมาอันเป็นเท็จ ด้วยความร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ทนายความ มีอัยการท่านหนึ่งอยู่ในกระบวนการนี้ด้วย
“คณะกรรมการจึงมีความเห็นตรงกันว่า เป็นการทำอันเป็นการสมยอม ไม่สุจริต ร่วมมือกันแบบที่เรียกตามทฤษฎีสมคบคิด ทำให้สำนวนเสียไปตั้งแต่ต้น ...ในทางกระบวนการ ให้สอบสวนใหม่ ไม่ใช่สอบพยานหลักฐานใหม่ตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 แต่ต้องนับหนึ่งใหม่ แต่เนื่องจากบางข้อหาขาดอายุความไปแล้ว คงช่วยไม่ได้ในส่วนนี้ จึงเสนอด้วยว่า หลังจากนี้จะต้องปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับเรื่องอายุความ เสนอว่าต้องแก้โดยเร่งด่วนให้อายุความหยุดลงเมื่อผู้ต้องหาหลบหนี แบบเดียวกับคดีทุจริต อายุความหยุดลงตราบใดที่ยังหลบหนีอยู่”
นายวิชา เผยต่อไปว่า มีเรื่องที่ต้องดำเนินการสำหรับบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสูงและเป็นผู้นำองค์กร แม้จะไม่ได้ข้อมูลที่แท้จริงในเรื่องทางอาญาหรือทางวินัย แต่สามารถดำเนินการในแง่จริยธรรมได้ โดย ป.ป.ช.เป็นผู้ตรวจสอบ และอาจจะให้พ้นจากตำแหน่งได้โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยมีผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ประมาณ 10 คนขึ้นไป ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เสนอให้มีการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นที่ร่วมขบวนการด้วย ซึ่งมีทั้งหมด 8 กลุ่ม นอกจากนี้ยังเห็นควรเสนอนายกฯ พิจารณาสั่งการให้ส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ท. คณะกรรมการ ป.ป.ง. คณะกรรมการอัยการ คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ สภาทนายความ เพื่อให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป กับเห็นสมควรดำเนินการให้คดีอาญาในเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง หนึ่งในพยานปากเอก จากการสอบสวนมีความเชื่อมโยงกับนายวรยุทธหรือไม่ นายวิชากล่าวว่า มีความเชื่อมโยงพอสมควร เหมือนในโซเชียลมีเดียก็ยังรู้ล่วงหน้าว่า ใครเป็นผู้อุปถัมภ์นายจารุชาติ มีทั้งบุคคลเกี่ยวพันกับนายวรยุทธ และกับผู้ที่เคยดำรงตำแห่งทางการเมืองทางภาคเหนือ ตำรวจภาค 5 กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่า ทำไมถึงทำลายมือถือของนายจารุชาติ
2.ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกในรอบ 100 วัน เป็นผู้ต้องขังใหม่ อาชีพดีเจ พบผู้สัมผัส 708 ราย เสี่ยงสูง 140!
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้นำคณะแพทย์แถลงการพบผู้ต้องขังชาย อายุ 37 ปี ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย หลังมีการตรวจเชื้อตามกระบวนการของเรือนจำ พบว่าเป็นบวก และได้แยกกักตัวสำหรับผู้ต้องขังใหม่ ไม่ได้อยู่ร่วมกับนักโทษอื่นๆ จากการสอบสวนโรค ผู้ป่วยไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ ส่วนผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ ขณะนี้มีมาตรการดูแลกลุ่มดังกล่าวแล้ว
ด้าน พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กล่าวว่า จากการตรวจสอบไทม์ไลน์ของผู้ป่วยดังกล่าว พบว่า พักอยู่ที่คอนโดฯ บ้านสวนธร ถนนพุทธบูชา บางมด กรุงเทพฯ มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงร่วมบ้าน 7 คน ขณะนี้ติดตามตามตัวได้แล้ว 5 คน เหลืออีก 2 คน เดินทางไปต่างจังหวัดในเขตปริมณฑล คาดว่าจะติดตามตัวได้ในวันที่ 4 ก.ย. โดยผู้ป่วยทำงานเป็นดีเจร้านอาหาร 3 วัน 2 คืน ที่สาขาพระราม 3 และสาขาพระราม 5 และยังทำงานที่ร้านเฟิร์ส คาเฟ่ต์ ถนนข้าวสาร ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนหาผู้สัมผัสใกล้ชิด ผู้ที่เคยไปร้านเหล่านี้ ขอให้สังเกตอาการตัวเองว่ามีไข้ ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสหรือไม่ หากเป็นไปได้ ขอให้หยุดการเดินทางไปในที่ชุมชน สวมหน้ากากอนามัยและล้างมือด้วย
พญ.วลัยรัตน์ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนยังพบว่า ในวันที่ 26 ส.ค. ผู้ป่วยขับรถส่วนตัวไปศาลรัชดาฯ และทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง โดยอยู่บริเวณกักกัน ก่อนเข้าแดนปกติในเรือนจำ มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงประมาณ 20 คน คือ ทนาย 1 คน เจ้าหน้าที่เรือนจำ 2 คน นักโทษที่ตัดสินคดีร่วม 2 คน นักโทษร่วมรถโดยสาร 15 คน โดยผู้ป่วยรายนี้มีเสมหะวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมาอยู่ในบริเวณกักกัน ก่อนเข้าแดนปกติในเรือนจำ มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 36 คน คือ ผู้ต้องขังในห้องเดียวกัน 34 คน อาสาสมัครนักโทษ 2 คน ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 2 คน คือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด ตรวจไม่พบเชื้อ
ขณะที่ นพ.เมธีพจน์ ชาตะเมธีกุล ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งปิดสถานบันเทิงทั้ง 3 แห่งที่ผู้ป่วยรายดังกล่าวทำงานแล้ว เพื่อทำความสะอาดเป็นเวลา 3 วัน
ทั้งนี้ การพบชายดังกล่าวติดเชื้อโควิด-19 นับเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกในไทย หลังจากไร้ผู้ติดเชื้อโควิดมานานถึง 100 วัน
ด้านศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เผยเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ว่า ผลสอบสวนโรคพบว่า มีผู้สัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นผู้ต้องขังดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 589 คน แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 78 คน ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 511 คน นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการสัมภาษณ์อีก 34 คน
ล่าสุด วันนี้ (5 ก.ย.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 ว่า ล่าสุด ผู้ป่วยยังไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง อยู่ในการดูแลของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนการสอบสวนเพิ่มเติม ขณะนี้พบผู้สัมผัสเพิ่มขึ้น สะสมอยู่ที่ 708 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 140 ราย สัมผัสเสี่ยงต่ำ 568 ราย
นพ.สุวรรณชัย ยังแนะประชาชนที่คิดว่าตนเองไปอยู่ในสถานที่หรือวันเวลาที่ผู้ติดเชื้ออาจจะไปด้วยว่า ไม่ต้องตกใจหรือกังวล ให้โทรสอบถาม 1422 หรือเดินไปขอรับคำปรึกษา ตรวจคัดกรองได้ แต่ต้องมีการให้ประวัติก่อน และถ้าจุดไหนที่มีรถเก็บตัวอย่างเชื้อชีวนิรภัย ก็สามารถไปขอรับบริการได้ และปฏิบัติตัวตามมาตรการควบคุมโรคไปก่อน
3.“ปรีดี” ไขก๊อก รมว.คลัง หลังรับตำแหน่งไม่ถึง 1 เดือน เผยป่วยเส้นเลือดสมองตีบ ด้าน “สันติ” ปัดขัดแย้ง พร้อมนั่งแทน!
เมื่อวันที่ 1 ก.ย.มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า นายปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งใน ครม.พล.อ.ประยุทธ์ 2/2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค.และเข้าเฝ้าเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ได้ยื่นจดหมายลาออกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยให้เหตุผลการลาออกครั้งนี้ว่า มีอาการป่วย
มีรายงานว่า จดหมายลาออกดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้ลงนามอนุมัติ อย่างไรก็ตาม การยื่นจดหมายลาออกของนายปรีดี ยังไม่มีการเผยแพร่ข่าว คาดว่าจะมีการทัดทานจากผู้ใหญ่ในรัฐบาล เป็นที่น่าสังเกตว่า การลาออกของนายปรีดี มีขึ้นหลังจากปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีได้ไม่ถึง 1 เดือน
ขณะที่คนใกล้ชิดนายปรีดี เผยว่า สาเหตุที่นายปรีดียื่นใบลาออกจากตำแหน่ง รมว.คลัง เป็นเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพล้วนๆ เพราะก่อนหน้านี้นายปรีดีเคยเป็นมินิสโตรก หรือเส้นเลือดฝอยในสมองตีบ เมื่อเข้ารับตำแหน่งมีอาการเครียดจากการกดดันตนเอง โรคเส้นเลือดสมองตีบได้กำเริบขึ้นมาอย่างน่าตกใจ มีอาการแขนชาและร้อนที่ขา เป็นอาการที่มากกว่าที่เคยเป็นถึง 2-3 เท่า ถึงกับต้องไปปรึกษาแพทย์ ขณะที่ครอบครัวเป็นห่วง จึงได้นำเรื่องไปปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งรับฟังปัญหาอย่างเอาใจใส่และด้วยความเข้าใจ และยังสอบถามถึงครอบครัวด้วย และได้พูดคุยปรึกษานายกฯ ในเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว
ผู้ใกล้ชิดนายปรีดียืนยันด้วยว่า ข่าวเรื่องโผโยกย้ายกระทรวงการคลังจากการประชุม ครม.ที่ระยอง ไม่ได้เป็นเรื่องขัดแย้ง และต่อมา ได้พูดคุยจนเกิดความเข้าใจและมีการโยกย้ายตามที่นายปรีพีได้จัดทำไป ข่าวที่ออกไปจึงไม่เป็นธรรมกับ รมช.คลัง ส่วนบรรยากาศการทำงานใน ครม.และในพรรค ก็ต้องถือว่าเวลคัมต่อนายปรีดีอย่างมาก ทุกคนบอกว่า ให้รัฐมนตรีทำไป พร้อมช่วยกัน “การลาออก ถือว่าถึงจัดที่จะต้องตั้งหลักใหม่ เป็นโอกาสใล้เวลาพักผ่อน และหลังจากนี้ก็พร้อมจะช่วยงานของรัฐบาลต่อไป และจากการร่วมงานใน ครม.แม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ได้เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจ และความละเอียดในการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้น หากมีอะไรให้นายปรีดีช่วย ก็มีความยินดี”
ทั้งนี้ หลังมีข่าวนายปรีดียื่นหนังสือลาออก ปรากฏว่า หลังประชุม ครม.เมื่อวันที่ 1 ก.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เรียกนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้อำนวยการพรรค พปชร.พูดคุยอย่างเคร่งเครียดประมาณ 5 นาที โดยคาดว่าเป็นการคุยเรื่องที่นายปรีดียื่นหนังสือลาออก
วันเดียวกัน (1 ก.ย.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกฯ เรื่อง รัฐมนตรีลาออก ความว่า ด้วยนายปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย.2563 ความเป็นรัฐมนตรีของนายปรีดีจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย.2563 ตามความในมาตรา 170(2) ของรัฐธรรมนูญ ประกาศ ณ วันที่ 1 ก.ย.2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
วันต่อมา (2 ก.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่นายปรีดียื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง รมว.คลังว่า เป็นเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องลาออก เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพที่เคยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบมาก่อน นายปรีดีพยายามช่วยตนและรัฐบาลทำงานมาตลอด แต่นายปรีดีเองก็กังวลถ้าเป็นรุนแรงเช่นนี้ และแพทย์ก็ให้พักผ่อนด้วย ดังนั้น ต้องเข้าใจเหตุผลความจำเป็น “ผมก็ไม่เป็นไร ยืนยันรัฐบาลทำงานได้แน่นอน เพราะมีระเบียบในการรักษาราชการในการกำกับดูแล พร้อมกำกับดูแลกระทรวงการคลังให้ ซึ่งเป็นกติกาและกฏการบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวล...”
ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง กล่าวถึงกระแสข่าวนายปรีดีลาออกเพราะขัดแย้งกันในเรื่องแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงของกระทรวง โดยยืนยันว่า ไม่มีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว และความจริงอำนาจทุกอย่างเป็นของรัฐมนตรีว่าการ ตนเป็นรัฐมนตรีช่วย ชื่อบอกอยู่แล้วว่า ช่วยให้ภารกิจต่างๆ ที่รัฐมนตรีมอบหมายให้เสร็จอย่างเร็ว และมีประสิทธิภาพที่สุด สังคมอาจเข้าใจว่า การแต่งตั้งข้าราชการระดับอธิบดีมีความขัดแย้งกัน แต่ยืนยันไม่มีความขัดแย้ง จะสังเกตได้ว่า สัปดาห์ที่แล้วชื่อของอธิบดีเป็นอย่างไร สัปดาห์นี้ก็ผ่านไปด้วยความราบรื่น
นายสันติ กล่าวด้วยว่า เมื่อคืนวันที่ 1 ก.ย. เวลาประมาณ 20.00 น. นายปรีดีโทรมาหาว่า ไม่ทราบว่าข่าวออกมาทำนองนั้นได้อย่างไร บอกว่าต้องแสดงความเสียใจที่ข่าวออกมาแบบนั้น ข้อเท็จจริงไม่ได้มีอะไรขัดแย้ง อีกทั้งนายปรีดียังขอบคุณด้วยซ้ำที่ให้ความร่วมมือในทุกเรื่องทุกประเด็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ด้วยความรู้ความสามารถที่มีอยู่ หากนายกฯ ทาบทามให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมหรือไม่ นายสันติ กล่าวว่า “ในอดีตผมเคยอยู่กระทรวงใหญ่ๆ มาแล้ว เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ผมมีความเชี่ยวชาญและภูมิต้านทานพร้อมรับแรงกดดันในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ได้ หากนายกฯ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ มอบหมายให้ทำงานตรงไหน ก็พร้อมน้อมรับทำงานเพื่อบ้านเมือง”
วันเดียวกัน (2 ก.ย.) 7 พรรคเล็ก นำโดย นายพิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย และนายมงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ร่วมกันแถลงผลการหารือสถานการณ์การเมืองหลังนายปรีดี ยื่นใบลาออกจาก รมว.คลัง โดยเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งในหลักการนายกฯ ก็ดูแลอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องห่วงกลุ่มหรือพรรคเล็กต่างๆ ที่จะผลักดันคนมานั่ง นอกจากนี้เห็นว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยควบ รมว.กลาโหม ดังนั้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระนายกฯ จึงอยากเสนอให้ พล.อ.ประวิตร ควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่งบประมาณจะเข้าวาระ 2 ในเดือน ก.ย. รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
4.โปรดเกล้าฯ คืนฐานันดรศักดิ์-เครื่องราชฯ-ยศทหาร “เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี”
เมื่อวันที่ 2 ก.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง แต่งตั้งให้ดำรงฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา มีรายละเอียดระบุว่า โดยที่ นางสาวสินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์ มิได้เป็นผู้มีมลทินมัวหมอง จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นางสาวสินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์ ดำรงฐานันดรศักดิ์เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี กับตำแหน่งข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารและยศทหาร และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตราสืบเนื่องตลอดมา โดยให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนฐานันดรศักดิ์กับตำแหน่งข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารและยศทหาร และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรามาก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม พุทธศักราช 2563 ประกาศ ณ วันที่ 24 สิงหาคม พุทธศักราช 2563 เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน
5.“ลูกสาวบิ๊กตู่” สุดทน ส่งทนายแจ้งความเอาผิดคนใส่ร้ายป้ายสีให้เสียหาย พร้อมแจงความจริง 10 ข้อ!
เมื่อวันที่ 2 ก.ย. นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง และเพื่อน ได้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา บุตรสาวฝาแฝดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีผู้ที่เผยแพร่ข้อความเท็จ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง โดยมี พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง ผบก.น.1 ร่วมสอบปากคำ
นายอภิวัฒน์ กล่าวว่า บุตรสาวทั้งสองของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบอำนาจให้มาแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคล นิติบุคคล และสื่อออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ กว่าร้อยบัญชีที่ลงข้อมูลเท็จให้ร้ายเสียหาย ซึ่งมีคนหลงเชื่อไม่ไตร่ตรองนำไปแชร์ต่อและแสดงความเห็นอย่างเสียหาย ถือเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลที่สาม เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนกรณีมีนักการเมืองไปนำข้อมูลมาโพสต์แชร์ต่อด้วยนั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนจะพิจารณาว่า เป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนหรือไม่ ซึ่งลูกความทั้งสองยืนยันจะดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่มีการยอมความ
นายอภิวัฒน์ ยืนยันด้วยว่า กรณีนี้นายกฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ได้สั่งการหรือกำชับอะไร แต่มาในนามลูกความถูกใส่ร้ายเสียหาย ทั้งที่พยายามอดกลั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ล่าสุดเป็นเรื่องร้ายแรง กล่าวหาว่าทุจริตโกงเงินประเทศหลักหมื่นล้าน ซึ่งไม่มีมูลความจริง จึงได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงใน 10 ประเด็น ดังนี้
1.กรณีกล่าวหาว่าเปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนนามสกุลกลับเป็นของมารดา เพื่อหลบหนีคดีฟอกเงินของบิดา ยืนยัน ลูกความไม่เคยเปลี่ยนชื่อและนามสกุล โดยใช้ชื่อเดิมตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน 2.กรณีกล่าวหาว่าไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ยืนยันว่า ทั้งคู่ใช้ชีวิตตามปกติอยู่ในประเทศไทย 3.กรณีกล่าวหาว่าเรียนอยู่ประเทศออสเตรเลีย ยืนยันว่า ไม่เคยเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย 4.กรณีกล่าวหาว่าเรียนอยู่ต่างประเทศ ยืนยันว่า เรียนชั้นประถมและมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 และ 3.96 จบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับสองทั้งคู่ 5.กรณีกล่าวหาว่าสอบตกปริญญาโท ยืนยันว่า ไม่เคยเรียนต่อปริญญาโทและไม่เคยสอบตก
6.กรณีกล่าวหาว่าพักอาศัยอยู่คฤหาสน์ที่ประเทศอังกฤษ โดยมีเจ้าสัวซื้อให้ ยืนยันว่า ไม่เคยพำนักในอังกฤษ หรือประเทศใดเป็นเวลานาน เคยไปเที่ยวประเทศอังกฤษครั้งล่าสุดปี 2558 เข้าพักตามโรงแรมปกติ 7.กรณีกล่าวหาว่าซุกเงิน ฟอกเงิน โดยบิดาโอนเงินเข้าบัญชีที่ต่างประเทศ ยืนยันว่า ไม่มีบัญชีที่ต่างประเทศ 8.กล่าวหาว่าบิดาโอนเงินเข้าบัญชีลูกทั้งสองคนเพื่อฟอกเงิน ยืนยันว่า บิดาเคยโอนเงินให้เมื่อปี 2556 ซึ่งบิดาเคยแสดงบัญทรัพย์สินต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ปี 2557 เป็นเงินที่ได้จากการขายที่ดินของ พล.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา มีศักดิ์เป็นปู่ ที่นำมาแบ่งกับลูกหลาน 9.ไม่มีภาพปรากฏในโลกออนไลน์ ยืนยันว่า ทั้งคู่ไม่มีโซเชียลมีเดียใดๆ เพื่อนๆ ต่างรู้กันว่าไม่ขอออกสื่อ เพื่อป้องกันการแอบอ้าง และ 10.ไม่เปิดเผยตัวตนเหมือนลูกนักการเมืองอื่นๆ เพราะทั้งสองคนไม่ต้องการได้รับอภิสิทธิ์หรือรับผลประโยชน์ใดที่เกี่ยวข้องกับบิดา หรือตกเป็นที่สนใจของสังคม หากมีใครแอบอ้างถึงทั้งสองว่า สามารถช่วยเหลือวิ่งเต้นได้ ยืนยันว่า เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
ด้าน พล.ต.ต.สำเริง กล่าวว่า ขณะนี้ยังระบุไม่ได้ว่า จะต้องดำเนินคดีกับผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลักร้อยคนหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานว่า มีผู้ใดกระทำผิดบ้าง จากนี้อาจต้องตั้งคณะทำงานในระดับกองบังคับการ โดยอาจพิจารณาการทำงานกับหน่วยงานร่วม เพราะเป็นคดีได้รับความสนใจในหมู่ประชาชน และเพื่อให้การสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ยืนยันว่า ไม่มีความกดดันแต่อย่างใด
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (2 ก.ย.) ได้มีเอกสารชี้แจงจาก น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา ระบุตอนหนึ่งว่า “จากข้อกล่าวหาใน Social Media #ตามหาลูกประยุทธ์ ที่เป็นกระแสสังคมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้า น.ส.ธัญญา จันทร์โอชา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา ประสงค์ดำเนินการทางกฎหมายต่อบุคคล คณะบุคคล นิติบุคคล หรือสื่อใดๆ ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท ข้าพเจ้าทั้งสอง เช่นการกล่าวหาว่าข้าพเจ้าทั้งสองเปลี่ยนนามสกุล, อาศัยอย่างสุขสบายอยู่ในคฤหาสน์ต่างประเทศ, เป็นเส้นทางฟอกเงินของบิดาและอื่นๆ โดยปราศจากหลักฐานและไม่มีมูลความจริงเช่นนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวข้าพเจ้าทั้งสองและวงศ์ตระกูล ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง"
"ข้าพเจ้าทั้งสองประสงค์ให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างและบรรทัดฐานของการใช้ Social Media ในประเทศไทยว่า ผู้ใดก็ตามไม่มีสิทธิเผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท ผู้อื่น โดยปราศจากหลักฐาน และในขณะเดียวกันก็ไม่ควรมีผู้ใดตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จากการหลงเชื่อข้อมูลโดยขาดการไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์แยกแยะ เพียงเพราะความอคติ และความเกลียดชังอีกต่อไป"
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ จ.สุโขทัยเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ถึงกรณีที่บุตรสาวฝาแฝดแจ้งความร้องทุกข์ว่า “ก็เรื่องของเขา ถือว่าเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็เป็นสิทธิของเขา จะปกป้องชื่อเสียงก็เป็นเรื่องของเขา ผมก็ฟังคนรุ่นใหม่”