ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “สันติ” พร้อมมาก! ขอว่าการคลังเอง เบื้องหลังเขี่ย “ปรีดี” ออกก็อยากจะมีวันนี้ นี่เอง
ความเคลื่อนไหวของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลล่าสุดค่อนข้างชัดเจนว่า จะยังไม่รีบร้อนหาคนมาทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทน “ปรีดี ดาวฉาย” ที่ลาออกไปอย่างช็อกวงการ
“ลุงตู่” บอกว่า ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะขาดตรงไหนรัฐบาลทำงานได้ รมว.คลัง ไม่อยู่ ก็มี รมช.คลัง ข้าราชการก็ยังอยู่ และที่สำคัญนายกรัฐมนตรีในฐานะ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ก็กำกับดูแลอยู่แล้ว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ ทำไม่ไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลยังทำงานได้ อย่าติดยึดบุคคลมากนัก และจะตั้ง รมว.คลัง ใหม่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ลุงส่งสัญญาณแบบนี้ ก็อาจจะแปลความได้อีกอย่างว่า “การซื้อเวลาออกไป” ก็เพื่อลดความกดดันของรัฐบาลลง เพราะการลาออกของ “ปรีดี” เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ในเวลาอันสั้นก็ยากที่จะส่งเทียบเชิญใครมาเป็นได้ทันที และหากเชื้อเชิญแล้วก็ไม่แน่ว่าคนๆ นั้นจะตกปากรับคำมา “แบกหม้อก้นดำ” แทนลุงๆ หรือไม่ เพราะเห็นอิทธิฤทธิ์ของ “ลุงๆ สไตล์” แล้วขยาด ที่เข้ามาแล้วก็ถูกปล่อยให้เผชิญชะตากรรมโดนการเมืองกระหน่ำเหมือน “ปรีดี” เหมือน “ทีมสี่กุมาร” หรือไม่
แต่กระนั้นก็แว่วว่า นายกฯ มีลิสต์รายชื่อคนที่เข้าข่ายจะมานั่งเก้าอี้ขุนคลังอยู่บ้าง ทั้ง “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” อดีต รมช.คมนาคม และ อดีต CEO ปตท.คนกันเอง “ยาสามัญประจำบ้านลุงตู่” จะเรียกใช้บริการ หากหาคนไม่ได้จริงๆ และ “วิรไท สันติประภพ” ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ก็เป็นอีกคนที่ถูกพูดถึง
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่จะเข้ามาแทนที่ “ปรีดี” ก็ต้องมาทำงานกับ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง ที่โลกโซเชียลฯ ล้อเลียนกันว่าเป็น “รมช.ที่แกร่งสุดในปฐพี” ในชั่วโมงนี้ ด้วย 1 ปีที่ผ่านมา ผลงานไม่มีอะไรให้โลกจำ แต่ไล่ รมว.คลัง ออกไปแล้วสองคน !!
พอ “ปรีดี” ลาออกงานนี้เจ้าตัวก็ไม่กระมิดกระเมี้ยนเก็บอาการแต่อย่างใด แสดงออกอย่างกระเหี้ยนกระหือรือว่า พร้อมจะเป็นรัฐมนตรีว่าการเอง ถ้านายกฯไว้วางใจ
ถามว่า “สันติ” ไปเอาความมั่นใจจากไหนมาว่าตัวเองพร้อมมาก ดูจากโปรไฟล์และประสบการณ์ชาวเน็ตต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ช่างกล้า!” ... นอกจากเป็นนักการเมืองที่อยู่มานาน มีลุงหนุนหลัง
ฟังว่า “สันติ” ก็ไม่ได้แคร์อยู่แล้วว่าสังคมจะมองอย่างไร กล้าหรือไม่ ตัวเองก็เป็นนักการเมืองเก๋าเกมกว่าคนนอก เชื่อในตัวเองว่าเป็น รมว.คลัง ได้แน่นอน และ ที่เขี่ย “ปรีดี” พ้นทางไปก็เพื่อจะมีวันนี้ นี่เอง!!
ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนับแต่ ปรีดี” ที่หัวเดียวกระเทียมลีบเข้ามาทำงานยี่สิบวัน “สันติ” ก็รำมวยวาดลวดลายนักการเมืองเข้าใส่ตลอด
เบื้องลึกที่ “ปรีดี ดาวฉาย” ทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ก็เชื่อกันว่า มาจากปัญหาในการบริหารงานกระทรวงเป็นหลัก โดย “สันติ” รัฐมนตรีช่วยนั้นต้องการควบคุมอำนาจแทน “ปรีดี” ในทุกด้าน โดยที่ปรีดีไม่ได้รับการปกป้องดูแลจาก “พล.อ.ประยุทธ์” นายกรัฐมนตรี อย่างที่ควรจะเป็น
พูดง่ายๆ ว่า “สันติ” พยายามจะขี่ “ปรีดี” ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการแบบชนิดที่ว่า เป็น รมช.แต่อยู่เหนือ รมว. รุกไล่จะให้ปรีดีดูแค่เรื่องนโยบาย แต่สันติ จะสั่งการการปฎิบัติงานและคุมบรรดาอธิบดี กำกับแบงก์รัฐเองทั้งหมด ... เจอสภาพแบบนี้ ปรีดี จึงตัดสินใจไม่ขออยู่ดีกว่า
ตอนนี้ “สันติ” ต้องการว่าคลังเองก็เพื่อคุมเบ็ดเสร็จ อย่าได้ถามถึง “สุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกฯ และรัฐมนตรีพลังงาน ...ในสายตาของ “สันติ” และ พรรคพลังประชารัฐ ย่อมไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว
เมื่อ “สันติ พร้อมพัฒน์” พร้อมมากเช่นนี้ ก็ต้องดูว่า นายกฯ จะเอาด้วยหรือไม่ หรือจะเป็นตามแรงเชียร์ที่พรรคเล็กอวย “นายกฯลุงตู่” ว่าไหนๆ ก็เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองอยู่แล้ว ก็นั่งควบ รมว.คลัง เองก็หมดเรื่อง ...แล้วได้ “สันติ” เป็น รมช. ที่กระทำแทน รมว.ได้ด้วย เป็นมือเป็นไม้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฟื้นฟูวิกฤตไปด้วยกัน แบบไม่ต้องง้อคนนอกเข้ามาให้ยาก
“ลุงตู่” หัวหน้า “สันติ” ว่าการคลัง ...ที่ลุงว่า ขอสังคมอย่ายึดติดตัวบุคคลให้มากนัก คิดจะสื่อให้เข้าใจตรงกันว่าเป็นแบบนี้ใช่มั้ย !
เริ่มหนาวๆ ร้อนๆ แทนภาคธุรกิจ การเงินการคลังประเทศซะแล้วสิงานนี้ !!
** เปิด #ความจริงลูกประยุทธ์ ... คู่แฝด “พลอย-เพลิน” ที่เกรียนคีย์บอร์ด ตามล่า บูลลี่ ในโลกโซเชียลฯ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรง ขณะที่การชุมนุมของกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น เพื่อขับไล่รัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ... เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในโลกโซเชียลฯ ก็ปรากฏแฮชแท็ก “#ตามหาลูกประยุทธ์” ซึ่งเป็นแคมเปญที่กลุ่มเยาวชนในโลก twitter แห่แชร์กันมากมาย ตามมาด้วยคอมเมนต์ที่หลากหลาย
บางคนก็นำรูปลูกสาวฝาแฝด ของ “ลุงตู่” คือ “พลอย” ธัญญา จันทร์โอชา และ “เพลิน” นิฏฐา จันทร์โอชา มาแปะพร้อมถ้อยคำ “บูลลี่” ต่างๆ นานา ทั้งเรื่องหน้าตา อุปนิสัยใจคอ แบบว่า “ด่าพ่อยันลูก” แถมมีการตั้งข้อสังเกตในเชิงก่อกระแส หวังให้เกิดการขุดคุ้ย ตรวจสอบทรัพย์สินของทั้สองคน ว่าได้รับการถ่ายโอนจากพ่อไปมากน้อยแค่ไหน
ล่าสุด “พลอย และ เพลิน” ได้มอบอำนาจให้ ทนายความไปแจ้งความดำเนินคดี กับบุคคล คณะบุคคล นิติบุคคล หรือสื่อใดๆ ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม, หมิ่นประมาท ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งที่ปรากฏใน Facebook,Twitter,Youtube ไม่มีการยอมความใดๆ ทั้งสิ้น
งานนี้คาดว่าจะมีบรรดา “เกรียนคีย์บอร์ด” ถูกดำเนินคดี กันเป็นร้อยเป็นพันแน่ !!
พร้อมกันนี้ “พลอยและเพลิน” ก็ได้ชี้แจงข้อข้องใจของสังคม ที่อาจเกิดความสับสน คล้อยตามไปกับข้อมูลเท็จที่มีการเผยแพร่กัน โดยยกมาเคลียร์เป็นข้อๆ ดังนี้
- กล่าวหาว่า มีการเปลี่ยนไปใช้นามสกุลมารดา เพื่อฟอกเงิน ...ความจริงคือ ไม่เคยมีการปลี่ยนชื่อ นามสกุล ใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน
- กล่าวหาว่า ไม่ได้อยู่ประเทศไทย...ความจริงคือ อยู่ประเทศไทยมาโดยตลอด และใช้ชีวิตปกติอย่างประชาชนคนไทยทั่วไป
- กล่าวหาว่า เรียนอยู่ประเทศออสเตรเลีย...ความจริงคือ ไม่เคยเรียนที่ออสเตรเลีย เคยไปเที่ยวเพียงครั้งเดียวเมื่อวัยเด็ก เรียนจบชั้นประถม และมัธยมจากโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ และเรียนจบปริญญาตรี จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ
- กล่าวหาว่า สอบตกปริญญาโท ... ความจริงคือ ไม่ได้เรียนปริญญาโท และไม่เคยสอบตก โดยเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 และ 3.96 และปริญญาตรี ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ทั้งคู่
- กล่าวหาว่า ปัจจุบันใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ ที่อังกฤษ โดยมีเจ้าสัวซื้อให้... ความจริงคือ ยังคงใช้ชีวิตตามปกติในประเทศไทย ไม่เคยอาศัยในประเทศอังกฤษ หรือประเทศอื่นใดเป็นระยะเวลานาน เคยไปเที่ยวอังกฤษครั้งล่าสุดเมื่อปี 2558 ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว เข้าพักโรงแรมตามปกติ ไม่เคยพักคฤหาสน์
- กล่าวหาว่า มีการฟอกเงิน โดยบิดาโอนเงินเข้าบัญชีลูก ที่ต่างประเทศ ... ความจริงคือ ทั้งสองคนไม่มีบัญชีธนาคารที่ต่างประเทศ มีเพียงบัญชีธนาคารในประเทศไทยเท่านั้น บิดาเคยโอนเงินให้เมื่อปี 2556 มีการแจ้งต่อ ป.ป.ช. อย่างเปิดเผย ตั้งแต่เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2557 โดยเงินส่วนนี้ มีที่มาจากการขายที่ดินของ พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา (ปู่) และมีการแบ่งทรัพย์สินภายในครอบครัว ซึ่งที่ดินผืนนี้ เป็นมรดกตกทอดของครอบครัวมามากกว่า 50 ปี
- กล่าวหาว่า เหตุใดจึงไม่เคยมีภาพหลุดออกมาในโซเชียลฯ เลย แม้กระทั่งของเพื่อนยังไม่มีภาพ ... ความจริงคือ ทั้งสองคนไม่มีบัญชีส่วนตัวในโซเชียลฯใดๆ และกลุ่มเพื่อนที่ติดต่อกัน ก็เข้าใจในสิทธิความเป็นส่วนตัว จึงไม่เคยแชร์ภาพใดๆ และไม่ต้องการให้มีบุคคลใดนำภาพไปแอบอ้างใช้หาประโยชน์
- กล่าวหาว่า ไม่เปิดเผยตัวเหมือนลูกนักการเมือง หรือลูกนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ... ความจริงคือ ทั้งสองคนใช้ชีวิตปกติเหมือนประชาชนคนไทยทั่วไป ไม่ได้ต้องการเป็นที่รู้จัก หรือเปิดเผยตัวว่าเป็นลูกใคร เพราะไม่ต้องการได้รับอภิสิทธิ์ หรือเพื่อรับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของบิดา หากมีใครแอบอ้างว่ารู้จัก สามารถช่วยเหลือเพื่อรับผลประโยชน์ต่างๆ ได้ เป็นเรื่องเท็จทั้งหมด
…อันที่จริงเรื่องราว และโลกส่วนตัวของ “พลอยและเพลิน” ก็เคยมีการนำเสนอผ่านสื่ออยู่บ้างว่า บุคลิกของทั้งคู่ ค่อนข้างมีเลือดศิลปินสูง ชอบใช้ชีวิตอิสระ ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณะ หรือออกงานร่วมกับ บิดา-มารดา ซึ่งต่างจากลูกอดีตนายกฯ หรือลูกนักการเมืองคนอื่นๆ ที่นิยมทำตัวเป็น “เซเลป” กัน ... ชอบเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก และชื่นชอบเพลงของ The Beatles ความสามารถทางดนตรี เล่นได้ทั้ง กีตาร์ กลอง เบส ตอนเรียนอยู่ จุฬาฯ ก็เป็นสมาชิกวง “BADZ” เล่นเพลงแนวป๊อปร็อกผสมพังก์ โดย “พลอย” เป็นมือกีตาร์ ส่วน “เพลิน” เป็นมือเบส นอกจากนี้ ยังเคยเดินสายไปเล่นดนตรีตามผับ บาร์ต่างๆ อยู่ระยะหนึ่ง
ปัจจุบัน “คู่แฝด” อายุขึ้นหน้าด้วยเลข 3 แล้ว ยังคงใช้ชีวิตอิสระ ออกแนวห้าวๆ สไตล์ศิลปินร็อก ใช้เวลาว่างปั่นจักรยานกับกลุ่มเพื่อน ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นการออกกำลังกาย และซ้อมดนตรีอยู่ที่บ้าน ... มีธุรกิจเล็กๆ ตามที่ใจรัก คือ “ออกแบบเสื้อจักรยาน” เมื่อมีออเดอร์เข้ามา ซึ่งผลงานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ที่ “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งคู่ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่เคยเป็นมา แทบไม่เป็นข่าว หรือมีภาพปรากฏตามหน้าสื่อ กระทั่งถึงช่วงการเมืองร้อนแรง จึงปรากฏแฮชแท็ก #ตามหาลูกประยุทธ์ ในโลกโซเชียลฯ
“พลอยและเพลิน” ทิ้งท้าย หลังส่งทนายไปแจ้งความดำเนินคดี และชี้แจงข้อเท็จจริง ที่ถูกบูลลี่ ว่า ต้องการให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่าง และบรรทัดฐานของการใช้ Social Media ในประเทศไทย ว่า ผู้ใดก็ตาม ไม่มีสิทธิเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ด่าทอให้ร้าย กล่าวหา คุกคาม หมิ่นประมาทผู้อื่น โดยปราศจากหลักฐาน และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรมีผู้ใดตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จากการหลงเชื่อข้อมูลโดยขาดการไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์ แยกแยะ เพียงเพราะความอคติ และความเกลียดชัง อีกต่อไป !!