พระเอกหนังไทยที่เคยได้รับความนิยมสูงสุด คงจะไม่มีใครเกิน มิตร ชัยบัญชา ซึ่งเป็นที่รักของทั้งแฟนหนัง และคนในวงการบันเทิงด้วยกัน ผู้สร้างก็ต้องการมิตร เพราะหนังที่มิตรแสดงนำขาดทุนยาก เมื่อทุกคนต่างต้องการมิตร และมิตรก็ปฏิเสธยากเพราะคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น
เดือนหนึ่งจึงคิวถ่ายหนังทั้งวันทั้งคืนเต็มเดือน จะขอหยุดเป็นวันพักผ่อนส่วนตัวในวันที่ ๑๕ เพียงวันเดียวเท่านั้น
เดือนหนึ่งมี ๖๐ คิวนี้ก็ยังไม่พอ ถ้าคิวต่อไปไม่ต้องใช้เวลาเดือนทางมาก ก็ยังมี “คิวโดด” ๗ โมงเช้าถึง ๙ โมง และ ๑ ทุ่มถึง ๓ ทุ่มอีก บางทีก็ดักขอถ่ายหน้าบ้านหรือระหว่างทางก็มี เวลานอนของมิตรก็คือในรถระหว่างเดินทาง หรือบนลานหินลานหญ้าในกองถ่ายนั่นแหละ
เดือนหนึ่งมิตร ชัยบัญชาจึงมีหนังต้องถ่ายราว ๒๐ เรื่อง และเคยสูงถึง ๓๐ เรื่อง ฉะนั้นในวันที่มิตรหล่นจากบันไดเชือกเฮลิคอปเตอร์ขณะถ่าย “อินทรีทอง” ที่พัทยาเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๑๓ จึงมีหนังที่ถ่ายค้างคาอยู่ถึง ๒๑ เรื่อง รวม “วิวาห์ลูกทุ่ง” ของผู้เขียน และหนังกำลังภายของฮ่องกงที่ไปเปิดกล้องไว้แล้ว ๒ เรื่อง กำลังจะไปเปิดกล้องอีก ๑ เรื่อง
หนังที่เพิ่งถ่ายได้ไม่กี่ฉาก ก็ต้องตัดฉากนั้นทิ้งไป เปลี่ยนพระเอกเป็น สมบัติ เมทะนี หรือ ไชยา สุริยัน แทน บางเรื่องหนักหน่อย ถ่ายไปกว่าครึ่งเรื่องแล้วก็ต้องตัดใจทิ้งฉากที่มิตรแสดงเปลี่ยนพระเอกใหม่ เหมือนอย่าง “วิวาห์ลูกทุ่ง” ต้องเปลี่ยนเป็น ไชยา สุริยัน
เรื่องที่มีปัญหามากกว่าเพื่อนก็คือ “คนึงหา” ที่เหลืออีกเพียง ๓ ฉากสุดท้าย และมีกำหนดจะเข้าฉายในต้นปี ๒๕๑๔ จะเปลี่ยนพระเอกก็คงไม่ไหว ครั้นจะรวบรัดให้หนังจบแค่นั้น เรื่องก็จบไม่ลง คนดูต้องเสียอารมณ์แน่ ในที่สุดผู้สร้างและผู้กำกับก็ปรึกษากันว่าจะหาคนที่หน้าตาคล้ายมิตรมาถ่ายใน ๓ ฉากที่เหลือ
“แมวมอง” ทั้งหลายต่างออกควานหาคนที่หน้าตาเหมือนมิตร ชัยบัญชาตามคำร่ำลือที่ได้ยินกันมา แต่ตามตัวมาดูอย่างละเอียด ถ่ายรูปพิจารณาแล้ว ก็เห็นว่ายังห่างไกลกับมิตรตัวจริง หาคนที่ใกล้เคียงพอจะแทนได้ไม่มีเลย
ต่อมาได้ข่าวว่ามีคนขับรถของเทศบาลจังหวัดชัยภูมิมีหน้าตาคล้ายมิตรมาก ชาวบ้านบางคนถึงกับทักว่าเป็นมิตร ผู้สร้างคนึงหาจึงสั่งล่าตัวเอามาดูที่กรุงเทพฯ เมื่อเห็นตัวและทดสอบหน้ากล้องแล้ว ก็ลงมติกันว่ามีความละม้ายคล้ายมิตร ชัยบัญชามาก โดยเฉพาะเมื่อใส่แว่นดำตามบทในเรื่อง
“มิตรปลอม” จึงถูกนำเข้ากล้องถ่ายทำใน ๓ ฉากสุดท้ายของคนึงหา และตั้งชื่อให้ว่า “ชาติ ชัยภูมิ” แต่คนทั่วไปกลับเรียกกันว่า “มิตร ชัยภูมิ”
การนำมิตรตัวปลอมมาปิดกล้องนี้ ไม่ใช่ทำแบบหลอกคนดู แต่ออกข่าวกันครึกโครมว่าหาคนที่หน้าเหมือนมิตรมาปิดกล้อง“คนึงหา” ทั้งตอนฉายที่มีมิตรแสดงมาตลอด พอ ๓ ฉากสุดท้ายหนังก็หยุดฉายเปิดไฟทั้งโรง ชวนเชิญคนดูให้ลุกขึ้นยืนไว้อาลัยแก่มิตร ชัยบัญชา ๑ นาที และประกาศให้ผู้ชมคอยดูคนที่มาแสดงแทนมิตรใน ๓ ฉากที่เหลือ
พอหนังเริ่มฉายใหม่ เมื่อ “มิตร ชัยภูมิ” ปรากฏออกมาในจอ คนดูก็ฮือฮากันทั้งโรง และยอมรับว่าใกล้เคียงกับมิตร ชัยบัญชามาก คนึงหาจึงแก้ปัญหาเรื่องมิตรไปได้ด้วยวิธีนี้ ทั้งยังเข้าฉายในขณะที่ข่าวการตายของมิตรยังร้อนแรง คนดูจึงต้องการไปชมหนังเรื่องสุดท้ายของมิตรนอกจาก “อินทรีทอง” ทั้งยังต้องการไปชม “มิตรปลอม” อีกด้วย คนึงหาจึงประสบความสำเร็จด้านรายได้พอควร
ส่วนหนังฮ่องกงเรื่อง “อัศวินดาบกายสิทธิ์” ที่มิตรไปถ่ายมา ๒ ครั้งแล้ว เพิ่งกลับมาก่อนตายไม่กี่วัน และยังมีคิวจะต้องไปปิดกล้องอีก ก็ตัดสินใจใช้ มิตร ชัยภูมิ ปิดกล้องเหมือนกัน
เมื่อ ชาติ ชัยภูมิ ได้แสดงแทน มิตร ชัยบัญชา ใน“คนึงหา”และ“อัศวินดาบกายสิทธิ์” แก้ปัญหาให้ผู้สร้างหนังไทยและหนังฮ่องกงแล้ว ก็กลับไปขับรถเทศบาลชัยภูมิงานประจำเช่นเคย ไม่มีผู้สร้างหนังรายใดสนใจที่จะนำไปแสดงแทนมิตร หรือแสดงเป็นตัวของเขาเองอีกเลย เหมือนตื่นจากความฝัน กลับไปสู่ชีวิตจริงตามเดิม
เรื่องอลเวงอีกเรื่องเมื่อ ส.อาสนจิน พระเอกรุ่นใหญ่ที่ยังโด่งดังอยู่ใน พ.ศ. ๒๕๐๔ ที่เกิดเรื่องนั้น ตอนนั้น มีละครที่ ส.แสดงนำทางทีวีติดต่อกันมาหลายเดือนในชื่อ “นักดาบนครดำ” จากบทประพันธ์ของ อดุล ราชวังอินทร์ ซึ่งเป็นเรื่องของหนุ่มชาวป่าที่ใบหน้าเกิดไปเหมือนกับองค์ยุพราชแห่งนครอมรรัตน์ เมื่อมีเหตุต้องสลับตัวกัน บุคลิกที่แตกต่างของคนทั้ง ๒ ซึ่ง ส.แสดงเองทั้ง ๒ บทได้สร้างความสนุกสนานให้คนดูมาก มีแฟนติดกันงอมแงม เป็นละครทีวีฮิตที่สุดในรอบปี และเพิ่งจะจบตอนสุดท้ายไปด้วยความเสียดายของคนดูในวันที่ ๔ กรกฎาคมนั้น
ฉะนั้นในรายการเปิดรอบปฐมฤกษ์ของภาพยนตร์เรื่อง “พสุธาที่ข้ารัก” ที่ศาลาเฉลิมกรุงในคืนวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ผู้สร้าง จึงนำ “นักดาบนครดำ” มาแสดงในรอบปฐมฤกษ์ โดยมีผู้แสดงชุดเดิมและสรุปให้จบในคืนเดียว เพียงประกาศออกไป ตั๋วจองก็ล้นโรงทันที
แต่แล้วในเวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. ของวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ขณะที่ ส.อาสนจินดา กำลังตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง“เรือนแพ” อยู่ที่สำนักงานอัศวินภาพยนตร์ ซอยพญานาค ยศเส ก็มีตำรวจจาก สน.พญาไท เข้าควบคุมตัวในคดีที่ นางแน่งน้อย จรัสวัฒน์ เจ้าของหอพักจรัสวัฒน์ ถนนเพชรบุรี แจ้งความไว้ว่า ส.จ่ายเช็คจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐บาท แต่ไม่มีเงินในบัญชี และตามจับมาตั้งแต่บัดนั้นเพิ่งเจอตัว
ตำรวจได้ตีราคาหลักทรัพย์ที่จะประกันตัว ส.ไว้ ๔๐๐,๐๐๐ บาท แต่ตลอดคืนวันที่ ๒๖ ที่ ส.ถูกจับก็ไม่มีใครมาประกันตัวได้ พอรุ่งเช้าถึงเวลาที่นัดซ้อมละครกันไว้ ส.ยิ่งกระวนกระวายใจหนัก พยายามอ้อนวอนทั้งตำรวจและเจ้าหนี้ขอไปแสดงละครตามที่ประกาศกับประชาชนไว้ เสร็จแล้วจะกลับมาให้ติดคุกก็ยอม แต่ก็ไม่เป็นผล บุคคลในวงการบันเทิงหลายคนต่างแวะไปเยี่ยม ส.กันตลอดวันด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้เลย เพราะต่างก็ “โฉนดไม่ว่าง” กันทั้งนั้น
จนกระทั่งค่ำ ส.ยิ่งกระวนกระวายหนัก เดินเป็นเสือติดจั่นอยู่บนโรงพักพญาไท ปากก็พร่ำแต่ “The show must go on” ห้อมล้อมด้วยคนสนิทและผู้สื่อข่าวบันเทิงทั้งรายวันรายสัปดาห์ที่เฝ้ากันมาตลอด แต่ก็ทำได้แค่ช่วยลุ้นด้วยใจระทึก
ในที่สุดเมื่อรายการรอบปฐมฤกษ์ “พสุธาที่ข้ารัก” เดินมาถึงเวลาที่ “นักดาบนครดำ” จะต้องเปิดม่าน ผู้จัดรายการจึงสลับเอาภาพยนตร์ขึ้นมาฉายก่อน ให้เวลาลุ้น ส.อีก ๒ ชั่วโมงที่ฉายหนัง หากประกันตัวได้ทันในช่วงนี้ ก็จะได้ต่อด้วย“นักดาบนครดำ” เป็นรายการสุดท้าย
แต่แล้วก็ไร้ผล เมื่อ “พสุธาที่ข้ารัก” ฉายจบ ดาวตลก จำรูญ หนวดจิ๋ม จึงต้องออกไปหน้าม่าน เล่าชะตากรรมของ ส.อาสนจิดาให้คนดูที่เฝ้ารอทราบ และขอเปลี่ยนตัวยุพราชแห่งนครอมรรัตน์ เป็น ศิริพงษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา แล้วดึง เสน่ห์ โกมารชุน จากห้องพากย์ลงมารับบทที่ศิริพงษ์แสดงไว้ “นักดาบนครดำ”จึงเปิดม่านได้ด้วยความเห็นใจของผู้ชม
เมื่อลุ้นจนหมดเวลาที่จะได้ขึ้นเวทีรับบทใน “นักดาบนครดำ” ที่แฟนเฝ้ารอแล้ว ส.ก็ตัดใจที่จะสู้คดีเรื่องเช็คให้ถึงที่สุด จะติดคุกก็ยอม เปิดความในใจว่าไม่รู้สึกโกรธที่ถูกแจ้งจับเช็ค แม้จะต้องไปนั่งซดโอเลี้ยงบนโรงพักพญาไท ๒ วัน ๒ คืน แต่โกรธมากที่ทำให้ผิดนัดกับคนดู
วันต่อมา สุรัสน์ พุกกะเวส บก. นิตยสาร “ดาราไทย” ก็นำหลักฐานการเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ดาราไทยมาประกัน ส.ได้สำเร็จ แต่ก็สายไปแล้ว สำหรับการรอคอยของแฟน “นักดาบนครดำ”
ต่อมาเป็นที่เปิดเผยว่า “เช็คสปริง” ใบนี้เป็นการดวลเชิงกันของ ๒ คุณนายที่เป็นนายจ้างของ ส.ที่ให้สร้างหนังทั้งคู่ โดยคนที่แจ้งจับ ส. ก็เป็นคนที่ถูกคุณนายอีกคนแจ้งจับคดีเช็คเหมือนกัน จึงแจ้งจับ ส. ที่กำลังเร่งทำหนังให้คุณนายเจ้าหนี้ที่มีโปรแกรมจะเข้า แต่ปรากฎไม่ได้ผล เรื่องจึงไปสู่ศาล และศาลได้ตัดสินคดีของ ส. ให้ยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า “มูลหนี้คดีนี้มีกรณีซับซ้อนซ่อนเร้น อันเนื่องมาจากการสร้างหนัง”
นี่ก็เป็นตำนานอีกเรื่องหนึ่งของแวดวงบันเทิงไทยเมื่อวันวาน