xs
xsm
sm
md
lg

แน่ใจนะว่าคิดเอง? เปรียบเทียบแถลงการณ์ “ม็อบธรรมศาสตร์” ตรงกับ “สมศักดิ์ เจียมฯ” เป๊ะๆ ถึง 7 ข้อ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พบแถลงการณ์กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่ประกาศโดยกลุ่มเพนกวิน 10 ข้อ พาดพิงสถาบันกษัตริย์ มาจากสเตตัสของ “สมศักดิ์ เจียมฯ” เมื่อปี 2562 ถึง 7 ข้อ แล้วมาเติมแต่งเพิ่ม นอกนั้นเพิ่มอีก 3 ข้อ ลดงบประมาณให้สถาบันกษัตริย์ และหยิบประเด็นหายตัวไปของ “วันเฉลิม” มาเสริม ขณะที่ ดร.นิว ชี้ เป็นการทำลายราชอาณาจักร โดยยัดเยียดทฤษฎีสาธารณรัฐของคณะราษฎร

จากกรณีที่กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดยสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) แนวร่วมกลุ่มเยาวชนปลดแอก จัดการชุมนุมที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ปรากฏว่า ในช่วงท้ายของการชุมนุมมีการเปิดคลิปของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง และออกข้อเรียกร้องพาดพิงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่ง นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต ต้องประกาศขออภัยที่เนื้อหาการชุมนุมเลยขอบเขตไป ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ในช่วงท้ายของการชุมนุม น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง โฆษกสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) นักศึกษาคณะคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนสนิทนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักเคลื่อนไหวการเมือง ได้ประกาศแถลงการณ์ “ประกาศกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฉบับที่ 1” มีข้อเรียกร้องทั้งหมด 10 ข้อ ซึ่งแต่ละข้อล้วนพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการตรวจสอบพบว่า มี 7 ข้อเรียกร้อง เหมือนกับสเตตัสของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ต้องหาหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส ลงไว้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2562 แต่ได้ขยายความเพิ่มเติมลงไปในแถลงการณ์

นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องอีก 3 ข้อ ยังกล่าวโยงไปถึงการหายตัวไปของผู้ที่หลบหนีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีการหายตัวไปของ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาหลบหนีคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. และคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมทั้งผู้ที่หลบหนีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ถูกอุ้มตัวไปจากหน้าคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ส่วนอีกข้อหนึ่ง คือ ปรับลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์


ด้าน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กหัวข้อ “การทำลายราชอาณาจักรโดยยัดเยียดทฤษฎีสาธารณรัฐของลัทธินิยมคณะราษฎร” ระบุว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยถูกคณะราษฎรกดให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเผด็จการมาตั้งแต่ต้น สถาบันฯ จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือทั้งในการนิรโทษกรรมและการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจกันเองภายในคณะราษฎรอยู่หลายครั้ง และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้มีการเพิ่มพระราชอำนาจในการระงับหรือปฏิเสธการรัฐประหารอีกด้วย จนทำให้พฤติกรรมเผด็จการเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติและจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ในประเทศไทย

เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ก็เพราะความล้มเหลวของประชาธิปไตยจอมปลอมของคณะราษฎร ตลอดจนการเกิดขึ้นของลัทธินิยม (คลั่ง) คณะราษฎรอย่างไม่ลืมหูลืมตา ยึดมั่นถือมั่นกับความแนวทางของคณะราษฎรที่สุดแสนจะโบราณและผิดหลักวิชา แถมยังตกเป็นเครื่องมือของต่างชาติที่มีส่วนในการยุยงให้คนไทยทะเลาะกันเองเพื่อหวังเข้ามาครอบงำและแทรกแซงในที่สุด

ขบวนการล้างสมองนักศึกษาด้วยชุดความคิดหลงยุคของคณะราษฎรนั้นมีอยู่จริง เริ่มต้นจากซอกหลืบเล็กๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย แล้วขยายกลายเป็นวงกว้างโดยอาศัยโซเชียลมีเดีย มันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ชุดความคิดของนักศึกษาและเครือข่ายการเมืองหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่งเป็นชุดความคิดเดียวกับของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตลอดจน คุณลุงสุรชัย ชัชวาลพงศ์พันธ์ (อดีตคู่ขาของอาจารย์ ช.เกย์เฒ่าผู้คลั่งไคล้คณะราษฎรและอยู่เบื้องหลังเครือข่ายล้างสมองทางวิชาการอีกคนหนึ่ง) ที่ถือหลักการประหลาดๆ ของคณะราษฎร ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามแนวทางสากลของระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เป็นการนำแนวทางของคณะราษฎรที่ค่อนไปทางสาธารณรัฐ มาปลอมปนและยัดเยียดใช้กับความเป็นราชอาณาจักรอย่างไร้หลักการและเหตุผล ตลอดจนขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างร้ายแรง สิ่งนี่ต่างหากที่เป็นรากเหง้าของปัญหาและถ่วงความเจริญของประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของชาติไทยมาอย่างยาวนานกว่า 88 ปี

ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ขนาด ส.ส.ยังได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันเลย แค่นับหนึ่งก็ผิดแล้ว เพราะสถาบันฯ ทรงดำรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐมีความคุ้มกันเป็นสิทธิพื้นฐานตามหลักสากลของระบอบการปกครอง ดังนั้น ความพยายามในการแก้ไขมาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” จึงเป็นการแสดงออกของความไม่มีความรู้อย่างร้ายแรง โดยที่ไม่รู้ว่านี่เป็นหลักการสากลของระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประเทศอังกฤษ เขาก็มี “Although civil and criminal proceedings cannot be taken against the Sovereign as a person under UK law.”

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ประเทศนอร์เวย์ที่มีดัชนีความเป็นประชาธิปไตยสูงที่สุดในโลก และมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเหมือนกัน ก็มีปรากฏในมาตรา 5 ตามรัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ “The King's person cannot be censured or accused. The responsibility rests with his Council.” อีกทั้งมาตรา 37 ก็ยังให้ความคุ้มครองไปถึงพระราชโอรสและพระราชธิดาอีกด้วย

ดังนั้น ความเชื่อตามลัทธิคลั่งคณะราษฎรเป็นฮีโร่แล้วป้ายสีสถาบันฯ ที่จะยกเลิกมาตรา 6 แล้วตั้งสภาพิจารณาความผิดของสถาบันฯ จึงเป็นเรื่องที่ผิดหลักวิชา และไม่มีที่ไหนในโลกที่ระบอบการปกครองนี้เขาทำกัน จะมีก็แต่คนกลุ่มหนึ่งในประเทศไทยเท่านั้นที่ยังล้าหลัง และยังหลงงมงายอยู่กับแนวทางปัญญาอ่อนของคณะราษฎรที่ผิดหลักวิชาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แล้วนำมาโจมตีใส่ร้ายสถาบันฯ อย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็นการขยายอำนาจของสถาบันฯ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินผ่านทางรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตยตัวแทนของประชาชน ดังนั้นการกล่าวหาว่ามีการขยายพระราชอำนาจที่อาจกระทบกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจึงเป็นการบิดเบือนเพื่อใส่ร้ายป้ายสี สำหรับ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ปี 2561 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลับก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว พ.ร.บ.ฉบับนี้เปิดโอกาสให้ประเทศชาติได้รับภาษีจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำนวนไม่น้อยเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ในส่วนของการโอน “ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์” จากกรมทหารราบที่ 1 และ 11 ซึ่งมีหน้าที่รักษาพระองค์อยู่แล้ว มายังหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ โดยไม่ได้มีการเพิ่มงบหรือกำลังพลแต่ประการใด ย่อมเป็นการลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน และเปิดโอกาสให้มีกำลังพลมากพอที่จะช่วยเหลือประชาชนตามพระบรมราโชบายของหน่วยราชการในพระองค์ ต่อมาสำหรับข้อเสนอที่บอกให้ยกเลิกองคมนตรี ย่อมขัดแย้งกับบทบาทของประมุขแห่งรัฐในการถ่วงดุลอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของระบอบการปกครอง เพราะปัจจุบันประเทศอังกฤษยังคงมีองคมนตรีจำนวนกว่า 600 คน ในขณะที่ประเทศนอร์เวย์ก็มี “Council of State” ที่มีบทบาทสำคัญประการหนึ่งในลักษณะที่คล้ายกับสภาองคมนตรี และสำหรับการยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ สถาบันฯ ไม่เคยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเพราะทรงเป็นกลางทางการเมือง ทรงมีแต่กระแสพระราชดำรัสที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติโดยส่วนรวมอันสมควรแก่ฐานะของประมุขแห่งรัฐ

นับตั้งแต่อดีต สถาบันฯ ของไทยทรงเลิกทาส วางรากฐานของความเจริญแบบตะวันตกและระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น ปัญหาทั้งหมดล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะคณะราษฎรที่เข้ามาทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างผิดหลักวิชา สร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมาหลอกลวงประชาชน เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยที่ปล้นมาจากประชาชน และรักษาระบอบเผด็จการของตัวเอง โดยไม่ได้สร้างประชาธิปไตยทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน คณะราษฎรก็บั่นทอนความสำคัญของสถาบันฯ ออกไปทีละเล็กทีละน้อย ตลอดจนทำลายการถือดุลการปกครองของสถาบันฯ ที่มีส่วนช่วยในการถ่วงดุลอำนาจให้นักการเมืองทำงานรับใช้ประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ในปัจจุบัน แม้แต่อำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงตามแบบฉบับของอังกฤษ สถาบันฯ ก็ยังไม่มี แต่กลับกลายเป็นการโหวตลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน

อีกตัวอย่างง่ายๆ ที่ชัดเจนของการลดความสำคัญของสถาบันฯโดยคณะราษฎร คือ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนเพลงชาติไทยในอดีต หรือ เพลงสรรเสริญพระบารมี ที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของชาติและรูปแบบของการปกครองแบบราชอาณาจักร ให้กลายเป็นเพลงชาติที่ไม่มีการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่คำเดียว ในขณะที่ประเทศอังกฤษยังคงมีเพลงชาติที่กล่าวถึงสมเด็จพระราชินีทั้งเพลงตามอัตลักษณ์และการปกครองของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ ในเพลง “God Save the Queen”

มีแต่การยกปัญหาความขัดแย้งทางทฤษฎีขึ้นสู่ “หลักวิชาที่ถูกต้อง” เท่านั้น ที่จะนำไปสู่ทางออกของทุกปัญหาในบ้านเมืองนี้ได้อย่างสันติ และเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง สู่ความเป็นราชอาณาจักรประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ภายใต้ร่มพระบารมีอันสงบสุขร่มเย็น

ไม่ใช่การนำความเชื่อของลัทธิคลั่งคณะราษฎรมาโจมตีสถาบันฯ เพื่อบ่อนทำลาย เตะถ่วงความเจริญของประชาธิปไตยแบบราชอาณาจักร แล้วค่อยๆฉวยโอกาสใช้ความรุนแรงเป็นข้ออ้างไปสู่ความเป็นสาธารณรัฐ โดยการล้างสมองหลอกใช้ผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องมือด้วยความอำมหิต”

อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่

กำลังโหลดความคิดเห็น