ทุกวันนี้เราเข้มงวดกับการ ใส่หน้ากาก-ล้างมือ ป้องกันโรคโควิด ๑๙ อย่างคนไม่ประมาทและมีวินัย แต่อย่าลืมว่าเรายังอยูร่วมกับไวรัสสำคัญอีกอย่างของโลก ที่คร่าชีวิตผู้คนตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ มาแล้วกว่า ๔๐ ล้านคน ถึงวันนี้ก็ยังไม่ยอมหยุด แม้จะมีคนตายลดลงเหลือแค่ปีละ ๑.๖ ล้านคน แต่ก็ยังมีคนติดไวรัสโรคเอดส์อยู่อีกถึง ๓๕ ล้านคน ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยยาต้านไวรัสที่แค่ยับยั้งเท่านั้น ไม่สามารถกำจัดเอดส์ได้ และถ้ามีเพศสัมพันธ์แบบ “เอาสดหมดเปลือก” ก็อาจแพร่เชื้อต่อได้ ถึงใส่หน้ากาก-ล้างมือ ก็เอาไม่อยู่
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกา ได้รายงานเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ ว่า ได้พบชายรักร่วมเพศที่เมืองลอสแองเจลลิส แคลิฟอร์เนีย จำนวน ๕ คน ป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อ นิวโมซีสตีส แครินิอาย ซึ่งเป็นแบบที่พบได้ยาก และพบได้ในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นคนแข็งแรงมากมาก่อน และไม่เคยใช้ยาลดภูมิต้านทาน แต่ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า เซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จนได้พบว่าสาเหตุมาจากได้รับ เชื้อ ไวรัสเอดส์ หรือ เอชไอวี ซึ่งเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ที่เป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง เชื้อโรคจึงฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ซึ่งถือว่าเป็นการพบโรคเอดส์อย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก
จากการศึกษาย้อนหลังพบว่า โรคเอดส์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบแอฟริกาตะวันตกตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ ต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะเฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ไม่มีผู้ใดทราบว่าไวรัสโรคเอดส์นี้มาจากไหน และเริ่มแพร่ระบาดในมนุษย์ตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานกันว่า โรคเอดส์น่าจะมีต้นตอมาจากลิงในทวีปแอฟริกา มีการติดเชื้อไวรัสจากลิงมาสู่คน เพราะชาวแอฟริกาบางท้องถิ่นนิยมกินเนื้อลิง และมีวิวัฒนาการจนกลายเป็นสายพันธุ์ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่ก็น่าแปลกที่ลิงซึ่งมียีนคล้ายมนุษย์ถึงร้อยละ ๙๘ กลับไม่เป็นโรคจากเชื้อเอชไอวี อะไรทำให้ภูมิคุ้มกันของลิงต่อสู้กับเชื้อเอชไอวีได้ ถ้าไขความลับนี้ได้ ก็จะสามารถต่อสู้กับโรคเอดส์ในมนุษย์ได้
จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ พบว่าในปี ๒๕๖๒ มียังมีคนติดเชื้อเอชไอวีอยู่ทั่วโลกถึง ๓๕ ล้านคน เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๒.๑ ล้านคน และเสียชีวิตจากโรคเอดส์ ๑.๕ ล้านคน รวมที่เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้วกว่า ๔๐ ล้านคน โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะยุติปัญหาเอดส์ทั่วโลกในปี ๒๕๗๓ แต่จะทำได้แค่ไหนต้องรอดูกันต่อไป
โรคเอดส์เริ่มเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ และเริ่มพบคนไข้ที่อยู่ในประเทศไทยเองตั้งแต่ปี๒๕๒๘โดยในช่วง ๒-๔ ปีแรก การแพร่ระบาดส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเกย์ ต่อมาปี ๒๕๓๑ จึงเริ่มแพร่ระบาดในกลุ่มที่ติดยาเสพติดโดยการฉีด ปีถัดมาจึงเริ่มระบาดเข้าไปในกลุ่มหญิงขายบริการทางเพศ ในปี ๒๕๓๓ เริ่มพบว่าชายที่เที่ยวหญิงบริการและเป็นกามโรคมีการติดเชื้อเอดส์เพิ่มสูงขึ้น จากนั้นตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ เป็นต้นมา โรคเอดส์ก็แพร่เข้าไปในสถาบันครอบครัวเต็มรูปแบบ กล่าวคือสามีแพร่ให้ภรรยา ภรรยาตั้งครรภ์ก็ถ่ายทอดไปสู่ลูก ทำให้ระบาดเป็นวงกว้างไปอย่างรวดเร็ว
กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า ในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสะสมถึงปี ๒๕๕๗ จำนวน ๑,๑๙๔,๕๑๕ ราย ในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ๔๓๘,๖๒๙ ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๗,๖๙๕ คน โดยกว่า ๙๐ เปอร์เซนต์ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และจากการสำรวจในปี ๒๕๖๑ มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ยังมีชีวิตอยู่ ๔๘๐,๐๐๐ คน กำลังรับยาต้านไวรัส ๓๕๘,๖๐๖ คน มีผู้เสียชีวิต ๑๘,๐๐๐ คน และติดเชื้อรายใหม่ ๖,๔๐๐ คน
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยเป็นชายอายุ ๒๘ ปี เดินทางไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี ๒๕๒๖ ได้รับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกา จากนั้นจึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทยในปี ๒๕๒๗ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
คนไทยเราอยู่ร่วมกับไวรัสเอชไอวีมากว่า ๓๕ ปี จนชักจะลืมๆกันไปแล้ว แต่ถ้าการ์ดตก “เอาสดหมดเปลือก” ก็อาจจะต้องกินยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต ถึงตอนนั้นชีวิตก็คงหมดความสุข รอวันลาจากโลกไปเท่านั้น