“พันธ์ยศ อัครอมรพงศ์” ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ ยอมรับเป็นเจ้าของตึก “ไทยเฮลท์” ที่ตั้งโกดังเก็บหน้ากากอนามัยในคลิป “บอย ศรสุวีร์” แต่ยืนยันเป็นหน้ากากเตรียมส่งบริจาคให้จีน ที่ได้มาจากการสั่งซื้อทางออนไลน์ ไม่ได้กักตุน ตนไม่มีโรงงาน ชี้ “เสี่ยบอย” โพสต์อ้างมี 200 ล้านชิ้น เป็นเพียงการตลาด พูดให้ตัวเลขน่าสนใจ ที่บอกว่าไม่รู้เป็นของใครก็จริง เพราะในวงการนี้ทำคลิปหลอกๆ กันเยอะ เพื่อผลทางธุรกิจ ยืนยันรัฐมนตรีหรือทีมงานไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เป็นการทำธุรกิจธรรมดา
จากกรณี นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ “บอย ไนท์มาร์เก็ต” นักธุรกิจจัดตลาดนัดที่หันมาเป็นนายหน้าขายหน้ากากอนามัย ได้โพสต์ภาพและคลิปวิดีโอในเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะที่ว่า มีหน้ากากอนามัยพร้อมจำหน่าย 200 ล้านชิ้น โดยผู้สนใจต้องสั่งซื้อขั้นต่ำ 1 ล้านชิ้น พร้อมกับอ้างว่า รู้จักกับ นายพิตตินันท์ รักเอียด คณะทำงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” ได้นำไปเผยแพร่ต่อจนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในช่วงที่เกิดปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนนั้น เมื่อช่วงเย็นวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายศาลอาญาตลิ่งชัน เลขที่ ค.57/2563 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2563 เข้าตรวจค้นอาคารไทยเฮลท์ เลขที่ 6/32 ถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ เขตหนองแขม กรุงเทพฯ หลังสืบทราบว่าอาคารดังกล่าวเป็นอาคารเดียวกับที่ปรากฏในคลิปวิดีโอของนายศรสุวีร์
อาคารดังกล่าวเป็นตึกแถว 4 ชั้นครึ่ง ปลูกติดกัน 7 คูหา เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ ภายในเป็นที่ตั้งของพรรคภราดรภาพ สมาพันธ์นักธุรกิจหนองแขม และสถาบันพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทย-จีน นอกจากนี้ มีบางส่วนแบ่งเป็นโกดังเก็บสินค้าและห้องพักอาศัย ซึ่งในระหว่างการตรวจค้นนั้น นายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ เจ้าของอาคาร ได้ร่วมตรวจค้นด้วย
จากการตรวจค้นพบว่า ด้านในอาคารเป็นสำนักงานของบริษัท ไทยเฮล์ท จำกัด ทำธุรกิจอาหารเสริมความงามเพื่อสุขภาพ ซึ่งปิดกิจการไปแล้ว ที่ห้องเก็บของชั้นล่าง พบหน้ากากอนามัยบรรจุอยู่ในลังกระดาษขนาดใหญ่ 2 ลัง มีกล่องเล็กบรรจุอยู่ในลัง จำนวน 250 กล่อง แต่ละกล่องมีหน้ากากอนามัย 50 ชิ้น รวมเป็น 12,500 ชิ้น ด้านหน้าลังกระดาษมีข้อความว่า “k’อลิส ฝากบริจาค ปอง 5 มี.ค.” ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้ยึดไว้แต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่เข้าข่ายเป็นการกักตุนสินค้า หลังจากนั้น ได้ยกเลิกภารกิจและถอนกำลังกลับ
หลังจากนั้น นายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ เจ้าของอาคาร ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเป็นเวลาประมาณ 15 นาที โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
ใช่หรือเปล่าที่มีการเก็บหน้ากากอนามัยไว้ที่อาคารนี้
- ดูจากสถานที่ในคลิป น่าจะเป็นที่ไทยเฮลท์ จำกัด ซึ่งเป็นที่บ้านผมเอง เหตุการณ์วันนั้น ผมไม่แน่ใจเรื่องวันเวลา ไม่รู้ว่าในคลิปเขาพูดจริงเรื่องวันหรือเปล่า ในวันนั้นเป็นวันที่รับตัวสินค้าที่เป็นหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นวันก่อนที่กรมการค้าภายในจะประกาศให้เป็นสินค้าควบคุม แต่ไม่แน่ใจว่าในคลิปนั้น เป็นสินค้าของเขาหรือเปล่า เพราะสินค้าในชุดนั้นน่าจะเป็นสินค้าที่ส่งไปบริจาคช่วยเหลือประเทศจีน
ได้หน้ากากอนามัยมาจากไหน
- หน้ากากส่วนใหญ่จะสั่งซื้อผ่านออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ก็จะมีน้องๆ ที่ทำธุรกิจด้านนี้ ก็มีอยู่ค่อนข้างมาก ก็เอามาส่งให้บ้าง ก็เป็นช่องทางปกติทั่วไป ในการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ สินค้าที่ส่งมาไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานของรัฐมนตรี เรื่องนี้ไม่ได้มีเบื้องหลัง ไม่มีรัฐมนตรี ไม่มีรัฐบาลเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องของการค้าขาย เป็นเรื่องของธุรกิจทั่วไป
มีการตั้งข้อสงสัยว่ามีการตัดมาจากกรมการค้าภายในหรือไม่
- ไม่จริง กรมการค้าภายในก็ยังมาสอบถามข้อมูล เพราะว่าเราไม่มีประสานตรงนั้น ที่ทำแต่แรกต้องเรียกว่า เป็นการช่วยเหลือมากกว่า เพราะเราได้รับการประสานงานมาจากทางสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า มีโรคระบาดเกิดขึ้นที่นั่น ทำให้ทางผมเอง ที่เคยทำเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพอยู่แล้ว เราก็ช่วยเหลือในเรื่องการจัดหา แล้วเราก็ได้ค่าตอบแทนเล็กน้อยในเรื่องการจัดหาเท่านั้น ส่วนหนึ่งก็อยากให้ความช่วยเหลือเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
รู้จักกับ “บอย” ได้อย่างไร
- ส่วน คุณบอย รู้จักกันที่บ้านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่ให้ช่วยเหลือเรื่องการจัดหา เพราะเห็นว่าคุณบอย มีชาวจีนประสานมาว่า อยากให้ช่วยจัดหาหน้ากากอนามัยให้ ผมก็ทำหน้าที่ประสาน เนื่องจากว่าผู้ใหญ่ท่านนี้ ก็มีอายุพอสมควร ก็ให้ผมช่วยประสาน หลังจากนั้น ก็มีการนัดหมายทานข้าวกัน ที่เห็นกันในภาพ ผมก็โอเคตอบตกลงว่าจะช่วยทางพี่หาดูว่าจะหาได้ที่ไหนบ้าง เรื่องราวก็เลยเริ่มดำเนินการ
เขาต้องการจำนวนเท่าไหร่
- จำนวนเขาบอกว่ามีเป็นล้าน เขาบอกว่าประมาณ 1 ล้านชิ้น อยากจะหาให้ได้เยอะๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตลาดจีนกำลังต้องการมาก ในประเทศไทยตอนนั้นยังไม่มีข่าวคราวอะไร เราแค่ทราบว่าที่จีนมีโรคระบาดเกิดขึ้น ยังไม่มีการตื่นตัวเท่าทุกวันนี้ ผมก็คิดว่า มันเป็นข้อดีว่า อย่างน้อยเราก็รู้ช่องทางก็ช่วยเหลือเขา แล้วก็วันหนึ่งถ้าเกิดการระบาดขึ้นในประเทศไทย เราก็น่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
ในคลิปที่บอกว่ามีเป็น 100 ล้านชิ้น และเตรียมเปิดรับออเดอร์
- คิดว่ามันเป็นเรื่องของการตลาดมากกว่า เป็นการคุยให้ดูว่ามีเยอะๆ ผมก็เห็นในอินเทอร์เน็ตที่บอกว่ามีสินค้าหลายล้านชิ้น หรือเป็นแสนชิ้น บางทีผมไปเจอตัวจริง นั่งพูดคุยกันก็เป็นเรื่องของการตลาด เป็นการโฆษณาให้ตัวเลขมันดูน่าสนใจเท่านั้น แต่คุณบอยนี่ ยืนยันได้ว่า ทางพี่เขาไม่ได้มียอดออเดอร์ ยอดขายเยอะขนาดนั้น อย่างที่ในคลิปจริงๆ
ที่บอกว่าหน้ากากไมได้เป็นของเขา เป็นของใครก็ไม่รู้
- ก็จริงครับ เป็นเรื่องจริง แต่ผมขออภัย เพราะผมเห็นคลิปเพียงแค่สั้นๆ ผมยังไม่สามารถระบุได้เลยว่าในคลิปนั้นพูดวันตรงไหม ซึ่งในวงการหน้ากาก ปัจจุบันนี้ เขามีหลอกทำคลิปกันเยอะแยะ บางคนทำคลิปว่า รับหน้ากากวันนี้ แต่ที่จริงแล้วพูดมาตั้ง 5-6 วัน เพื่อที่จะเอาไว้ทำธุรกิจต่อไป ก็มีหลายแบบ ก็อยากให้เสพสื่อด้วยความเข้าใจหน่อยว่า จริงๆ แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหลายล้านชิ้น เพราะเราก็ไม่ใช่โรงงานผลิต ช่องทางการซื้อขายก็เป็นช่องทางปกติ ซื้อมาขายไป แต่ว่าจริงๆ ผมแทบจะไม่ได้ซื้อด้วยซ้ำ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็จะประสานงานมากกว่า เพื่อให้ผู้ซื้อผู้ขายได้เจอกัน และได้ซื้อขายกัน
ที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า มีความรู้จักสนิทสนมกับทีมงานรัฐมนตรี
- ไม่มีครับ ไม่มีความสัมพันธ์พิเศษใดๆ กับทางหน่วยงานราชการ หรือว่าทางรัฐมนตรีท่านใดเลย เป็นการที่ทางสื่อ หรือคนอื่นตีความ หรือว่าเข้าใจผิดเกินเลยไป ท่านไม่เกี่ยว ท่านเองก็ทำงานของท่านไป ผมก็ทำงานของผม ถ้าได้รับมอบหมายงานมาจากใครก็ตาม ถ้าผมช่วยได้ผมก็จะทำ เป็นเรื่องธุรกิจธรรมดา ซึ่งใครๆ ก็ทำได้ พี่ๆ ก็ทำเองได้ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน
ในคลิปที่อ้างถึงวันที่ 7 ก.พ. แต่ราชกิจจานุเบกษาประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบควบตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. ทำไมจึงยังส่งออกไปจีนได้
- ผมว่าน่าจะเข้าใจกันคลาดเคลื่อนมากกว่า ไม่มีการส่งออกใดๆ ที่ออกไปจีนนะครับ การที่ประสานงาน ที่ทางตัวแทนอาลีบาบาเข้ามา ก็มาเจอกัน ด้วยความที่อาจจะในช่วงแรกๆ อาจจะทำงานได้ประสบความสำเร็จในการช่วยจีนจัดหาได้สำเร็จในการจัดส่งไป ก็อาจจะมีชื่อเสียงบอกต่อๆ กันไป ในส่วนของการส่งออก ราชกิจจาฯ ประกาศแล้ว ก็ทำให้เรารู้ว่าเราส่งออกไม่ได้อยู่แล้ว แล้วบริษัทก็ไม่ได้ส่งออกอยู่แล้ว แต่เรื่องของทางจีนเขาอาจจะเอาไปทำอะไรผมไม่ทราบ ไม่ทราบว่าช่องทางหรือว่าจะไปแบบไหน ตรงนี้ไม่ทราบจริงๆ เพราะว่าเราเองไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้น แล้วที่สำคัญ ตัวแทนอาลีบาบาก็ไม่ได้มาซื้อสินค้ากับผม และไม่ได้มาสั่งให้ผมดำเนินการอะไร แค่มาทำความรู้จักกัน มาเยี่ยมชมอาคาร เท่านั้น
ในโพสต์ที่บอกว่าส่งออกไปจีน
- ผมก็ไม่ทราบว่าคนโพสต์เป็นใคร แต่ผมไม่ได้โพสต์แน่นอน เพราะผมจะโพสต์ตามความเป็นจริง คือ ผมเข้าใจว่า โรคนี้เป็นโรคที่ค่อนข้างน่ากลัว ผมก็เลยศึกษาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตั้งแต่การระบาดที่จีนมา ทำให้เกิดความกังวลว่าถ้ามันเกิดที่ประเทศไทยเรา ก็ควรที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อม เมื่อหน่วยงานของรัฐยังไม่มีความพร้อมเพียงพอในการทำงานตรงจุดนี้ ผมเองเป็นภาคเอกชน จริงๆ ก็อยากเสนอไอเดีย แล้วก็มันก็พลาดมาตั้งแต่การออกกฎหมายควบคุม ทำให้สินค้าราคาแพงขึ้น แม้จะควบคุมไว้ที่ 2.50 บาท ก็ตาม แต่ในตลาดทุกวันนี้ไม่มีวันที่จะหาได้ เพราะผมเองก็หาไม่ได้
ยืนยันว่าไม่ได้โพสต์ว่าจะส่งออกไปจีน
- ไม่ครับ ไม่ครับ เพราะว่าการส่งออกมันเป็นกระบวนการของทางรัฐอยู่แล้ว การส่งออกเขาจะส่งออกช่องทางไหน จะมีช่องทาง คือ ตอนราชกิจจาฯ ประกาศแรกๆ นี่ ผมยังมีความเข้าใจว่า ถ้าเรานำไปบริจาค น่าจะเป็นหนังสือระหว่างรัฐกับรัฐ เพื่อจะส่งออกไปบริจาคหรือไปช่วยเหลือได้ ซึ่งผมก็ว่ามันเป็นเรื่องปกตินะ ในการช่วยเหลือระหว่างรัฐกับรัฐ ซึ่งมันก็ควรจะทำถ้าช่วยกันได้
ทางจีนติดต่อขอรับบริจาคทางไหน
- ที่ขอรับบริจาคมา ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นหนังสือจากจีน เป็นภาษาจีนมาเลย ผมจะขอดูหนังสือก่อนเลย ว่ามีหนังสือมาหรือเปล่า คุณจะเอาไปทำอะไร จะเอาไปบริจาคใช่ไหม หรือจะเอาไปซื้อขายใช่ไหม ถ้าซื้อขายผมคงไม่เสียเวลาไปทำให้ เพราะว่าตรงนี้ก็เข้าใจว่า แต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่า จริงๆ แล้วเขาเอาไปทำอะไร เพราะผมเองก็อ่านภาษาจีนไม่ออก เพียงแต่เห็นว่าเห็นตราสัญลักษณ์ ที่เหมือนตราของจีน เป็นโลโก้ของเขา ซึ่งเราเห็นอยู่เป็นประจำ
หน่วยงานไหนของจีนบ้างที่ทำหนังสือมา
- ก่อนหน้านี้ ก็เป็นกลุ่มมณฑลต่างๆ ก็มีกลุ่มที่เป็นตำบล เทียบกับบ้านเราก็เป็นเทศบาลตำบล หรือว่า โรงพยาบาลก็มี ก็จะโชว์หนังสือฉบับนี้ให้ดู หรือแม้กระทั่งหนังสือจากสถานทูตของไทยเอง ก็ยื่นโชว์ให้ดูว่าเขาได้รับเป็นตัวแทนในการจัดหา ซึ่งแต่ละคนมาแบบนี้กันทั้งนั้น ที่รับงาน แต่แน่นอนเราช่วยเหลือทุกคนไม่ได้ เพราะว่าหน้ากากมีราคาแพงมาก ไม่สามารถหาในตลาดได้ เรื่องราคาสินค้าเป็นตัวแปรสำคัญที่สั่งอาจจะได้หรือไม่ได้ เราให้ทั้งสองฝ่ายมาชนกันเอง แต่ถ้าไม่ไว้วางใจกัน ผมก็อาจจะเป็นตัวกลางให้
ส่งไปจีนแล้วมากน้อยแค่ไหน
- ตั้งแต่มีการระบาดมาเราส่งหน้ากากไปช่วยทางจีนเป็นหลักล้านชิ้น ไม่ถึงหลักสิบล้าน ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นเรื่องของราคา แล้วกฎหมายออกมาควบคุมในช่วงหลังด้วย ทำให้การจัดหาต้องระงับไป ทำได้เพียงแค่ว่าที่เคยรับปากกันไว้ ก็ช่วยเหลือประสานงานแค่นั้นเอง
ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกับกรมการค้าภายในเข้าไปตรวจสอบเจออะไรบ้าง
- ผมได้ให้ข้อมูลไปแล้ว ว่า สินค้าที่พบก็มีอยู่บ้าง แต่ว่าไม่ใช่การกักตุนสินค้า เพราะว่าเราไม่มีความสามารถ และเราไม่ใช่โรงงาน เราเป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่งในการทำงานตรงนี้ แล้วก็เห็นว่า จริงๆ ก็เห็นช่องทางการทำธุรกิจนะครับ เพียงแต่ว่ากฎหมายไทยไม่เอื้ออำนวย ก็ยังนั่งคุยกันอยู่ว่า จริงๆ แล้วรัฐบาลเองก็ไม่ควรแก้ปัญหาแบบนี้ การแก้ปัญหาแบบนี้มันยิ่งทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ถ้ามีโอกาสก็ฝากบอกด้วยว่า ถ้าก่อนหน้านั้นสนับสนุนให้คนไทยทำหน้ากากอนามัยเป็นสินค้าส่งออกไปเลย น่าจะดีเสียกว่า แล้วก็คนไทยได้มีของใช้ด้วย เพราะเราผลิตเองได้ แล้วงานฝีมือของเราไม่ได้แพ้ชาติใด ทุกวันนี้ก็เห็นของแต่ละประเทศหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเวียดนาม กัมพูชา อินเดีย อินโดนีเซีย จีน เราสู้ได้ เรามีความสามารถ เรามีศักยภาพเพียงพอ แต่น่าเสียดายโอกาสว่าการออกกฎหมายมาปิดกั้นก็จะทำให้บ้านเราผลิตสินค้าไม่เพียงพอ คนที่อยากทำธุรกิจก็ถูกปิดกั้นโอกาส ทั้งๆ ที่ธุรกิจนี้มันเกิดก่อนที่จะมีกฎหมายประกาศ อันนี้เราก็เสียโอกาสประเทศไทย
ในภาพมีกล่องสินค้าหน้ากากอนามัยจำนวนมาก
- สินค้าที่มีก็ไม่มาก เป็นสินค้าที่เราเตรียมไว้บริจาค ซึ่งหน้าลังเราก็เขียนไว้ชัดเจน ส่วนหนึ่งบริจาค ส่วนหนึ่งก็ไปตามวัด ตามโรงเรียน เท่าที่คิดไว้ก็เตรียมการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อไวรัสด้วย ก็คิดว่าในเมื่อเราไม่สามารถหาหน้ากากมาช่วยเหลือได้ ก็ต้องช่วยเหลือด้วยวิธีอื่น ซึ่งก็ถือว่า ผมก็ทำแบบนี้ประจำอยู่แล้ว
สินค้าที่บริจาคให้จีนส่งไปยังไง
- สินค้าที่บริจาคไปจีน ก็จะมีคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจากรัฐบาลก็จะมารับโดยตรง ที่นี่ก็เหมือนกับว่าเป็นแหล่งรวบรวมดีกว่า พอออนไลน์ เขาก็จะรู้ว่าที่นี่มีคนรับซื้อ เขาก็จะวิ่งมาเอง เพราะฉะนั้นที่นี่ก็เหมือนกับตลาดที่นัดเจอกันระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย บางวันคนมากถึง 200-300 คนก็มี ก็มาซื้อขายหน้ากากอนามัยกัน ไม่ได้เข้าไปในออฟฟิศ ยืนอยู่ข้างหน้ากันก็มี ก็ซื้อขายกันเรียบร้อย ทำหน้าที่ แต่บางคนก็อาจจะมีการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอกันไป แล้วก็ไปแอบอ้างก็มีเยอะ มิจฉาชีพก็มีเยอะ