1.“ยิ่งลักษณ์” โอดทรัพย์สินถูกขายทอดตลาด อ้างเพราะ ม.44 ของ “บิ๊กตู่” ด้านกรมบังคับคดียัน ทำตามกฎหมาย!
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้หลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 5 ปี คดีทุจริตจำนำข้าว ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “หลายคนคงคิดว่า ช่วงนี้ดิฉันทำไมเงียบหายไป ยังมีความสุขดีอยู่มั้ย บางครั้งการพยายามไม่คิดมาก ทำใจให้สงบ มีความสุขก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่ความสุขเหล่านั้นก็อยู่บนความสุขที่หน้าชื่นอกตรม เพราะนอกจากตัวเองจะต้องพลัดพรากจากลูก จากครอบครัวและจากพี่น้องประชาชนมาอยู่ต่างแดนแล้ว ยังต้องสูญเสียบ้าน ทรัพย์สิน บัญชีธนาคาร รวมถึงทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่ตนเองหามาตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนมาเป็นนายกรัฐมนตรี และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตอบแทนดิฉัน"
"ดิฉันสูญเสียบ้านที่ถูกยึดและขณะนี้ทรัพย์สินของดิฉันก็กำลังถูกกรมบังคับคดีประมูลชิ้นต่อชิ้น ดิฉันใช้ข้อต่อสู้ทางกฎหมายทุกรูปแบบแล้ว แต่ก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ เพราะนายกรัฐมนตรีชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยึดอำนาจ และจนถึงปัจจุบันมาตรา 44 ก็ยังคุ้มครองเจ้าหน้าที่อยู่ ทุกคนจึงเร่งดำเนินการกับคดีดิฉันโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เพราะจริงๆ แล้วคดีต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองที่ถึงที่สุดว่า ดิฉันแพ้คดีก่อน จึงจะสามารถนำทรัพย์เหล่านั้นมาขายทอดตลาดได้ เป็นการถูกกระทำที่ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์ ซึ่งการนำเอาข้ออ้างของมาตรา 44 มาอยู่เหนือคำพิพากษาของศาล นอกจากไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครแล้ว ยังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ผลกระทบของการใช้ มาตรา 44 ให้มีอำนาจเหนือรัฏฐาธิปัตย์ ถือเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย"
“วันนี้ดิฉันเองจึงอยากจะขออนุญาตเล่าความในใจว่า ดิฉันเองจะต้องต่อสู้เรื่องของการถูกประมูลทรัพย์สินทุกชิ้นที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจนัก แม้กระทั่งทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ให้มา ดิฉันก็ไม่สามารถที่จะปกป้องเอาไว้ได้"
น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังโอดครวญต่อว่า "ดิฉันต้องอดทนต่อความเจ็บปวดและสะเทือนใจทุกครั้งที่รับทราบว่าทรัพย์ถูกทยอยขายไปทีละชิ้น ทีละชิ้น บางครั้งดิฉันก็ต้องปลอบใจตัวเองและบอกกับตัวเองว่า หากเรายังเศร้าและจมปลักอยู่กับอดีต เราก็จะไม่มีความสุข เรายังต้องมีภาระและดูแลอีกหลายชีวิตที่เขาฝากความหวังไว้กับเรา ดังนั้นดิฉันจึงต้องพยายามยืนและมองไปข้างหน้า โดยมองอดีตเป็นประสบการณ์ และคนเราควรจะอยู่เพื่อวันนี้และเพื่ออนาคต ไม่เอาอดีตมาทำให้เราไม่สามารถจะหลุดพ้นหรือเดินไปข้างหน้าไม่ได้ เพราะวันนี้ดิฉันพยายามที่จะบอกว่า ดิฉันอยู่กับปัจจุบันและอยู่กับอนาคต เราจะต้องเข้มแข็งและสู้ต่อไป แต่สิ่งหนึ่งในอดีตที่ดิฉันไม่เคยลืมก็คือ ความไว้วางใจที่พี่น้องประชาชนมีต่อดิฉันโดยเสมอมาค่ะ #ม.44กฎหมายเลือกข้าง #กฎหมายเลือกข้าง”
วันต่อมา 17 ธ.ค. กรมบังคับคดี ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่าทรัพย์สินถูกกรมบังคับคดียึดไว้และมีการทยอยขายทอดตลาด โดยชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่กระทรวงการคลังมีคำสั่งที่ 1351/2559 ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท และตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 56/2559 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ได้กำหนดให้กรมบังคับคดีเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองที่หน่วยงานของรัฐออกคำสั่งให้มีการบังคับทางปกครองต่อผู้ต้องรับผิดตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต 2548/2549 จนถึงปีการผลิต 2556/2557 ทำให้กรมบังคับคดีมีหน้าที่ต้องดำเนินการยึด อายัด ทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามที่กระทรวงการคลังได้ร้องขอให้ดำเนินการ
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2560 กระทรวงการคลังได้ขอให้กรมบังคับคดีดำเนินการบังคับกับทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยขออายัดเงินฝากในบัญชีธนาคาร หน่วยลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์และกองทุนต่างๆ ซึ่งมีการส่งเงินตามคำสั่งอายัดมาเพียงจำนวน 7,937,174.58 บาท และได้มีการจ่ายเงินให้กระทรวงการคลังไปแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ขอให้กรมบังคับคดี ยึดที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด อีกหลายรายการ รวมราคาประเมินทรัพย์สินเป็นเงิน 199,230,779.50 บาท ซึ่งปัจจุบันมีทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดได้แล้ว 3 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 49,510,00 บาท และทรัพย์รายการที่เหลืออยู่ในขั้นตอนของการประกาศขายทอดตลาด
กรมบังคับคดียืนยันด้วยว่า การดำเนินการของกรมฯ เป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะได้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงการคลัง แต่เนื่องจากศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวฯ ดังนั้นกรมบังคับคดีจึงต้องดำเนินการตามมาตรการบังคับทางปกครองต่อไป โดยการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองของกระทรวงการคลัง
2.อนค.มีมติเอกฉันท์ขับ 4 ส.ส.พ้นพรรค “ศรีนวล” เตรียมซบ ภท. ด้าน ”จารึก-ฐนภัทร” จ่อซบพรรคเล็ก กันครหา “งูเห่า”!
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้ประชุมพรรคสมัยวิสามัญ และมีมติ 250 ต่อ 5 คะแนนให้ขับ 4 ส.ส.ออกจากพรรค ประกอบด้วย 1.น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ 2.นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี 3.น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี และ 4.พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี โดยมติดังกล่าวยังไม่มีผลในทันที ต้องเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.อีกครั้ง
ด้านนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.และรองโฆษกพรรค อนค.กล่าวว่า สาเหตุหนึ่งที่มีมติขับ 4 ส.ส.ดังกล่าวออกจากพรรค คือ การไปให้สัมภาษณ์ในทำนองโจมตีพรรคเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการให้สัมภาษณ์ไม่เห็นด้วยกับการจัดแฟลชม็อบเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.
หลังทราบมติดังกล่าว พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี 1 ใน 4 ส.ส.ที่ถูกขับ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจมากที่สุดในชีวิต พร้อมเชื่อว่า สาเหตุที่ตนถูกขับน่าจะมาจากกรณีการโหวต พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังฯ (พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทยกระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562) “จุดยืนบางเรื่องของพรรค ผมก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งอยากให้พรรค อนค.พิจารณาด้วย เชื่อว่า คงมี ส.ส.คนอื่นไม่สบายใจเหมือนผม เพียงแต่เขาไม่กล้าพูด...”
วันต่อมา 17 ธ.ค. พรรค อนค.ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ร่วมกับ ส.ส. เพื่อพิจารณาวาระการประชุมวิสามัญพรรคเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่มีมติ 250 ต่อ 5 ให้ขับ 4 ส.ส.ดังกล่าวออกจากพรรค เนื่องจากมีพฤติกรรมสวนทางกับอุดมการณ์ของพรรค โดยที่ประชุมร่วม กก.บห.และ ส.ส.มีมติเอกฉันท์ให้ 4 ส.ส.ดังกล่าวสิ้นการเป็นสมาชิกของ อนค.
หลังประชุม นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนค.แจ้งต่อที่ประชุมว่า หลังจากนี้ พรรคจะส่งหนังสือไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อรับทราบมติพรรคโดยเร็วที่สุด ซึ่ง 4 ส.ส.ดังกล่าวจะต้องหาพรรคสังกัดใหม่ให้ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(9) ทั้งนี้ การขับ 4 ส.ส.ดังกล่าวออกจากการเป็นสมาชิกพรรค จะทำให้พรรค อนค.มีจำนวน ส.ส.75 คน จากเดิม 79 คน
หลังทราบมติพรรค นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี 1 ใน 4 ส.ส.ที่ถูกขับ กล่าวว่า ยอมรับมติพรรค และว่า จากนี้คงจะอยู่กับเล็กๆ พรรคหนึ่ง คงจะไม่ไปอยู่พรรคใหญ่ เพราะคนจะมองว่ากินกล้วย มองว่าเป็นงูเห่า คงไปอยู่พรรคที่เป็นฝ่ายค้านอิสระ เป็นพรรคที่จดทะเบียนไว้กับ กกต.แล้ว แต่ยังไม่มี ส.ส. โดยตนได้พูดคุยเรื่องนี้กับ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรีแล้ว และคาดว่า จะเป็น ส.ส.2 คนแรกของพรรคนี้ ส่วนชื่อพรรคที่จะไปอยู่นั้น ขออุบไว้ก่อน
ด้าน น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ 1 ใน 4 ส.ส.ที่ถูกขับ แย้มว่า ส่วนตัวสนใจเรื่องงานสังคม ซึ่งพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงกระทรวงคมนาคม และว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท.กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า น.ส.ศรีนวลสนใจจะย้ายเข้าสังกัดพรรค ภท.ว่า ถ้ามีคนมาสมัครใจจะอยู่ด้วย ก็ยินดีต้อนรับ และว่า ตนกับ น.ส.ศรีนวลรู้จักกัน แต่ทุกอย่างอยากให้รอให้ชัดเจนก่อน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ขณะที่นายอนุทิน เดินทางไปร่วมการประชุมที่สภาผู้แทนราษฎร ได้มี ส.ส.พรรค ภท.พร้อมด้วย น.ส.ศรีนวล มารอต้อนรับด้วย ซึ่งนายอนุทินและ น.ส.ศรีนวลได้มีการกล่าวทักทายกัน จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ถาม น.ส.ศรีนวลว่า ขณะนี้ได้สมัครเข้าพรรค ภท.อย่างเป็นทางการหรือยัง น.ส.ศรีนวล ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ยังเจ้า”
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มี ส.ส.พรรค อนค.ท้าให้ น.ส.ศรีนวลลาออก เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ด้วย โดย น.ส.ศรีนวล กล่าวว่า “เปลืองงบหลวงเจ้า ในเมื่อประชาชนเลือกมาแล้ว ก็จะอาสาสานต่อทำงานเพื่อประชาชนต่อไป เพราะการลาออกเป็นการเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ได้มีผู้ชุมนุมที่บริเวณลานหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลแม่วาง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ โดยระบุว่า เป็นประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 8 จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 200 คน นำโดย “ดาบชิต” นายพิชิต ตามูล อดีตแกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ รวมตัวชุมนุมแสดงความไม่พอใจและต่อต้าน น.ส.ศรีนวล ที่ถูกขับออกจากพรรค อนค. และเตรียมที่จะเข้าร่วมพรรคซีกรัฐบาล รวมทั้งกรณีที่ น.ส.ศรีนวลให้สัมภาษณ์ว่าประชาชนส่วนใหญ่ลงคะแนนให้ เพราะสนับสนุนตัว น.ส.ศรีนวลมากกว่าพรรค
ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมได้จัดรถติดเครื่องขยายเสียงปราศรัย พร้อมชูป้ายข้อความโจมตี น.ส.ศรีนวลอย่างรุนแรง รวมทั้งมีการนำภาพของ น.ส.ศรีนวล วางลงกับพื้น แล้วใช้เท้ารุมเหยียบระบายความโกรธแค้นและจุดไฟเผา นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ น.ส.ศรีนวล ลาออกจากการเป็น ส.ส. เพื่อให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ เพื่อพิสูจน์ว่า น.ส.ศรีนวล จะชนะการเลือกตั้งอีกหรือไม่
เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ระหว่างชุมนุม มีการนำปฏิทินอวยพรปีใหม่ 2563 เป็นภาพนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ มาแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุมด้วย
3.สภาฯ มีมติเอกฉันท์ตั้ง กมธ.ศึกษาแก้ รธน.49 คน “พีระพันธุ์” พร้อมนั่ง ปธ.กมธ.หากได้รับเลือก!
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน ญัตติขอให้สภาฯ ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นการอภิปรายต่อจากสัปดาห์ก่อน
โดยนายนิคม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า ปัญหาวุ่นวายที่เกิดขึ้น เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะไม่ยึดโยงกับประชาชน แม้จะบอกว่ารัฐธรรมนูญได้ผ่านการทำประชามติไปแล้ว ก็เป็นประชามติจอมปลอม เพราะไม่มีการแจกเนื้อหาให้ประชาชนอ่าน
ด้าน นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรค พท. อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย ให้ คสช.สืบทอดอำนาจ เห็นได้ชัดเจนเมื่อมาสู่การเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย พรรค พท.ที่ชนะเลือกตั้งก็ไม่ได้ตั้งรัฐบาล เพราะมี ส.ว.ที่ คสช.แต่งตั้งมาหนุนรัฐบาลปัจจุบัน
ขณะที่ รศ.รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายว่า สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แต่การแก้ต้องสอดคล้องกับหลักการอุดมการณ์ของรัฐ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราจำเป็นต้องให้ประชาชนมีจิตสำนึก ต้องให้สอดคล้องสังคม ทุนนิยม ทำอย่างไม่ให้เป็นทุนสามานย์ เป็นทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมบ้านเมือง
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญ 60 เป็นรัฐธรรมนูญที่เปราะบางบนความชอบของที่มา มีความชอบธรรมน้อยมากและแข็งกระด้าง จะแก้ก็แก้ไม่ได้ จะทำให้เกิดวิกฤตการณ์เป็นระเบิดเวลา ท้ายที่สุด เมื่อแก้ ทหารก็ออกมารัฐประหารเพื่อแก้รัฐธรรมนูญหรือเกิดการลุกฮือของประชาชน ดังนั้นสภาต้องปลดชนวนระเบิดให้ได้ ให้ ส.ว.ร่วมแก้
หลังสมาชิกอภิปรายจนครบ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้ให้มีการลงมติ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 445 เสียง เห็นชอบให้ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 งดออกเสียง 3 เสียง โดยตั้ง กมธ.49 คน มีกรอบเวลาพิจารณา 120 วัน
สำหรับรายชื่อ กมธ.49 คน แบ่งเป็นโควต้า ครม.12 คน, พรรคพลังประชารัฐ 9 คน, พรรคภูมิใจไทย 4 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 4 คน, พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน, พรรคเพื่อไทย 10 คน, พรรคอนาคตใหม่ 6 คน, พรรคเสรีรวมไทย 1 คน, พรรคประชาชาติ 1 คน, พรรคเศรษฐกิจใหม่ 1 คน
สำหรับรายชื่อ กมธ.ที่สังคมให้ความสนใจ ได้แก่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อยู่ในโควต้า ครม., นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้บริหารสื่อเครือเนชั่น อยู่ในโควต้าพรรคพลังประชารัฐ, นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.อยู่ในโควต้าพรรคเสรีรวมไทย
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า นายพีระพันธุ์ อาจได้รับเลือกเป็นประธาน กมธ. เมื่อผู้สื่อข่าวถามเรื่องนี้ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ถ้าได้รับเลือก ก็ทำได้อยู่แล้ว ไม่ต่างกับ กมธ.อื่นๆ เหมือนกันหมด อยู่ในสภามานานแล้ว ทำหน้าที่ประธานมาหลายคณะแล้ว”
อนึ่ง นายพีระพันธุ์ เพิ่งลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้พ้นจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. ก่อนมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
4.สังคมสวดยับ ชายรักชายจูบกันกลางสภา ด้าน ส.ส. เพื่อไทย-อนค.ขอโทษ ยันไม่ได้เตรียมการมาก่อน!
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนางมุกดา พงษ์สมบัติ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นประธาน กมธ.ฯ ได้มีการแถลงข่าวและรับหนังสือจากตัวแทนกลุ่มองค์กรผู้มีความหลากหลายทางเพศที่มีนายเอกวัฒน์ พิมพ์สวรรค์ เป็นแกนนำ เพื่อเรียกร้องให้มีการผลักดันกฎหมายคุ้มครองและให้สิทธิ ความเป็นธรรมกับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าว ได้มีการแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์โดยชายรักชาย 2 คน ได้กอดและจูบกันกลางสภา โดยมีสัญลักษณ์ของสภาอยู่ด้านหลัง ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่ให้เกียรติสถานที่ ทำลายภาพลักษณ์ของสภาฯ ฯลฯ
ต่อมา นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงชี้แจงถึงกรณีที่ปล่อยให้ชายสองคนจูบปากกันภายหลังยื่นหนังสือฯ ว่า ต้องขออภัยและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจากการเตรียมการของ กมธ. แต่เกิดขึ้นภายหลังการแถลงข่าว โดยไม่ได้คาดคิด และไม่รับทราบมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะถ้าทราบก็อาจจะให้แสดงความรักโดยวิธีอื่น เช่น การจับมือ มองหน้า เป็นต้น และว่า ยังไม่ได้พูดคุยกับน้องทั้งสองคน แต่จะต้องมีการไปตักเตือนว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันจะนำเรื่องนี้ไปหารือใน กมธ. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก พร้อมยอมรับว่า เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์รัฐสภา
วันต่อมา 19 ธ.ค. นางมุกดา พงษ์สมบัติ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาขอโทษ พร้อมกล่าวยอมรับผิดที่ไม่รอบคอบ ปล่อยให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการจูบกันกลางสภา “ดินฉันยอมรับในฐานะที่เป็นประธาน ยอมรับผิดที่ไม่รอบคอบ ไม่ตรวจสอบ เพราะไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในสภา ดังนั้นดิฉันขอโทษประชาชนด้วย จากนี้จะมีการระมัดระวังมากขึ้นไม่ให้มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งในการประชุม กมธ.วันที่ 25 ธ.ค. จะมีการพูดคุยกันว่า เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”
วันเดียวกัน 19 ธ.ค. หนึ่งในชายที่ถูกวิจารณ์กรณีจูบกันกลางสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า { จูบไม่เท่ากับอาชญากรรม เป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ } สวัสดีครับทุกท่าน เหตุการณ์ในวันนี้ที่ทุกท่านทราบ ผมและแฟนได้ทำการจูบกันภายหลังการยื่นหนังสือต่อคณะกรรมมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการพิจารณาแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ได้รับสิทธิตามกฎหมายอย่างเสมอภาคกับผู้มีเพศกำเนิดเป็นชายและหญิงทั่วไป เราไม่ได้ต้องการ "มากกว่า" แต่เราต้องการเพียง "เท่ากัน"
"...ผมขอยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีการเตรียมการมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เป็นการตกลงกันระหว่างผมกับแฟน ณ ขณะนั้น และไม่ได้มีผู้ใด พรรคการเมืองใด ยุยงหรืออยู่เบื้องหลังการจูบเชิงสัญลักษณ์ครั้งนี้"
5.หนีไม่รอด “สมคิด พุ่มพวง” ฆาตรกร 6 ศพ ถูก ตร.รวบแล้วบนรถไฟ หลังพลเมืองดีแจ้งเบาะแส!
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ได้เกิดเหตุฆาตกรรมหญิงสาวภายในบ้านพัก ต.หนองโก อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ นางรัศมี มุลิจันทร์ อายุ 51 ปี โดยผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมนางรัศมี คือ นายสมคิด พุ่มพวง หรือ “แจ๊ก เดอะริปเปอร์” เมืองไทย ฆาตกรต่อเนื่องที่เคยฆ่าหมอนวด 5 คน เป็นข่าวโด่งดังเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
ขณะที่กระแสสังคมต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหตุใดนายสมคิด ซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่อง 5 ศพ จึงได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ จนมาก่อเหตุฆ่าคนซ้ำเป็นรายที่ 6 ได้ ซึ่ง พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า นายสมคิดถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตในคดีฆ่าข่มขืนหลายศพ ได้รับโทษจำคุกนาน 14 ปี และพ้นโทษจากเรือนจำไปตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.2562 โดยนายสมคิดได้รับการลดวันต้องโทษและลดโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อนายสมคิดออกไปก่อเหตุซ้ำ ตนในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์ขอยอมรับว่า เป็นความผิดพลาดบกพร่องในกระบวนการกลั่นกรองเพื่อลดโทษ โดยกรมราชทัณฑ์ขอแสดงความรับผิดชอบเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข และพร้อมจะให้เบาะแสข้อมูลกับตำรวจอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามจับกุมตัวนายสมคิดมาดำเนินคดี
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมไปหามาตรการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการลดหย่อนโทษ เพราะที่มีอยู่ยังเป็นกฏกติกาเดิมๆ ต้องปรับให้สอดคล้องกับรูปแบบปัจจุบันว่า คดีอุกฉกรรจ์ต้องทำอย่างไร รวมถึงต้องไปดูรัฐธรรมนูญ และกฎหมายกระบวนการยุติธรรมของโลก เพราะเขาจ้องจับตาตรงนี้อยู่เหมือนกัน
มีรายงานว่า จากแนวทางสืบสวนและตรวจสอบพฤติการณ์ก่อเหตุและหลบหนีของนายสมคิดในอดีต พบว่า นายสมคิดไม่มีเงินติดตัว จึงเลือกใช้วิธีขึ้นรถไฟเพื่อหนีไปกบดานซ่อนตัวในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ทางภาคใต้ ส่วนช่วงที่ต้องแวะพักระหว่างทาง นายสมคิดจะเปิดห้องพักรายวันตามโรงแรมข้างทางต่างๆ โดยอ้างว่า เป็นตัวแทนของผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อขอใช้บริการฟรี นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า นายสมคิดเป็นอาชญากรที่ฉลาดหลักแหลม มีจิตวิทยาสูง อีกทั้งมีความรู้ด้านกฎหมายอยู่พอตัว โดยเมื่อครั้งถูกจับกุมครั้งก่อน นายสมคิดเลือกที่จะเป็นทนายว่าความให้ตัวเอง
หลังเจ้าหน้าที่พยายามติดตามจับกุมตัวนายสมคิด ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ เมื่อมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแสให้ตำรวจทราบเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ขณะอยู่บนรถไฟขบวนที่ ข.234 สุรินทร์-กรุงเทพฯ และเห็นนายสมคิดโดยสารรถไฟดังกล่าว จึงถ่ายภาพและโทรศัพท์ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทั่งมีการเข้าจับกุมที่สถานีรถไฟปากช่อง จ.นครราชสีมา ก่อนนำตัวไปสอบปากคำที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 ต.จอหอ อ.เมืองนครราชสีมา
ต่อมา พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.3 ได้แถลงผลการจับกุมนายสมคิดว่า นายสมคิดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และว่า หลังก่อเหตุได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีไปที่ จ.มหาสารคาม จ.ร้อยเอ็ด สุดท้ายได้เดินทางมาเช่าห้องพักชั่วคราวในละแวกโรงพยาบาลบุรีรัมย์ นอนพัก 1 คืน เพื่อโดยสารรถไฟหลบหนีไปที่ จ.พระนครศรีอยุธยา กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้สถานีปากช่อง
ด้าน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) กล่าวว่า หลังนายสมคิดพ้นโทษเมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ใช้ชีวิตลักษณะเร่ร่อน ก่อนที่จะรู้จักกับนางรัศมี ผู้เสียชีวิต ทางเฟซบุ๊ก จนมาอยู่กินใช้ชีวิตร่วมกัน และมีโครงการจะแต่งงานกัน วันเกิดเหตุ นายสมคิดระบุว่า มีปัญหาหึงหวง ทะเลาะกันรุนแรง เนื่องจากนายสมคิดกลับบ้านดึก และผู้เสียชีวิตบ่นไม่หยุด รวมทั้งขึ้นเสียงดัง ทำให้บันดาลโทสะแล้วลงมือฆ่า ใช้วิธีกดน้ำ เอามือบีบคอ ใช้ผ้ารัดคอ รวมถึงใช้สายชาร์จโทรศัพท์รัดคอ “หลังถูกจับกุม ผู้ต้องหาบอกว่า ไม่กลัวตาย เพราะเกิดมาตายได้ครั้งเดียว มีอาการซึมเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีอาการสำนึกผิด”
พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวด้วยว่า จะมีการมอบรางวัลนำจับ 5 หมื่นบาท ให้กับพลเมืองดีที่แจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมนายสมคิดได้เร็วๆ นี้ ที่ จ.ขอนแก่น
ล่าสุด 20 ธ.ค. ตำรวจ สภ.กระนวน จ.ขอนแก่น ได้ควบคุมตัวนายสมคิดไปขอศาลจังหวัดขอนแก่นฝากขังผัดแรก พร้อมคัดค้านการประกันตัว โดยตั้งข้อกล่าวหานายสมคิดทั้งหมด 3 ข้อหา ประกอบด้วย ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย, ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ และลักทรัพย์หรือรับของโจร ซึ่งนายสมคิดรับสารภาพว่าฆ่าผู้อื่น แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ด้านศาลได้อนุญาตให้ฝากขัง และไม่อนุญาตให้ประกันตัว นายสมคิดจึงถูกนำตัวไปควบคุมที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่นทันที
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้หลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 5 ปี คดีทุจริตจำนำข้าว ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “หลายคนคงคิดว่า ช่วงนี้ดิฉันทำไมเงียบหายไป ยังมีความสุขดีอยู่มั้ย บางครั้งการพยายามไม่คิดมาก ทำใจให้สงบ มีความสุขก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่ความสุขเหล่านั้นก็อยู่บนความสุขที่หน้าชื่นอกตรม เพราะนอกจากตัวเองจะต้องพลัดพรากจากลูก จากครอบครัวและจากพี่น้องประชาชนมาอยู่ต่างแดนแล้ว ยังต้องสูญเสียบ้าน ทรัพย์สิน บัญชีธนาคาร รวมถึงทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่ตนเองหามาตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนมาเป็นนายกรัฐมนตรี และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตอบแทนดิฉัน"
"ดิฉันสูญเสียบ้านที่ถูกยึดและขณะนี้ทรัพย์สินของดิฉันก็กำลังถูกกรมบังคับคดีประมูลชิ้นต่อชิ้น ดิฉันใช้ข้อต่อสู้ทางกฎหมายทุกรูปแบบแล้ว แต่ก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ เพราะนายกรัฐมนตรีชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยึดอำนาจ และจนถึงปัจจุบันมาตรา 44 ก็ยังคุ้มครองเจ้าหน้าที่อยู่ ทุกคนจึงเร่งดำเนินการกับคดีดิฉันโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เพราะจริงๆ แล้วคดีต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองที่ถึงที่สุดว่า ดิฉันแพ้คดีก่อน จึงจะสามารถนำทรัพย์เหล่านั้นมาขายทอดตลาดได้ เป็นการถูกกระทำที่ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์ ซึ่งการนำเอาข้ออ้างของมาตรา 44 มาอยู่เหนือคำพิพากษาของศาล นอกจากไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครแล้ว ยังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ผลกระทบของการใช้ มาตรา 44 ให้มีอำนาจเหนือรัฏฐาธิปัตย์ ถือเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย"
“วันนี้ดิฉันเองจึงอยากจะขออนุญาตเล่าความในใจว่า ดิฉันเองจะต้องต่อสู้เรื่องของการถูกประมูลทรัพย์สินทุกชิ้นที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจนัก แม้กระทั่งทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ให้มา ดิฉันก็ไม่สามารถที่จะปกป้องเอาไว้ได้"
น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังโอดครวญต่อว่า "ดิฉันต้องอดทนต่อความเจ็บปวดและสะเทือนใจทุกครั้งที่รับทราบว่าทรัพย์ถูกทยอยขายไปทีละชิ้น ทีละชิ้น บางครั้งดิฉันก็ต้องปลอบใจตัวเองและบอกกับตัวเองว่า หากเรายังเศร้าและจมปลักอยู่กับอดีต เราก็จะไม่มีความสุข เรายังต้องมีภาระและดูแลอีกหลายชีวิตที่เขาฝากความหวังไว้กับเรา ดังนั้นดิฉันจึงต้องพยายามยืนและมองไปข้างหน้า โดยมองอดีตเป็นประสบการณ์ และคนเราควรจะอยู่เพื่อวันนี้และเพื่ออนาคต ไม่เอาอดีตมาทำให้เราไม่สามารถจะหลุดพ้นหรือเดินไปข้างหน้าไม่ได้ เพราะวันนี้ดิฉันพยายามที่จะบอกว่า ดิฉันอยู่กับปัจจุบันและอยู่กับอนาคต เราจะต้องเข้มแข็งและสู้ต่อไป แต่สิ่งหนึ่งในอดีตที่ดิฉันไม่เคยลืมก็คือ ความไว้วางใจที่พี่น้องประชาชนมีต่อดิฉันโดยเสมอมาค่ะ #ม.44กฎหมายเลือกข้าง #กฎหมายเลือกข้าง”
วันต่อมา 17 ธ.ค. กรมบังคับคดี ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่าทรัพย์สินถูกกรมบังคับคดียึดไว้และมีการทยอยขายทอดตลาด โดยชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่กระทรวงการคลังมีคำสั่งที่ 1351/2559 ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท และตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 56/2559 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ได้กำหนดให้กรมบังคับคดีเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองที่หน่วยงานของรัฐออกคำสั่งให้มีการบังคับทางปกครองต่อผู้ต้องรับผิดตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต 2548/2549 จนถึงปีการผลิต 2556/2557 ทำให้กรมบังคับคดีมีหน้าที่ต้องดำเนินการยึด อายัด ทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามที่กระทรวงการคลังได้ร้องขอให้ดำเนินการ
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2560 กระทรวงการคลังได้ขอให้กรมบังคับคดีดำเนินการบังคับกับทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยขออายัดเงินฝากในบัญชีธนาคาร หน่วยลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์และกองทุนต่างๆ ซึ่งมีการส่งเงินตามคำสั่งอายัดมาเพียงจำนวน 7,937,174.58 บาท และได้มีการจ่ายเงินให้กระทรวงการคลังไปแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ขอให้กรมบังคับคดี ยึดที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด อีกหลายรายการ รวมราคาประเมินทรัพย์สินเป็นเงิน 199,230,779.50 บาท ซึ่งปัจจุบันมีทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดได้แล้ว 3 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 49,510,00 บาท และทรัพย์รายการที่เหลืออยู่ในขั้นตอนของการประกาศขายทอดตลาด
กรมบังคับคดียืนยันด้วยว่า การดำเนินการของกรมฯ เป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะได้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงการคลัง แต่เนื่องจากศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวฯ ดังนั้นกรมบังคับคดีจึงต้องดำเนินการตามมาตรการบังคับทางปกครองต่อไป โดยการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองของกระทรวงการคลัง
2.อนค.มีมติเอกฉันท์ขับ 4 ส.ส.พ้นพรรค “ศรีนวล” เตรียมซบ ภท. ด้าน ”จารึก-ฐนภัทร” จ่อซบพรรคเล็ก กันครหา “งูเห่า”!
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้ประชุมพรรคสมัยวิสามัญ และมีมติ 250 ต่อ 5 คะแนนให้ขับ 4 ส.ส.ออกจากพรรค ประกอบด้วย 1.น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ 2.นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี 3.น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี และ 4.พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี โดยมติดังกล่าวยังไม่มีผลในทันที ต้องเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.อีกครั้ง
ด้านนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.และรองโฆษกพรรค อนค.กล่าวว่า สาเหตุหนึ่งที่มีมติขับ 4 ส.ส.ดังกล่าวออกจากพรรค คือ การไปให้สัมภาษณ์ในทำนองโจมตีพรรคเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการให้สัมภาษณ์ไม่เห็นด้วยกับการจัดแฟลชม็อบเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.
หลังทราบมติดังกล่าว พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี 1 ใน 4 ส.ส.ที่ถูกขับ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจมากที่สุดในชีวิต พร้อมเชื่อว่า สาเหตุที่ตนถูกขับน่าจะมาจากกรณีการโหวต พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังฯ (พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทยกระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562) “จุดยืนบางเรื่องของพรรค ผมก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งอยากให้พรรค อนค.พิจารณาด้วย เชื่อว่า คงมี ส.ส.คนอื่นไม่สบายใจเหมือนผม เพียงแต่เขาไม่กล้าพูด...”
วันต่อมา 17 ธ.ค. พรรค อนค.ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ร่วมกับ ส.ส. เพื่อพิจารณาวาระการประชุมวิสามัญพรรคเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่มีมติ 250 ต่อ 5 ให้ขับ 4 ส.ส.ดังกล่าวออกจากพรรค เนื่องจากมีพฤติกรรมสวนทางกับอุดมการณ์ของพรรค โดยที่ประชุมร่วม กก.บห.และ ส.ส.มีมติเอกฉันท์ให้ 4 ส.ส.ดังกล่าวสิ้นการเป็นสมาชิกของ อนค.
หลังประชุม นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนค.แจ้งต่อที่ประชุมว่า หลังจากนี้ พรรคจะส่งหนังสือไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อรับทราบมติพรรคโดยเร็วที่สุด ซึ่ง 4 ส.ส.ดังกล่าวจะต้องหาพรรคสังกัดใหม่ให้ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(9) ทั้งนี้ การขับ 4 ส.ส.ดังกล่าวออกจากการเป็นสมาชิกพรรค จะทำให้พรรค อนค.มีจำนวน ส.ส.75 คน จากเดิม 79 คน
หลังทราบมติพรรค นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี 1 ใน 4 ส.ส.ที่ถูกขับ กล่าวว่า ยอมรับมติพรรค และว่า จากนี้คงจะอยู่กับเล็กๆ พรรคหนึ่ง คงจะไม่ไปอยู่พรรคใหญ่ เพราะคนจะมองว่ากินกล้วย มองว่าเป็นงูเห่า คงไปอยู่พรรคที่เป็นฝ่ายค้านอิสระ เป็นพรรคที่จดทะเบียนไว้กับ กกต.แล้ว แต่ยังไม่มี ส.ส. โดยตนได้พูดคุยเรื่องนี้กับ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรีแล้ว และคาดว่า จะเป็น ส.ส.2 คนแรกของพรรคนี้ ส่วนชื่อพรรคที่จะไปอยู่นั้น ขออุบไว้ก่อน
ด้าน น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ 1 ใน 4 ส.ส.ที่ถูกขับ แย้มว่า ส่วนตัวสนใจเรื่องงานสังคม ซึ่งพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงกระทรวงคมนาคม และว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท.กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า น.ส.ศรีนวลสนใจจะย้ายเข้าสังกัดพรรค ภท.ว่า ถ้ามีคนมาสมัครใจจะอยู่ด้วย ก็ยินดีต้อนรับ และว่า ตนกับ น.ส.ศรีนวลรู้จักกัน แต่ทุกอย่างอยากให้รอให้ชัดเจนก่อน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ขณะที่นายอนุทิน เดินทางไปร่วมการประชุมที่สภาผู้แทนราษฎร ได้มี ส.ส.พรรค ภท.พร้อมด้วย น.ส.ศรีนวล มารอต้อนรับด้วย ซึ่งนายอนุทินและ น.ส.ศรีนวลได้มีการกล่าวทักทายกัน จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ถาม น.ส.ศรีนวลว่า ขณะนี้ได้สมัครเข้าพรรค ภท.อย่างเป็นทางการหรือยัง น.ส.ศรีนวล ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ยังเจ้า”
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มี ส.ส.พรรค อนค.ท้าให้ น.ส.ศรีนวลลาออก เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ด้วย โดย น.ส.ศรีนวล กล่าวว่า “เปลืองงบหลวงเจ้า ในเมื่อประชาชนเลือกมาแล้ว ก็จะอาสาสานต่อทำงานเพื่อประชาชนต่อไป เพราะการลาออกเป็นการเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ได้มีผู้ชุมนุมที่บริเวณลานหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลแม่วาง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ โดยระบุว่า เป็นประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 8 จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 200 คน นำโดย “ดาบชิต” นายพิชิต ตามูล อดีตแกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ รวมตัวชุมนุมแสดงความไม่พอใจและต่อต้าน น.ส.ศรีนวล ที่ถูกขับออกจากพรรค อนค. และเตรียมที่จะเข้าร่วมพรรคซีกรัฐบาล รวมทั้งกรณีที่ น.ส.ศรีนวลให้สัมภาษณ์ว่าประชาชนส่วนใหญ่ลงคะแนนให้ เพราะสนับสนุนตัว น.ส.ศรีนวลมากกว่าพรรค
ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมได้จัดรถติดเครื่องขยายเสียงปราศรัย พร้อมชูป้ายข้อความโจมตี น.ส.ศรีนวลอย่างรุนแรง รวมทั้งมีการนำภาพของ น.ส.ศรีนวล วางลงกับพื้น แล้วใช้เท้ารุมเหยียบระบายความโกรธแค้นและจุดไฟเผา นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ น.ส.ศรีนวล ลาออกจากการเป็น ส.ส. เพื่อให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ เพื่อพิสูจน์ว่า น.ส.ศรีนวล จะชนะการเลือกตั้งอีกหรือไม่
เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ระหว่างชุมนุม มีการนำปฏิทินอวยพรปีใหม่ 2563 เป็นภาพนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ มาแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุมด้วย
3.สภาฯ มีมติเอกฉันท์ตั้ง กมธ.ศึกษาแก้ รธน.49 คน “พีระพันธุ์” พร้อมนั่ง ปธ.กมธ.หากได้รับเลือก!
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน ญัตติขอให้สภาฯ ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นการอภิปรายต่อจากสัปดาห์ก่อน
โดยนายนิคม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า ปัญหาวุ่นวายที่เกิดขึ้น เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะไม่ยึดโยงกับประชาชน แม้จะบอกว่ารัฐธรรมนูญได้ผ่านการทำประชามติไปแล้ว ก็เป็นประชามติจอมปลอม เพราะไม่มีการแจกเนื้อหาให้ประชาชนอ่าน
ด้าน นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรค พท. อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย ให้ คสช.สืบทอดอำนาจ เห็นได้ชัดเจนเมื่อมาสู่การเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย พรรค พท.ที่ชนะเลือกตั้งก็ไม่ได้ตั้งรัฐบาล เพราะมี ส.ว.ที่ คสช.แต่งตั้งมาหนุนรัฐบาลปัจจุบัน
ขณะที่ รศ.รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายว่า สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แต่การแก้ต้องสอดคล้องกับหลักการอุดมการณ์ของรัฐ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราจำเป็นต้องให้ประชาชนมีจิตสำนึก ต้องให้สอดคล้องสังคม ทุนนิยม ทำอย่างไม่ให้เป็นทุนสามานย์ เป็นทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมบ้านเมือง
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญ 60 เป็นรัฐธรรมนูญที่เปราะบางบนความชอบของที่มา มีความชอบธรรมน้อยมากและแข็งกระด้าง จะแก้ก็แก้ไม่ได้ จะทำให้เกิดวิกฤตการณ์เป็นระเบิดเวลา ท้ายที่สุด เมื่อแก้ ทหารก็ออกมารัฐประหารเพื่อแก้รัฐธรรมนูญหรือเกิดการลุกฮือของประชาชน ดังนั้นสภาต้องปลดชนวนระเบิดให้ได้ ให้ ส.ว.ร่วมแก้
หลังสมาชิกอภิปรายจนครบ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้ให้มีการลงมติ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 445 เสียง เห็นชอบให้ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 งดออกเสียง 3 เสียง โดยตั้ง กมธ.49 คน มีกรอบเวลาพิจารณา 120 วัน
สำหรับรายชื่อ กมธ.49 คน แบ่งเป็นโควต้า ครม.12 คน, พรรคพลังประชารัฐ 9 คน, พรรคภูมิใจไทย 4 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 4 คน, พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน, พรรคเพื่อไทย 10 คน, พรรคอนาคตใหม่ 6 คน, พรรคเสรีรวมไทย 1 คน, พรรคประชาชาติ 1 คน, พรรคเศรษฐกิจใหม่ 1 คน
สำหรับรายชื่อ กมธ.ที่สังคมให้ความสนใจ ได้แก่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อยู่ในโควต้า ครม., นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้บริหารสื่อเครือเนชั่น อยู่ในโควต้าพรรคพลังประชารัฐ, นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.อยู่ในโควต้าพรรคเสรีรวมไทย
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า นายพีระพันธุ์ อาจได้รับเลือกเป็นประธาน กมธ. เมื่อผู้สื่อข่าวถามเรื่องนี้ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ถ้าได้รับเลือก ก็ทำได้อยู่แล้ว ไม่ต่างกับ กมธ.อื่นๆ เหมือนกันหมด อยู่ในสภามานานแล้ว ทำหน้าที่ประธานมาหลายคณะแล้ว”
อนึ่ง นายพีระพันธุ์ เพิ่งลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้พ้นจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. ก่อนมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
4.สังคมสวดยับ ชายรักชายจูบกันกลางสภา ด้าน ส.ส. เพื่อไทย-อนค.ขอโทษ ยันไม่ได้เตรียมการมาก่อน!
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนางมุกดา พงษ์สมบัติ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นประธาน กมธ.ฯ ได้มีการแถลงข่าวและรับหนังสือจากตัวแทนกลุ่มองค์กรผู้มีความหลากหลายทางเพศที่มีนายเอกวัฒน์ พิมพ์สวรรค์ เป็นแกนนำ เพื่อเรียกร้องให้มีการผลักดันกฎหมายคุ้มครองและให้สิทธิ ความเป็นธรรมกับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าว ได้มีการแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์โดยชายรักชาย 2 คน ได้กอดและจูบกันกลางสภา โดยมีสัญลักษณ์ของสภาอยู่ด้านหลัง ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่ให้เกียรติสถานที่ ทำลายภาพลักษณ์ของสภาฯ ฯลฯ
ต่อมา นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงชี้แจงถึงกรณีที่ปล่อยให้ชายสองคนจูบปากกันภายหลังยื่นหนังสือฯ ว่า ต้องขออภัยและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจากการเตรียมการของ กมธ. แต่เกิดขึ้นภายหลังการแถลงข่าว โดยไม่ได้คาดคิด และไม่รับทราบมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะถ้าทราบก็อาจจะให้แสดงความรักโดยวิธีอื่น เช่น การจับมือ มองหน้า เป็นต้น และว่า ยังไม่ได้พูดคุยกับน้องทั้งสองคน แต่จะต้องมีการไปตักเตือนว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันจะนำเรื่องนี้ไปหารือใน กมธ. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก พร้อมยอมรับว่า เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์รัฐสภา
วันต่อมา 19 ธ.ค. นางมุกดา พงษ์สมบัติ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาขอโทษ พร้อมกล่าวยอมรับผิดที่ไม่รอบคอบ ปล่อยให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการจูบกันกลางสภา “ดินฉันยอมรับในฐานะที่เป็นประธาน ยอมรับผิดที่ไม่รอบคอบ ไม่ตรวจสอบ เพราะไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในสภา ดังนั้นดิฉันขอโทษประชาชนด้วย จากนี้จะมีการระมัดระวังมากขึ้นไม่ให้มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งในการประชุม กมธ.วันที่ 25 ธ.ค. จะมีการพูดคุยกันว่า เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”
วันเดียวกัน 19 ธ.ค. หนึ่งในชายที่ถูกวิจารณ์กรณีจูบกันกลางสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า { จูบไม่เท่ากับอาชญากรรม เป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ } สวัสดีครับทุกท่าน เหตุการณ์ในวันนี้ที่ทุกท่านทราบ ผมและแฟนได้ทำการจูบกันภายหลังการยื่นหนังสือต่อคณะกรรมมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการพิจารณาแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ได้รับสิทธิตามกฎหมายอย่างเสมอภาคกับผู้มีเพศกำเนิดเป็นชายและหญิงทั่วไป เราไม่ได้ต้องการ "มากกว่า" แต่เราต้องการเพียง "เท่ากัน"
"...ผมขอยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีการเตรียมการมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เป็นการตกลงกันระหว่างผมกับแฟน ณ ขณะนั้น และไม่ได้มีผู้ใด พรรคการเมืองใด ยุยงหรืออยู่เบื้องหลังการจูบเชิงสัญลักษณ์ครั้งนี้"
5.หนีไม่รอด “สมคิด พุ่มพวง” ฆาตรกร 6 ศพ ถูก ตร.รวบแล้วบนรถไฟ หลังพลเมืองดีแจ้งเบาะแส!
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ได้เกิดเหตุฆาตกรรมหญิงสาวภายในบ้านพัก ต.หนองโก อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ นางรัศมี มุลิจันทร์ อายุ 51 ปี โดยผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมนางรัศมี คือ นายสมคิด พุ่มพวง หรือ “แจ๊ก เดอะริปเปอร์” เมืองไทย ฆาตกรต่อเนื่องที่เคยฆ่าหมอนวด 5 คน เป็นข่าวโด่งดังเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
ขณะที่กระแสสังคมต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหตุใดนายสมคิด ซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่อง 5 ศพ จึงได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ จนมาก่อเหตุฆ่าคนซ้ำเป็นรายที่ 6 ได้ ซึ่ง พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า นายสมคิดถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตในคดีฆ่าข่มขืนหลายศพ ได้รับโทษจำคุกนาน 14 ปี และพ้นโทษจากเรือนจำไปตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.2562 โดยนายสมคิดได้รับการลดวันต้องโทษและลดโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อนายสมคิดออกไปก่อเหตุซ้ำ ตนในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์ขอยอมรับว่า เป็นความผิดพลาดบกพร่องในกระบวนการกลั่นกรองเพื่อลดโทษ โดยกรมราชทัณฑ์ขอแสดงความรับผิดชอบเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข และพร้อมจะให้เบาะแสข้อมูลกับตำรวจอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามจับกุมตัวนายสมคิดมาดำเนินคดี
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมไปหามาตรการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการลดหย่อนโทษ เพราะที่มีอยู่ยังเป็นกฏกติกาเดิมๆ ต้องปรับให้สอดคล้องกับรูปแบบปัจจุบันว่า คดีอุกฉกรรจ์ต้องทำอย่างไร รวมถึงต้องไปดูรัฐธรรมนูญ และกฎหมายกระบวนการยุติธรรมของโลก เพราะเขาจ้องจับตาตรงนี้อยู่เหมือนกัน
มีรายงานว่า จากแนวทางสืบสวนและตรวจสอบพฤติการณ์ก่อเหตุและหลบหนีของนายสมคิดในอดีต พบว่า นายสมคิดไม่มีเงินติดตัว จึงเลือกใช้วิธีขึ้นรถไฟเพื่อหนีไปกบดานซ่อนตัวในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ทางภาคใต้ ส่วนช่วงที่ต้องแวะพักระหว่างทาง นายสมคิดจะเปิดห้องพักรายวันตามโรงแรมข้างทางต่างๆ โดยอ้างว่า เป็นตัวแทนของผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อขอใช้บริการฟรี นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า นายสมคิดเป็นอาชญากรที่ฉลาดหลักแหลม มีจิตวิทยาสูง อีกทั้งมีความรู้ด้านกฎหมายอยู่พอตัว โดยเมื่อครั้งถูกจับกุมครั้งก่อน นายสมคิดเลือกที่จะเป็นทนายว่าความให้ตัวเอง
หลังเจ้าหน้าที่พยายามติดตามจับกุมตัวนายสมคิด ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ เมื่อมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแสให้ตำรวจทราบเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ขณะอยู่บนรถไฟขบวนที่ ข.234 สุรินทร์-กรุงเทพฯ และเห็นนายสมคิดโดยสารรถไฟดังกล่าว จึงถ่ายภาพและโทรศัพท์ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทั่งมีการเข้าจับกุมที่สถานีรถไฟปากช่อง จ.นครราชสีมา ก่อนนำตัวไปสอบปากคำที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 ต.จอหอ อ.เมืองนครราชสีมา
ต่อมา พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.3 ได้แถลงผลการจับกุมนายสมคิดว่า นายสมคิดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และว่า หลังก่อเหตุได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีไปที่ จ.มหาสารคาม จ.ร้อยเอ็ด สุดท้ายได้เดินทางมาเช่าห้องพักชั่วคราวในละแวกโรงพยาบาลบุรีรัมย์ นอนพัก 1 คืน เพื่อโดยสารรถไฟหลบหนีไปที่ จ.พระนครศรีอยุธยา กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้สถานีปากช่อง
ด้าน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) กล่าวว่า หลังนายสมคิดพ้นโทษเมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ใช้ชีวิตลักษณะเร่ร่อน ก่อนที่จะรู้จักกับนางรัศมี ผู้เสียชีวิต ทางเฟซบุ๊ก จนมาอยู่กินใช้ชีวิตร่วมกัน และมีโครงการจะแต่งงานกัน วันเกิดเหตุ นายสมคิดระบุว่า มีปัญหาหึงหวง ทะเลาะกันรุนแรง เนื่องจากนายสมคิดกลับบ้านดึก และผู้เสียชีวิตบ่นไม่หยุด รวมทั้งขึ้นเสียงดัง ทำให้บันดาลโทสะแล้วลงมือฆ่า ใช้วิธีกดน้ำ เอามือบีบคอ ใช้ผ้ารัดคอ รวมถึงใช้สายชาร์จโทรศัพท์รัดคอ “หลังถูกจับกุม ผู้ต้องหาบอกว่า ไม่กลัวตาย เพราะเกิดมาตายได้ครั้งเดียว มีอาการซึมเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีอาการสำนึกผิด”
พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวด้วยว่า จะมีการมอบรางวัลนำจับ 5 หมื่นบาท ให้กับพลเมืองดีที่แจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมนายสมคิดได้เร็วๆ นี้ ที่ จ.ขอนแก่น
ล่าสุด 20 ธ.ค. ตำรวจ สภ.กระนวน จ.ขอนแก่น ได้ควบคุมตัวนายสมคิดไปขอศาลจังหวัดขอนแก่นฝากขังผัดแรก พร้อมคัดค้านการประกันตัว โดยตั้งข้อกล่าวหานายสมคิดทั้งหมด 3 ข้อหา ประกอบด้วย ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย, ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ และลักทรัพย์หรือรับของโจร ซึ่งนายสมคิดรับสารภาพว่าฆ่าผู้อื่น แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ด้านศาลได้อนุญาตให้ฝากขัง และไม่อนุญาตให้ประกันตัว นายสมคิดจึงถูกนำตัวไปควบคุมที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่นทันที