xs
xsm
sm
md
lg

แม่ทัพอากาศลาวถูกบีบให้ใช้เครื่องบินขนฝิ่น! ถล่มระเบิดใส่แล้วบินมา “แบกจ็อบ” ดอนเมือง!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค


สนามบินล่องแจ้ง ฐานสำคัญของแอร์อเมริกา
กล่าวกันว่า นักบินรบของลาว เป็นนักบินที่เก่งที่สุดในโลก ผู้เขียนขอยืนยันเรื่องนี้อีกคน เพราะเคยนั่งเครื่องบินรบของลาวมาแล้ว

ในปี ๒๕๑๕ ผู้เขียนสร้างหนังเรื่องหนึ่งใกล้กำหนดจะเข้าฉายแล้ว แต่ยังปิดกล้องไม่ได้ เพราะผู้แสดงคนหนึ่งหาตัวไม่พบ ได้ข่าวว่าไปถ่ายหนังเรื่องแรกของลาวซึ่งใช้ทีมงานไทยอยู่ที่เวียงจันทน์ จึงต้องไปตามที่นั่น และสืบรู้ว่าพักกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่เมื่อไปก็ไม่มีใครอยู่เลย ขึ้นไปปักหลักถ่ายที่ยอดภูเขาควาย ฐานบัญชาการทางทหารแห่งหนึ่งของรัฐบาลลาว ซึ่งอยู่ห่างนครเวียงจันทน์ออกไปเพียง ๖๐ กม.เท่านั้น แต่ไม่สามารถเดินทางบกไปได้ เพราะส่วนใหญ่กองกำลังของรัฐบาลจะยึดได้เฉพาะแต่บนยอดเขา ส่วนเชิงเขาโดยรอบจะถูกยึดครองโดยขบวนการปะเทดลาว การคมนาคมจึงติดต่อกันได้แต่ทางอากาศเท่านั้น

โชคดีที่ได้ข่าวว่า เช้าวันรุ่งขึ้นนายแพทย์ชาวไทยคนหนึ่งซึ่งไปอยู่ที่กรุงเวียงจันทน์ และเป็นผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ จะนำนางเอกลาวขึ้นไป ผู้เขียนจึงติดต่อขอไปด้วยคน คุณหมอก็ใจดีมารับถึงโรงแรมแต่เช้า ไปถึงสนามบินราว ๘ โมงมองเห็นยอดภูเขาควายมีเมฆปกคลุม เครื่องบินยังไม่สามารถไปลงได้ เลยเข้าไปนั่งรอกันที่สโมสรนายทหารอากาศ ซึ่งก็เป็นเรือนไม้ขายอาหารแบบอีสาน แต่พิเศษตรงที่มีโค้กกระป๋องส่งตรงมาจากอเมริกา ซึ่งขณะนั้นในเมืองไทยยังไม่มีทำ

เดินออกไปดูที่รันเวย์เป็นระยะ ก็เห็นเมฆยังปิดอยู่ จนราว ๙ โมงเรืออากาศเอกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักบินผู้อาสาจะขับเครื่องบินไปส่งเองและเข้ามาคุยด้วยหลายครั้ง ก็เข้ามาบอกว่าเครื่องบินออกได้แล้ว และพาไปขึ้นเครื่องที่จะออกเป็นลำแรก แต่พอขึ้นบันไดโผล่ประตูเครื่องเข้าไปก็ต้องชะงัก ที่นั่ง ๒ แถวทั้งซ้ายขวามีทหารในชุดสนามนั่งกันเต็มแล้ว เราจึงถอยลงมา เรือเอกนายนั้นจึงขึ้นไปสั่งให้ทหาร ๕ คนลงมารอไปเที่ยวหลัง แล้วให้คณะของเราขึ้นไปแทน

ผู้เขียนยอมรับขึ้นเครื่องบินเที่ยวนี้ตื่นเต้นกว่าขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเสียอีก เพราะนอกจากสภาพเครื่องบินจะแสดงว่าถูกใช้งานมาอย่างหนักแล้ว ทหารทุกคนที่ถูกส่งไปรบมีอาวุธปืนครบมือ และยังห้อยระเบิดมือไว้ที่เอวและที่อก พะรุงพะรัง หวั่นใจว่าถ้าใครทำตกซักลูกคงเป็นเรื่องแน่ โดยเฉพาะขณะบิน จึงนั่งก้มหน้าข่มจิตข่มใจและนึกปลงว่า แค่สร้างหนังไทยก็ต้องเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้เชียวหรือ เพียง ๑๕ นาทีที่บินมา ก็รู้สึกว่าเครื่องบินเหวี่ยงตัวฉวัดเฉวียน แล้วลงจอดบนรันเวย์ได้เรียบร้อย

ขากลับดีขึ้นหน่อย เพราะเครื่องบินจะกลับไปรับทหารอีก ผู้โดยสารจึงมีชาวบ้านจากภูเขาควาย ๒ คนขออาศัยเดินทางเข้าเวียงจันทน์ด้วย รวมกับผู้เขียนจึงมีแค่ ๓ คน เลยเข้าไปนั่งด้านหน้าใกล้หลังนักบิน มองทะลุผ่านกระจกหน้าออกไปได้ แต่ใจก็ยังไม่หายกระวนกระวายแม้เพียง ๑๕ นาทีเท่านั้น คอยจ้องดูว่าเมื่อไหร่จะเห็นรันเวย์เสียที สักครู่ใจก็ชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อรันเวย์ปรากฏขวางอยู่ข้างหน้า เครื่องบินลดระดับต่ำลงและพุ่งตรงเข้าไป ทำให้แปลกใจขึ้นมาอีกว่า ทำไมไม่ตีวงไปทางหัวรันเวย์ หรือจะเลยไปไม่ลงที่รันเวย์นี้ แต่เมื่อเข้าไปใกล้และลดระดับบินลงต่ำ เครื่องบินก็ตีวงเลี้ยว ๙๐ องศาลงกลางรันเวย์เลย และลงจอดอย่างเรียบร้อยเช่นเคย

นี่คือวิธีขับเครื่องบินของนักบินรบลาว ถ้าเอ้อละเหยลอยลมลดระดับลงทีละน้อยอย่างคนอื่นเขาขับกัน ก็จะถูกสอยร่วงก่อนถึงรันเวย์แน่ นักบินลาวในสงครามกลางเมืองครั้งนั้นที่ยังเหลืออยู่ จึงถือได้ว่าเป็นมือระดับพระกาฬ ส่วนที่มือไม่ถึงระดับนี้ได้ตกตายไปหมดแล้ว

เมื่อสงครามเวียดนามใต้และลาวดุเดือดขึ้นในปี ๒๕๐๗ กองทัพอากาศลาวเป็นกุญแจสำคัญในการปฏิบัติการทางอากาศบริเวณชายแดนเวียดนามเหนือและเส้นทางโฮจิมินท์ นายพลท้าวมา แม่ทัพอากาศลาว เป็นผู้สั่งบัญชาการทิ้งระเบิดเส้นทางโฮจิมินท์ด้วยตนเอง และส่งกำลังทางอากาศเข้าช่วยปฏิบัติการของกองพลลับในภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย สิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดก็คือ เป็นผู้คิดดัดแปลงเครื่องบินขึ้นแบบหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า เอซี-๔๗ โดยคำนึงถึงว่า ขบวนการปะเทดลาวมักจะเข้าโจมตีในเวลากลางคืน ซึ่งเวลานั้นเครื่องบินต่อสู้ ที-๒๘ หรือ “เต-ซาวแปด” ที่ลาวใช้อยู่ต้องจอดสงบนิ่งไม่สามารถบินขึ้นได้ ท้าวมาจึงหาทางที่จะสนับสนุนการรบในเวลากลางคืนให้แก่ทหารฝ่ายรัฐบาล จึงได้คิดนำปืนคาร์ลิเบอร์มาติด ซี-๔๗ ซึ่งเป็นเครื่องบินลำเลียง เขาจึงลดการปฏิบัติการลำเลียงลง เปลี่ยนเอาเครื่องมาเป็นเครื่องบินระดมยิงให้มาก

ตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ การเมืองลาวมีปัญหา รัฐบาลอเมริกันซึ่งกุมชะตาชีวิตลาวในขณะนั้น ไม่อยากเผชิญหน้ารัสเซียในปัญหาลาว จึงสั่งให้นายพลภูมี หน่อสวรรค์ ยุบรัฐบาลฝ่ายขวา เพื่อตั้งรัฐบาลผสม ๓ ฝ่ายขึ้นแทน นายพลภูมีไม่ยินยอม แม้จะถูกขอร้องเป็นการส่วนตัวจากประธานาธิบดีเคนเนดี้ สหรัฐจึงตัดเงินช่วยเหลือที่เคยให้รัฐบาลนายพลภูมีปีละ ๓ ล้านดอลลาร์ทันที ฉะนั้นเพื่อจะไม่ต้องง้ออเมริกา นายพลภูมีจึงคิดหารายได้อย่างอื่นมาช่วยจุนเจือกองทัพและรัฐบาลฝ่ายขวา
ในประเทศยากจนอย่างลาวที่มีประชากรเพียง ๓ ล้านคน ไม่มีทางออกทางทะเล และขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ จะมีธุรกิจอะไรที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำได้ นอกจากธุรกิจ ๒ อย่างที่ลาวทำมาก่อน นั่นคือการค้าฝิ่นและทองเถื่อน

ไม่น่าเชื่อว่าประเทศยากจนอย่างลาว เคยสั่งทองคำแท่งเข้าประเทศสูงถึงปีละ ๗๒ ตัน รัฐบาลสามารถเก็บภาษีขาเข้า ๘.๕ เปอร์เซ็นต์จากทองอย่างเดียว ก็เป็นเงินสูงถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณประเทศ จากนั้นก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าทองเหล่านี้จะเดินทางต่อไปไหน แต่เป็นที่รู้กันว่า ปลายทางของมันคือลักลอบเข้าไทยและเวียดนาม

การค้าฝิ่นเป็นธุรกิจที่สำคัญอีกอย่างของลาว ในประเทศที่ยากจนไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีผลผลิตอะไรราคาดีไปกว่าฝิ่น นอกจากนั้นฝิ่นยังเป็นพืชเศรษฐกิจของชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศ และมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการปลูกฝิ่น

การตัดสินใจช่วยตัวเองโดยไม่ง้ออเมริกานี้ ทำให้นายพลภูมีรวบอำนาจการค้าฝิ่นมาจากพ่อค้าจีนและกลุ่มวายร้ายคอร์ซิกันจากฝรั่งเศสมาทำเสียเอง แทนการเก็บเพียงค่าคุ้มครองอย่างแต่ก่อน ตอนนั้นกิจการค้าฝิ่นกำลังรุ่งเรืองในลาว ทั้งฝิ่นที่ผลิตขึ้นเองในประเทศโดยชาวเขาเผ่าม้งและเย้า กับฝิ่นพม่าที่ขนเข้ามาโดยกองพลก๊กมินตั๋งและกองกำลังรัฐฉาน การตัดสินใจของนายพลภูมีทำให้ธุรกิจฝิ่นของลาวเฟื่องฟูยิ่งขึ้นอีก จนภาคเหนือของลาวกลายเป็นศูนย์กลางผลิตเฮโรอินใหญ่ที่สุดของโลก

แต่ธุรกิจการค้าแม่ทองดำที่ทำกำไรมหาศาลนี้ ได้กลายเป็นชนวนให้เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๐๗ โดยนายพลอ้วน ราทิกุล ผู้บัญชาการกองทัพที่ ๑ และนายพลกุประสิทธิ์ อภัย ลูกน้องคู่ใจของนายพลภูมีเอง ซึ่งนอกจากไม่พอใจการแบ่งผลประโยชน์ที่ทั้งสองเป็นผู้ลงมือลงแรงแล้ว ยังไม่พอใจที่นายพลภูมียอมอ่อนข้อตั้งรัฐบาลผสม มอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้เจ้าสุวรรณภูมาฝ่ายเป็นกลาง จนฝ่ายขวาเสียเปรียบ การรัฐประหารครั้งนี้ทำให้นายพลภูมีเสียอำนาจทางการเมืองและอาณาจักรการเงิน แม้จะพยายามยึดอำนาจคืนแต่ก็ไม่สำเร็จ ต้องเกาะต้นกล้วยว่ายน้ำข้ามโขงมาลี้ภัยในเมืองไทย จนเสียชีวิตที่จังหวัดสงขลา

พอยึดอำนาจทางการเมืองมาได้ สองผู้ชนะก็จัดสรรอาณาจักรการเงินของนายพลภูมีกันอย่างเบิกบาน และขจัดทุกฝ่ายออกจากธุรกิจการค้าแม่ทองดำในเขตอิทธิพลของตัว แม้แต่พวกคอร์ซิกันที่นำเครื่องบินเล็กหลายลำมารับจ้างขนฝิ่นจากยอดดอยต่างๆสู่เวียงจันทน์จนได้ฉายาว่า “แอร์โอเพี่ยม” ก็ถูกขจัดออกไปหมด

การขจัดการบินแอร์โอเพี่ยมออกไปจากวงจรฝิ่น เป็นความผิดพลาดอย่างมากของนายพลอ้วน เพราะฝิ่นลาวต้องขนทางเครื่องบินเท่านั้น ที่ราบส่วนใหญ่อยู่ในการยึดครองของขบวนการปะเทดลาว ขณะที่นายพลวังเปาใช้เครื่องบินแอร์อเมริกาของ ซีไอเอ.ขนฝิ่นในภาคตะวันออกเฉียงใต้มาสู่ล่องแจ้งได้สะดวก แต่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของนายพลอ้วน กลับมีปัญหาเรื่องนี้หนัก
ด้วยเหตุนี้ ในราวกลางปี ๒๕๐๘ นายพลท้าวมา ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งประจำอยู่ที่สุวรรณเขตจึงได้รับเชิญจากนายพลอ้วน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้มาคุยกันที่เวียงจันทน์ นายพลท้าวมาไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะถูกเชิญมาคุยเรื่องอันใด จนกระทั่งมานั่งโต๊ะอาหารร่วมกับนายพลอ้วน นายพลกุประสิทธิ์ พร้อมด้วยนายพลอุดร ชนะนิกร นายพลกุประสิทธิ์เป็นผู้เปิดฉากการเจรจาด้วยการเอียงหน้ามาถามนายพลท้าวมาอย่างยิ้มแย้มว่า

“อยากรวยไม๊”

“อ๋อแน่” แม่ทัพอากาศลาวตอบ

นายพลกุประสิทธิ์จึงเสนอว่า จะจ่ายเงินให้ท้าวมาสัปดาห์ละ ๑ ล้านกีบ (ราว ๔๐,๐๐๐ บาทในยุคนั้น) ถ้าท้าวมาจะยอมให้เอาเครื่องบิน ซี-๔๗ มาขนฝิ่น
สามนายพลเจ้าภาพมีความรู้สึกเหมือนกันคืองงงันมาก เมื่อแม่ทัพอากาศเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นขึงขังขึ้นมาทันที นอกจากจะปฏิเสธโดยเด็ดขาดแล้ว ยังเตือนสามนายพลที่มีอำนาจล้นฟ้าในขณะนั้นว่า ถ้ายังขืนไปให้สินบนนักบินของเขาอีก เขาจะเข้าขัดขวางด้วยตัวเอง

นายพลลาวน้อยคนนักที่จะปฏิเสธเงินจำนวนมากๆอย่างนี้ แต่ในจำนวนน้อยนี้ก็มี นายพลท้าวมา ชายชาตินักรบ ผู้ถือว่าปฏิบัติการทางทหารสำคัญกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวรวมอยู่ด้วย

ถึงแม้จะพยายามใช้กำลังภายในหลายด้านเข้าบีบ นายพลท้าวมาก็ไม่ยอมอยู่ดี จนกลางปี ๒๕๐๙ นายพลอ้วนเห็นว่าถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป กองคาราวานฝิ่นขบวนใหญ่ของก๊กมินตั๋งและกองกำลังรัฐฉาน ก็จะเปลี่ยนเส้นทางไม่เข้าลาว ฉะนั้นกองทัพอากาศจึงถึงเวลาเปลี่ยนผู้บัญชาการได้แล้ว

ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๙ นายพลท้าวมาถูกผู้บัญชาการทหารสูงสุดเรียกตัวไปตำหนิที่เวียงจันทน์ และแผนกขนส่งทางอากาศก็ถูกตัดออกจากการบังคับบัญชาของเขา นอกจากนั้นยังได้รับคำสั่งให้ย้ายกองบัญชาการเข้ามาอยู่ที่เวียงจันทน์ ถึงตอนนี้นายพลท้าวมาก็อ่านออกว่า ถ้าเขาย้ายเข้ามาอยู่ในเขตอิทธิพลของนายพลกุประสิทธิ์เมื่อใด เขาก็จะถูกลอบสังหารแน่ จึงขอผลัดยืดเวลาย้ายออกไปอีก ๖ เดือน ไม่ยอมเข้ามาเวียงจันทน์

ในระหว่างนี้ นายพลท้าวมาพยายามวิ่งเต้นขอความช่วยเหลือทั้งจากฝ่ายอเมริกัน นายพลกองแล จนถึงเจ้ามหาชีวิต แต่ไม่มีใครช่วยได้ ท้าวมาจึงอยู่ในอาการกระวนกระวายกลัดกลุ้ม ฉะนั้นในเดือนตุลาคมซึ่งเป็นกำหนดเส้นตาย ท้าวมาจึงตัดสินใจช่วยตัวเอง

๗.๐๐ น.ของวันที่ ๒๒ ตุลาคม เครื่องบินต่อสู้ ที-๒๘ ฝูงหนึ่งก็บินออกจากสุวรรณเขต มุ่งสู่นครเวียงจันทน์ ทันทีที่มาถึงเมื่อเวลา ๘.๒๐ น. ระเบิดลูกแรกก็ถูกปลดลงใส่กองบัญชาการเสนาธิการ หลังที่เป็นที่ทำการของนายพลกุประสิทธิ์ จากนั้นก็ระดมยิงใส่กองบัญชาการอย่างหนัก ฝูงบินยังแปรขบวนไประดมยิงบ้านพักนายพลกุประสิทธิ์ที่ค่ายจินายโม้ แต่นายพลกุประสิทธิ์แคล้วคลาด คนตายไปกว่า ๓๐ คน

เมื่อปฏิบัติการอย่างสะใจแล้ว ฝูงบินก็บินกลับสุวรรณเขต แต่ทางเวียงจันทน์ยังไม่หายผวา เกรงว่าจะถูกถล่มอีกระลอก หลังจากได้รับการขอร้องจากรัฐบาลลาวและทางการอเมริกันให้ยุติปฏิบัติการจองเวรและออกนอกประเทศไปเสีย ท้าวมาและกลุ่มเสืออากาศของเขาก็บินออกจากสุวรรณเขตเมื่อ ๑.๒๐ น.ในคืนนั้น ข้ามมาลงฝั่งไทย

ลาวได้ขอให้ทางการไทยส่งตัวท้าวมากลับไปรับโทษ แต่ไทยอ้างว่าไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาคดีการเมืองกลับไปได้ ลาวจึงตั้งข้อหาใหม่เป็น “ลักทรัพย์” ฐานขโมยเครื่องบินมา แต่ไทยก็ไม่ยอมอยู่ดี และอนุญาตให้ท้าวมาลี้ภัยอยู่ได้
เพราะเอาแต่รบโดยไม่ได้กอบโกยเงินทองไว้อย่างนายพลคนอื่นๆ ท้าวมาจึงต้อง “แบกจ็อบ” ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานภาคพื้นดินของบริษัทแอร์ฟรานซ์อยู่ที่ดอนเมือง และในช่วงที่ทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองไทย ความแค้นของนายพลท้าวมาก็ยังกรุ่นอยู่ในอกไม่ยอมมอดดับ จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๘ เป็นเวลาถึง ๙ ปีเต็ม ความแค้นของท้าวมาก็ระอุขึ้นมาอีก นัดแนะกับพรรคพวกได้กลุ่มหนึ่งลักลอบข้ามโขงไปเวียงจันทน์ เข้ายึดเครื่องบิน ที-๒๘ ได้ฝูงหนึ่ง บินขึ้นจากสนมบินวัดไต จะถล่มเวียงจันทน์อีกครั้ง แต่เคราะห์ร้าย เครื่องบินลำของท้าวมาหัวหน้าฝูงเกิดขัดข้องต้องร่อนลง ตามรายงานข่าวกล่าวว่า เขาถูกทหารฝ่ายรัฐบาลลากตัวออกมาจากเครื่อง แล้วรุมแทงด้วยดาบปลายปืนจนนับแผลไม่ถ้วน

เป็นการปิดฉากชีวิตของชายชาตินักรบ ผู้ไม่ยอมก้มหัวให้เงินฝิ่น

นี่ก็เป็นเหตุการณ์ในอดีตของ สปป.ลาว ที่การเมืองแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย จนเกิดเป็นสงครามกลางเมือง ประเทศชาติเสื่อมโทรม ประชาชนยากแค้นแสนสาหัส หาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่ได้ จนกระทั่งขบวนการปะเทดลาวเข้ายึดครองประเทศได้เด็ดขาดแต่ฝ่ายเดียว นำความสงบสุขกลับมา นำประเทศชาติก้าวสู่ความร่มเย็นเป็นสุขและรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างเกินความคาดหมาย ซึ่งจะเป็นบทเรียนสำหรับประเทศที่สงบร่มเย็นเป็นสุขที่สุดในโลกแล้ว อย่ายอมให้ใครมุ่งยุแยกให้คนในชาติแตกกันเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างลาวในอดีต
กำลังโหลดความคิดเห็น