การเดินทางไปประเทศอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นเรื่องที่ลำบากลำเค็ญอยู่แล้ว ยิ่งเดินทางไปในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็เพิ่มเรื่องเสี่ยงตายเข้าไปอีก แต่ก็ยังมีนักเรียนไทยจำนวนหนึ่งเสี่ยงชีวิตไปหาวิชาความรู้ ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่กองทัพเยอรมันถล่มกรุงลอนดอนอย่างหนัก และยังเดินทางกลับไทยในช่วงที่สงครามยังไม่เลิก ถูกเรือดำน้ำเยอรมันจมเรือที่โดยสารมา ผู้โดยสารกว่า ๓๐๐ คนรอดชีวิตได้เพียง ๓๑ คน มีนักเรียนไทยอยู่ในเรือลำนี้ด้วย ๓ คน คนหนึ่งเป็นหม่อมเจ้า อีกคนหนึ่งเป็นหม่อมราชวงศ์ ทั้งสองท่านเพิ่งจบวิชาการคลังมาจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ต้องเสียชีวิตไปด้วย อีกท่านหนึ่งรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ ได้นำเรื่องนี้มาเล่าไว้
ท่านที่เล่าเรื่องนี้ก็คือ พระยาจินดารักษ์ (จำลอง สวัสดิ์-ชูโต) ข้าราชสำนักในรัชกาลที่ ๖ ซึ่งถูกส่งไปในประเภทนักเรียนผู้ใหญ่ที่รับราชการแล้ว มีหลักสูตรเพียง ๖ เดือนถึง ๑ ปี และให้ดูงานได้อีก ๖ เดือน ขณะนั้นท่านมีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวง” ต่างกับนักเรียนที่จบหลักสูตรมัธยม ต้องไปเรียนต่อในหลักสูตรปริญญาหลายปี และเมื่อท่านรอดชีวิตกลับมา ก็ได้สร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติไว้มากมาย เช่นเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาในระหว่างปี ๒๔๗๔-๒๔๗๖ เป็นอธิบดีกรมพลศึกษา สมาชิกวุฒิสภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการสภาวัฒนธรรม และเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย เป็นต้น
คุณหลวงได้ออกเดินทางไปในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๕๘ ซึ่งสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้เกิดขึ้นเกือบปีแล้วในยุโรป และได้เริ่มเห็นบรรยากาศสงครามเมื่อเรือเข้าคลองสุเอซ ต้องตั้งกระสอบทรายเป็นบังเกอร์ไว้ที่กราบเรือด้านขวา เพราะเพิ่งมีทหารตุรกีจะมายึดคลองสุเอซ แม้พ่ายแพ้ไปก็ยังมีทหารแม่นปืนซุ่มอยู่ แต่การเดินทางเที่ยวนี้โชคดี ไปถึงเมืองมาร์เซลล์ในฝรั่งเศสโดยสวัสดิภาพ
จากนั้นก็ต้องข้ามช่องแคบไปอังกฤษ แม้จะเป็นระยะทางราว ๑๕ ไมล์เท่านั้น แต่ก็อันตรายเพราะมีเรือดำน้ำเยอรมันซุ่มคอยโจมตีอยู่ ต้องใช้เรือที่มีความเร็วสูง มีเรือรบคุ้มกัน และยังมีเครื่องบินอีก ๒-๓ ลำคุมไปด้วย การเดินทางช่วงนี้ก็แคล้วคราด
เกาะอังกฤษนั้นถือกันว่าเป็นดินแดนปลอดภัย ยังไม่เคยมีข้าศึกสัตรูข้ามไปเหยียบได้ แม้แต่พระเจ้านโปเลียนที่มีกองทัพอันเกรียงไกรก็ต้องพ่ายแพ้เมื่อจะข้ามไปเกาะอังกฤษ ฉะนั้นขณะที่ฝรั่งเศสเกือบร้างผู้คนในเมือง มีแต่ทหารเดินกันเกลื่อน แต่ที่กรุงลอนดอนยังสนุกสนาน โรงหนัง โรงละคร ภัตตาคาร เปิดกันตามปกติ ผู้คนยังเที่ยวเตร่อย่างสนุกสนานแน่นขนัดไปทุกถนน กลางคืนก็สว่างไสวไปทั้งเมือง
แต่แล้วคืนหนึ่งประมาณ ๓ ทุ่ม ขณะที่คุณหลวงกับเพื่อนคนไทยอีก ๒ คนไปดูละครที่พิคคาเดลลีอย่างเพลิดเพลิน ก็มีเสียงปืนดังขึ้นภายนอก นักดูละคร ๓-๔ ร้อยคนต่างตะลึงหันหน้ามองไปมาเลิกลัก จากนั้นก็มีเสียงปืนคำรามขึ้นอีก ๒-๓นัด ทุกคนจึงลุกขึ้นด้วยอาการตกใจ มีเสียงร้องขึ้นว่า “เสียงปืน...เยอรมัน..เยอรมัน...เยอรมันโจมตีทางอากาศ” ทุกคนต่างวิ่งพลูกันออกจากโรงละครอย่างไม่คิดชีวิต สมทบกับฝูงชนข้างนอกที่ตกใจไม่แพ้กัน ไหลไปตามถนนมุ่งสู่สถานีรถไฟใต้ดิน
รุ่งเช้าจึงโจษขานกันว่าเยอรมันใช้เรือเหาะเข้ามาโจมตีที่สถานีเวอร์เตอร์ลู นอกจากเหยียบกันตายแล้ว ตึกแถวหลังหนึ่งพัง รถเมล์คันหนึ่งถูกระเบิดจนหาชิ้นดีไม่ได้ ไม่รู้ว่ามีคนตายไปกี่คน แต่หนังสือพิมพ์รายงานข่าวว่า เยอรมันเข้ามาโจมตีทางอากาศด้วยเรือเหาะ แล้วถูกขับไล่หนีรอดไปได้ ไม่มีความเสียหายแต่อย่างใด
คนอังกฤษที่ลำพองใจว่าไม่มีใครจะมาตีกรุงลอนดอนได้ จึงเริ่มตื่นหันมาเตรียมป้องกันภัยทางอากาศ มีการพรางไฟจนมืดหมดไปทั้งเมือง
เรือเหาะเป็นอาวุธอย่างใหม่ของเยอรมัน มีสมรรถภาพเหมือนป้อมในอากาศ มีทั้งปืนใหญ่และปืนกล ลอยตัวได้สูงมาก ปีนภาคพื้นดินยิงไม่ถึง ส่วนเครื่องบินที่มีแค่ปืนกลก็บินเข้าไปใกล้ไม่ได้ จึงเป็นที่หวาดหวั่นของคนอังกฤษมาก มีการตั้งเงินรางวัลให้ผู้กล้าหาญที่สามารถทำลายเรือเหาะได้
เยอรมันได้ใช้เรือเหาะโจมตีกรุงลอนดอนอีก ๒-๓ ครั้ง วันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใส คุณหลวงกำลังฟังปาฐกถาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ก็ได้รับคำสั่งให้เข้าที่กำบัง นักศึกษาหลายคนวิ่งลงไปหลบอยู่ที่ชั้นล่าง แต่คุณหลวงกับเพื่อนชาวสเปนคนหนึ่งอยากรู้อยากเห็นจึงวิ่งไปดูข้างนอก ได้ยินเสียงปืนมาแต่ไกล และใกล้เข้ามาทุกทีจนมีการสั่นสะเทือน เพื่อนแหงนหน้าขึ้นดูแล้วร้องว่า
“นั่นแน่ะ กำลังอยู่บนหัวเราพอดี”
บนท้องฟ้าสีน้ำเงิน มีกลุ่มควันกลมๆอันเกิดจากการระเบิดของกระสุนแตกลอยอยู่เป็นหย่อมๆ เห็นเรือเหาะเยอรมันรูปร่างเหมือนซิการ์ ลอยอยู่เหนือกลุ่มควันขึ้นไป แล้วดั้นเมฆลับๆล่อๆอยู่พักหนึ่งก็หายไปพร้อมเสียงปืน เมื่อวิ่งเข้าไปดูในเมืองก็เห็นภาพสยดสยอง แท็กซี่คันหนึ่งหลังคาเปิด คนขับหัวขาดยังนั่งอยู่ในที่ขับ ข้างๆมีหลุมลึกจากระเบิด โรงละครวัตถุโบราณของชาติ ถูกแรงระเบิดสั่นสะเทือนจนหลังคายุบลงมา มีผู้บาดเจ็บหลายคน หน้าต่างกระจกของตึกแถวนั้นหลายสิบหลังแตกกระจาย
วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์รายงานข่าวว่า มีนักบินผู้กล้าคนหนึ่ง ลอบบินขึ้นไปอยู่เหนือเรือเหาะที่มีข้อด้อยที่เคลื่อนไหวช้า แล้วทิ้งระเบิดใส่ในขณะที่เรือเหาะออกไปนอกเขตชุมชน ถูกเรือเหาะจนเกิดไฟไหม้เพราะใช้ก๊าซตกลงมา ลูกเรือที่ไม่มีร่มชูชีพโดดหนีไฟลงมากระแทกพื้น ย่นไปทั้งตัวเหมือนแอคคอร์เดียน ชันสูตรพลิกศพไม่ได้
เยอรมันจึงเลิกใช้เรือเหาะ หันไปใช้ฝูงบินถล่มกรุงลอนดอนทั้งกลางวันกลางคืน วันหนึ่งนับได้ ๓๕ เครื่อง อังกฤษคงได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่หนังสือพิมพ์เสนอข่าวแต่เพียงว่า เด็กบ้าง ยายแก่บ้าง หรือสุนัขตายตัวสองตัว คนสองคน ทั้งนี้เป็นวิธีเสนอข่าวยามสงครามเพื่อไม่ให้ทหารที่อยู่แนวหน้าห่วงหน้าพะวงหลัง
อังกฤษไม่ได้ถูกโจมตีเฉพาะทางอากาศเท่านั้น แต่ทะเลรอบเกาะอังกฤษก็ถูกปิดล้อมด้วยกองเรือของเยอรมัน ทั้งนี้แม้อังกฤษเป็นมหาอำนาจ แต่ก็พึ่งตัวเองไม่ได้ วัตถุดิบทางอุตสาหกรรมต้องมาจากต่างประเทศและเมืองขึ้น อาหารการกินก็ต้องพึ่งประเทศอื่น เรียกว่าต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ เยอรมันจึงบีบจมูกเสียด้วยการปิดล้อมเกาะ อังกฤษเป็นเจ้าทางทะเล เยอรมันจึงปิดล้อมด้วยเรือใต้น้ำ ทำให้อังกฤษติดต่อกับต่างประเทศได้ลำบาก ต้องจำกัดการใช้น้ำมันและอาหาร รัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกาจำกัดขนมปังอาหารหลัก ซึ่งทำให้การบริโภคขนมปังลดลง แต่ไปเพิ่มเนื้อสัตว์ขึ้นมาก จึงเลิกจำกัดขนมปัง ไปจำกัดเนื้อ เนย น้ำตาล แทน
คุณหลวงผจญภัยจนจบหลักสูตรได้เวลากลับประเทศไทยแล้ว ตอนนั้นสงครามก็ยังอยู่ในขั้นร้อนแรง การเดินทางกลับมีอยู่ ๓ เส้นทาง คือ
เส้นทางที่ ๑ ทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าคลองสุเอซ ซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด แต่อันตรายที่สุด โดยเฉพาะตอนเข้าช่องแคบยิบรอลตา ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นเหมือนเป็นกระป๋องปลาเรือดำน้ำเยอรมัน ทั้งยังเกลื่อนไปด้วยทุ่นระเบิด เส้นทางนี้จึงไม่มีใครใช้กันเลย
เส้นทางที่ ๒ เป็นทางอ้อมทวีปแอฟริกา ผ่านเคปทาวน์ มีอันตรายเฉพาะตอนออกจากเกาะอังกฤษ โดยเฉพาะอ่าวที่จะออกไปทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แม้จะเสียเวลาเดินทางมาก แต่ค่าเรือถูกหน่อย จึงเป็นเส้นทางที่ใช้กัน
เส้นทางที่ ๓ เป็นเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางอเมริกา ผ่านญี่ปุ่นและจีน มีอันตรายเฉพาะตอนออกจากเกาะอังกฤษเท่านั้น พอออกมาแล้วก็ไม่มีอันใดจากการรบ ทั้งยังเป็นเส้นทางสนุกสนานได้ชมบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองหลายแห่ง แต่ทว่ามีค่าใช้จ่ายมากที่สุด
คุณหลวงก็อยากจะกลับมาในเส้นทางที่ ๓ นี้ แต่ไม่ได้รับการอนุมัติค่าเดินทาง จึงต้องกลับในเส้นทางที่ ๒ ซึ่งขณะนั้นเรือดำน้ำเยอรมันกำลังอาละวาด คุณหลวงจึงบ่ายเบี่ยงไปดูงานราชทัณฑ์และสก็อตแลนด์ยาร์ด ดึงเวลาไว้ก่อน แต่ดึงได้พักหนึ่งก็ต้องกลับ
เรือที่พากลับมาเป็นเรือโดยสารของญี่ปุ่น มีชื่อ ฮิราโนมารู ลูกเรือเป็นญี่ปุ่น แต่กัปตันเป็นฝรั่ง ออกจากท่าเมืองลิเวอร์พูลไปคอยขบวนเรือที่ปากน้ำ ๑ คืน ขบวนเรือนี้มีถึง ๑๔ หรือ ๑๕ ลำ มีเรือพิฆาตตอร์ปิโดของกองทัพเรืออเมริกันคุมไป ๒ ลำ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๔๖๑ จึงออกเดินทางในเวลา ๑๗.๑๕ น. มีคนไทยกลับมา ๓ คน นอกจากคุณหลวงแล้ว มีหม่อมเจ้าและหม่อมราชวงศ์อีก ๒ ท่าน ที่จบวิชาการคลังจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
รัฐบาลอังกฤษได้กวดขันความปลอดภัยในการคมนาคมทางทะเลยามนั้นมาก ออกกฎระเบียบไว้ว่า เรือทุกลำต้องระวังไม่ให้มีแสงปรากฏบนตัวเรือเลย ต้องปิดบังให้มิด ต้องมีเรือชูชีพให้เพียงพอแก่ผู้โดยสารและคนเรือ ในเรือชูชีพจะต้องมีน้ำ อาหารไว้ให้พอควร และผูกโยงไว้นอกตัวเรือให้พร้อมที่จะหย่อนลงน้ำได้ทันที ต้องมีชูชีพไว้ให้คนบนเรืออีกนอกจากแจกจ่ายให้ผู้โดยสารและลูกเรือทุกคนแล้ว ต้องมีบัญชีรายชื่อว่าผู้โดยสารคนใดต้องลงเรือชูชีพลำใด จะใช้สัญญาณเหตุฉุกเฉินอย่างไร ให้ผู้บังคับการเรือต้องชี้แจงให้ผู้โดยสารทราบโดยทั่วกัน ซึ่งผู้บังคับการเรือฮิราโนมารูได้ทำการซักซ้อมทั้งขณะจอดในแม่น้ำ และระหว่างเดินทางรวม ๓ ครั้ง
คุณหลวงเล่าว่า ในวันที่ ๓ ตุลาคม เมื่อเรือออกทะเลรู้สึกเมาคลื่น จึงขึ้นไปนอนบนดาดฟ้าเรือจน ๒๑.๐๐ น.จึงลงมาห้องนอน ถอดเสื้อกางเกงชั้นนอกออกเหลือแต่ชั้นใน หลับไปได้พักหนึ่งก็ต้องตกใจตื่นด้วยเสียงโครมครามของถ้วยชามตู้โต๊ะล้ม เรือสะท้านไปทั้งลำเหมือนเกยหินโสโครก คุณหลวงไม่สงสัยเลยว่าต้องถูกเรือเยอรมันยิงเข้าแล้ว รีบลุกขึ้นควานหาเครื่องชูชีพ แต่ก็ไม่พบ จนเพื่ออีกคนตื่นขึ้นมาเปิดไฟจึงได้สติ ฉวยเครื่องชูชีพได้ก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือ แต่ไม่พบใครเลย สักครู่เพื่อนร่วมห้องที่เป็นฝรั่งก็วิ่งตามมา แต่เสียขวัญจนตัวสั่น เสื้อชูชีพที่ซ้อมมาแล้วก็ใส่ไม่ถูก วิ่งร้องเหมือนคนบ้าให้ช่วยใส่ พอใส่ให้แล้วแกก็รีบปีนขึ้นไปนั่งบนเรือชูชีพ แต่หลายคนรวมทั้งคุณหลวงยังยืนรอให้มีนายเรือหรือกลาสีโรยเรือลงมาก่อนตามที่ซ้อมกันมา แต่ก็ยังไม่มีคนเรือมาโรยเลย หลายคนจึงปีนขึ้นไปนั่งเอง
คุณหลวงยืนรออยู่กับเพื่อนคนไทยอีก ๒ คน รู้สึกหนาวสะท้านเพราะใส่แต่ชุดชั้นใน พลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนที่เรือแตกนั้นมิได้ตายด้วยการจมน้ำเท่านั้น แม้แต่ลงเรือชูชีพไปได้ก็ยังตายด้วยขาดน้ำขาดอาหารและหนาวตาย จึงรีบวิ่งลงไปที่ห้องนอนชั้นล่าง ใจหนึ่งก็คิดว่าขณะลงไปเรือเกิดระเบิดก็คงจมไปกับเรือ หรือกลับขึ้นมาเขาไปกันหมดแล้วจะทำยังไง แต่ก็ต้องเสี่ยง พอไปถึงก็รีบหยิบเสื้อกางเกงชั้นนอกใส่ และไม่ลืมเสื้อกั๊กชูชีพพิเศษ ซึ่งมีกระเป๋าสำหรับใส่ขวด ๒ ใบ ใบหนึ่งสำหรับใส่น้ำ อีกใบสำหรับใส่เหล้า และมียางเหมือนยางในรถยนต์รอบอกสำหรับเป่าอัดลม เป็นเสื้อชูชีพที่เพื่อนคนไทยคนหนึ่งซื้อไว้ คุณหลวงเอาเครื่องอัดกางเกงขอแลกมา แค่นั้นยังไม่พอ ยังเอาเสื้อโค๊ตสวมทับเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง แล้วรีบวิ่งกลับขึ้นไปที่ดาดฟ้า เคราะห์ดีที่เพื่อนยากทั้งสองก็ยังยืนคอยอยู่ เรือชูชีพก็ยังไม่ได้โรยลงน้ำ ไม่มีคนเรือมาแตะต้อง แต่คนไทยทั้งสามก็ยังยืนคอยต่อไป ตอนนี้กลัวจนหายกลัวกันไปแล้ว
ขณะนั้นพระอาทิตย์เริ่มไขแสง เห็นคนตะคุ่มอยู่ในน้ำ บ้างก็ส่งเสียงครวญคราง บ้างก็เรียกให้ช่วย แต่ใครจะช่วยใครได้ และไม่รู้จะช่วยอย่างไร คนไทยทั้งสามคอยจนหัวเรือค่อยๆจมลงในน้ำ ท้ายเรือโด่ง ถ้ายืนอยู่ต่อไปคงจมไปกับเรือแน่ แต่ก็ไม่รู้จะไปไหนดี จึงปีนขึ้นไปอยู่บนเรือชูชีพกับเขาบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้คิดถึงว่า ถ้าเรือใหญ่จม ขึ้นไปอยู่บนเรือชูชีพที่ผูกติดกับเรือใหญ่ มันจะรอดตายได้อย่างไร ยามนั้นคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น
แต่พอจะหย่อนก้นลงนั่งในเรือชูชีพ ก็เกิดเสียงระเบิดอย่างหูดับตับไหม้ ผงไม้และเศษไม้ปลิวว่อน เรือชูชีพที่หวังพึ่งทำท่าเอียงเหมือนจะคว่ำ พลันก็คิดได้ว่าถ้าอยู่ต่อไปคงจมไปกับเรือใหญ่แน่ ต้องไปให้พ้นเรือใหญ่ ประสาทก็บังคับให้กระโดดลงไปในน้ำทันที จมลงไปครู่หนึ่งเพราะกระโดดลงมาจากที่สูง พอโผล่ขึ้นมาก็ถูกกลาสีเรือชาวญี่ปุ่น ๒ คนตระคลุบไว้ คงนึกว่าเป็นทุ่นที่อาศัยได้ ทั้งยังกดคุณหลวงจนสำลักน้ำเกือบขาดใจตายเพราะคลื่นลมกำลังจัด คุณหลวงเลยต้องเอาชีวิตรอดด้วยการปล่อยหมัดออกไปสุดแรง แล้วโค้งตัวเอาเท้ายันอกคนกดจนหลุดออกมาได้ หลังจากซดน้ำทะเลไปหลายอึก จากนั้นก็ว่ายออกจากเรือใหญ่ไปให้ไกลอย่างสุดชีวิต สักครู่เห็นหีบไม้ฉำฉาใบหนึ่งลอยอยู่เลยเข้าไปเกาะ หันไปดูเรือใหญ่ไม่เห็นเสียแล้ว มีแต่เศษอะไรมิอะไรพุ่งขึ้นมาจากพื้นน้ำตรงที่เรือใหญ่จม
รอบๆตัวได้ยินแต่เสียงร้องไห้ เรียกหากัน ไม่นานเสียงโวยวายก็ค่อยๆหายไปเพราะความเหนื่อยอ่อน คุณหลวงเกาะหีบไม้ลอยไปก็คิดถึงเพื่อน จึงทิ้งหีบไม้ว่ายน้ำเข้าไปหาตามกลุ่มต่างๆ ร้องเรียกชื่อด้วยภาษาไทย แต่ไม่มีเสียงตอบ เรียกทุกกลุ่มจนรู้สึกเหนื่อยอ่อน บังเอิญได้พบไม้กระดานประตูเข้าบานหนึ่งจึงดึงมาเกาะไว้ ลอยไปตามกระแสคลื่นกระแสลม แล้วก็เกิดความคิดว่าถ้าคลื่นแรงอาจจะหลุดมือไปได้ จึงเปลี่ยนเป็นขึ้นนั่งขี่อย่างขี่ม้า มือจับหัวอานไว้ ลอยไปอย่างไม่มีความหวังใดๆ บางครั้งคลื่นใหญ่ก็ซัดเอาร่างผู้ตายหรือเศษไม้มาทิ่มแทง ต้องคอยเอามือผลักให้ออกไป จะเป็นกี่นาที กี่ชั่วโมง กี่วันไม่รู้ จนหนาวสั่นมือเป็นตะคริวเกาะติดกระดาน ไม่สามารถยกขึ้นมาลูบหน้าหรือป้องกันตัวได้ ต้องปล่อยให้เศษไม้มาทิ่มแทง ปล่อยให้ซากศพขึ้นมาขี่คร่อม ไม่มีความรู้สึกใดๆ
คุณหลวงจะสลบหรือลอยอยู่ในทะเลกี่ชั่วโมง กี่วันไม่ทราบ มารู้สึกตัวตื่นขึ้นด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมของคนจีนที่นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมมาในเรื่อฮิราโนมารู แม้เขาจะรอดตายแต่ก็เสียสติไปแล้ว พอลืมตาขึ้นก็เห็นทหารเรืออเมริกันผิวดำคนหนึ่งเข้ามานั่งบนเตียง และถามเป็นภาษาอังกฤษว่า
“เป็นอย่างไรท่าน สบายแล้วหรือ? ประเดี๋ยวนะฉันจะไปหาอะไรมาให้รับประทาน”
สักครู่เขาเอาสับปะรดกระป๋องมาให้ ๒-๓ ชิ้น คุณหลวงรับประทานแล้วก็หลับไปอีกเพราะความอ่อนเพลีย
รุ่งเช้าวันที่ ๕ ตุลาคม จึงได้ตื่นขึ้นด้วยอาการปกติ มองไปรอบๆเห็นเป็นห้องเล็กๆ มีเตียงนอนซ้อนกันเป็นแถวๆ มีเปลผ้าใบแขวนไว้เป็นแห่งๆ และทหารเรือทั้งผิวขาวผิวดำ ในเครื่องแบบบ้าง นอกเครื่องแบบบ้าง นั่งนอนเดินไปมา บ้างร้องเพลง ผิวปาก บ้างคุยกัน แสดงว่าเขาอยู่กันอย่างสุขสำราญ
คุณหลวงนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่ที่มานอนอยู่ในเรือลำนี้ได้อย่างไรไม่รู้ เอามือคลำตามลำตัว ไม่ปรากฏว่ามีอะไรพันกายอยู่เลย มีแต่ขวดน้ำร้อนแนบอยู่ข้างตัวข้างละขวด สักครู่มีนายทหารเรืออเมริกันผิวขาวคนหนึ่งเข้ามาเอามือจับหน้าผาก แล้วถามว่าสบายดีอยู่หรือ คุณหลวงรับว่าสบายดี เขาบอกว่าจะไปเอาอาหารมาให้ คุณหลวงปฏิเสธ เขาจึงเอาน้ำชามาให้ ทำให้คุณหลวงแช่มชื่นขึ้นมากและถามหาเพื่อน ๒ คน เขาตอบว่าอยู่ เขาช่วยมาได้ ๒-๓ คน ทำให้คุณหลวงดีใจพรวดพราดจะลุกขึ้น แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้ตัวว่าไม่มีอะไรพันกาย นายทหารผู้อารีก็เอามือตบไหล บอกว่า
“ประเดี๋ยวก่อน ฉันจะไปหาเสื้อกางเกงมาให้”
เขาหายไปสักครู่ก็เอาชุดกลาสีเรือมาให้ เมื่อแต่งตัวเสร็จก็พาไปที่กราบเรืออีกด้านหนึ่งซึ่งมีผู้โดยสารนอนอยู่เต็ม แล้วชี้ไปที่คนจีนด้วยท่าทางภูมิใจ แล้วบอกว่า
“นี่อย่างไร”
คุณหลวงผิดหวังอย่างแรง ทั้งนี้เกิดจากความเข้าใจผิดของคนผิวขาว ที่คิดว่าคนผิวเหลืองทั้งหมดเป็นคนจีน จึงต้องอธิบายให้ทราบว่า ท่านเป็นคนไทย นั่นเป็นคนจีน ทำให้เขาหน้าสลด เข้ามากอดปลอบใจ แล้วพากลับไปเตียงพัก
หลวงคุณนอนนึกถึงเพื่อนสองคน ตอนที่ปีนขึ้นไปลงเรือชูชีพนั้นได้ชวนเขาขึ้นไปด้วย โดยคุณหลวงขึ้นไปก่อน เขาอาจลังเลหรือขึ้นไปไม่ทันการระเบิดครั้งที่สอง จึงถูกระเบิดไปกับดาดฟ้าเรือด้วยก็ได้
นอนคิดถึงเพื่อนด้วยความสลดใจจนหลับไปพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นทหารเรืออเมริกันผิวดำก็เข้ามาคุยด้วย เขาเล่าว่าเรือตอร์ปิโดลำนี้เป็นเรือรบอเมริกันชื่อ สเตอร์เรตต์ มีหน้ารักษาการณ์อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก และได้คุ้มกันขบวนเรือที่มีเรือฮิราโนมารูรวมอยู่ด้วย แต่ขบวนนี้มีเรืออยู่หลายลำและทิ้งระยะห่างกันมาก ส่วนเรือคุ้มกันมีอยู่ ๒ ลำ ทำให้เขาต้องวิ่งไปวิ่งมา พอเขาวิ่งไปทางหัวขบวนก็ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ เขาจึงวกกลับมาไกล ก็มาพบเรือฮิราโนมารูซึ่งอยู่รั้งท้ายถูกยิงแล้ว คงจะเป็นเพราะมีฝีจักรต่ำ จึงต้วมเตี้ยมอยู่ข้างหลัง เปิดโอกาสให้เรือเยอรมันยิงได้สะดวก เมื่อมาถึงก็ช่วยคนขึ้นจากน้ำได้ ๔-๕ คนก็ถูกตอร์ปิโดยิงอีก ๒ ลูกติดๆกัน แต่เคราะห์ดีที่เรือเยอรมันยิงมาไกล ยามคอยเหตุบนหอเห็นเสียก่อน เรือของเขาจึงเร่งฝีจักรหนีวิถียิงไปได้ แต่ก็เฉียดท้ายเรือไปหน่อยเดียว เมื่อขับไล่เรือเยอรมันไปแล้วจึงกลับมาช่วยคนในน้ำอีก และช่วยขึ้นมาทั้งหมด ๓๕ คนรวมทั้งพวกกลาสีเรือเองด้วย แต่มาตายบนเรือไป ๕ คน วิกลจริตไป ๑ คน และเขาเองเป็นคนพบคุณหลวงนั่งอยู่ในท่าคอพับ มีเลือดเกรอะกรังที่จมูกและปาก ดูคล้ายคนตาย แต่เห็นว่ายังนั่งอยู่ได้ก็แสดงว่ายังมีชีวิต จึงดึงขึ้นมาโดยช่วยกันถึง ๒-๓ คนเพราะหนีบเอาไม้กระดานบานประตูติดขึ้นมาด้วย ต้องช่วยกันถ่างขาจึงเอาออกได้ และตัดเอาเสื้อผ้าที่ชุ่มโชกน้ำทะเลออก แล้วหามไปขึ้นเตียง พยายามงัดปากจะเอาเหล้ากรอกให้เกิดความอบอุ่นก็ไม่สำเร็จ จึงเอาผ้า ๒-๓ ผืนคลุม และใส่ขวดน้ำร้อนไว้ให้ คุณหลวงจึงได้กล่าวขอบพระคุณเขาอย่างสุดซึ้งเท่าที่จะหาคำมากล่าวได้ เพราะนอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรจะตอบแทน ขณะนั้นก็มีแต่ตัวเปล่าทั้งยังเปลือยมาเสียอีก
ทหารเรือผิวดำยังเล่าว่า ขณะช่วยคนในน้ำอยู่นั้น เขาเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นคนหนึ่งกำลังปลุกปล้ำลูกอยู่ในน้ำ เขาพยายามจะช่วย แต่พอดึงเสื้อขึ้นมาได้ เรือสเตอร์เรตต์ก็เร่งเครื่องหนีตอร์ปิโด น้ำเลยดูดเอาผู้หญิงญี่ปุ่นและลูกจมหายไปต่อหน้าต่อตา ดูเป็นภาพที่ทุเรศเหลือเกิน เขาเล่ามาถึงตอนนี้ดูสีหน้าเขาโศกสลดมาก ทำให้คุณหลวงรำพึงอยู่ในใจว่า เออ! คนเราแม้ผิวจะดำ แต่เลือดก็สีแดงเหมือนกัน
เรือสเตอร์เรตต์ช่วยคนหมดแล้วจึงเดินทางกวดเรือขบวนทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงไปจน ๕ โมงเช้า จึงกลับไปเมืองควีนส์ทาวน์บนเกาะไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นฐานทัพเรือ และไปถึงราวเที่ยงของวันที่ ๕ ตุลาคม คุณหลวงจึงถือว่าวันที่ ๔ ตุลาคมเป็นวันที่ตายแล้วเกิดใหม่
เมื่อไปถึงควีนส์ทาวน์ เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจได้ไต่สวนและขึ้นทะเบียนผู้รอดชีวิต ทั้งตกลงกับผู้แทนบริษัทเรือนิปปอนบูเซนไกซาให้จัดเสื้อผ้าที่อยู่ที่กินในเมืองควีนส์ทาวน์ และตั๋วโดยสารเรือกลับภูมิลำเนาเดิมที่เกาะอังกฤษด้วย
หลังจากพักอยู่ในควีนส์ทาวน์ได้ ๒ คืน คุณหลวงและเพื่อนร่วมชะตากรรมที่รอดตายก็ต้องเดินทางออกทะเลอีก มีการแจกเสื้อชูชีพเหมือนการเดินทางกับเรือฮิราโนมารู คุณหลวงเห็นว่าช่องทะเลไอริชนี้แคบนิดเดียว ทั้งห่างไกลจากเยอรมัน เรือก็มีความเร็วสูง ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ ถ้าใส่เสื้อชูชีพก็กลัวเขาจะว่าโดนเรือแตกเข้าครั้งเดียวเลยตาขาว แต่พอถือเสื้อชูชีพไปพบนายเรือคนหนึ่งในห้องขายเครื่องดื่ม เขาก็บังคับและช่วยใส่ให้ เมื่อคุณหลวงถามถึงเหตุผล เขาก็หัวเราะอย่างรื่นเริงตามนิสัยของชาวไอริช และกล่าวว่า
“ท่าน เรือใต้น้ำเยอรมันน่ะ มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เรือของผมลำนี้ก็เจอมันมาหลายหนแล้ว”
เขายกแก้วขึ้นชู และพูดต่อไปว่า
“จะไม่มีก็แต่ในแก้ววิสกี้นี้เท่านั้น เพราะวิสกี้เป็นเหล้าสก็อต และถึงจะมี ข้าพเจ้าในนามทหารเรืออังกฤษ ก็จะดื่มมันเสียอย่างนี้”
ว่าแล้วเขาก็ยกแก้วขึ้นกระดกจนหมด
คุณหลวงได้กลับมาลอนดอนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้รับการต้อนรับจากนักเรียนไทยด้วยกันอย่างอบอุ่น เรี่ยไรเงินกันทำขวัญ จนทำให้คุณหลวงซึ่งกลับมามีแต่ตัว สามารถโทรเลขเข้ามาขอพระพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทำให้นักเรียนไทยในอังกฤษทั้งหมดได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้อยู่ในอังกฤษต่อไป จนกว่าจะโปรดเกล้าฯให้เป็นอย่างอื่น ขณะนั้นนักเรียนไทยที่จะต้องเดินทางกลับก็พากันร้องต่อสถานกงสุลไทยอยู่แล้วว่ายังไม่อยากเสี่ยงชีวิตกลับ เลยพากันโล่งอก หายอกสั่นขวัญแขวน โดยเฉพาะคนที่จะต้องกลับในรุ่นต่อจากคุณหลวง
นักเรียนไทยในอังกฤษได้อยู่จนเห็นความดีใจของคนอังกฤษเมื่อสงครามสงบและประสบชัยชนะ ทุกคนเหมือนบ้ากันไปหมด ไมว่าคนแก่เฒ่าจนถึงเด็กเล็กทั้งหญิงและชาย ต่างถือธงชาติออกมาเดินตามถนน พบรถก็ขึ้นรถจนรถพังหมอบอยู่ตรงนั้น พบภัตตาคารก็เข้าไปกินทุกอย่างแล้วเต้นรำกันบนโต๊ะจนโต๊ะพัง ภัตตาคารต้องปิดกันเป็นแถว คุณหลวงได้เห็นรถคันหนึ่งขนเบียร์มาเต็มคัน พอมาถึงพิคคาเดลลีก็ถูกฝูงชนเข้าล้อม คนขับไม่รู้จะป้องกันอย่างไรเลยช่วยส่งเบียร์ให้จนเกลี้ยงรถ แล้วต่างก็เมาไปตามกัน จับคู่เต้นรำทั้งถนน ความดีใจที่สงครามสงบทำให้เขาลืมอะไรทั้งหมด หลังจากนายกรัฐมนตรีออกมาหน้าบ้านเลขที่ ๑๐ ถนนดาวนิ่ง กล่าวสุนทรพจน์แจ้งข่าวสงบศึกเมื่อเวลา ๐๓.๐๐ น.
นี่ก็เป็นเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซึ่งคนไทยส่วนหนึ่งได้ไปร่วมชะตากรรมกับคนอังกฤษ ส่วนทหารไทยอีกจำนวนหนึ่งก็ไปช่วยรบอยู่ในฝรั่งเศส