คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“อภิสิทธิ์” ลั่น ใครหนุน “บิ๊กตู่” นั่งนายกฯ อย่ามาอยู่ “ปชป.” ด้าน “บิ๊กตู่” ตอกกลับ พูดอะไรให้เกียรติกันบ้าง!
ความเคลื่อนไหวสถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ซึ่งเป็นวันแรกที่พรรคต่างๆ เปิดรับเอกสารยืนยันความเป็นสมาชิกของพรรค ปรากฏว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้ยืนยันตัวตนพร้อมชำระเงินค่าสมาชิก 2,000 บาท เป็นสมาชิกประเภทตลอดชีพเป็นคนแรก
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ได้แถลงถึงทิศทางของพรรค ปชป.ยุคใหม่ต่อสมาชิกพรรคด้วยว่า วันที่ 6 เม.ย. 2561 พรรคประชาธิปัตย์มีอายุ 72 ปี ที่ผ่านมาอุดมการณ์ของพรรคชัดเจนไม่เคยเปลี่ยน ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบ และว่า จากนี้ จะเดินหน้าระดมสมาชิกให้ได้มากที่สุด พยายามทุกวิถีทางให้สมาชิกเดิม 2.5 ล้านคน กลับมายืนยันให้มากที่สุด และเมื่อ คสช.ปลดล็อก จะเดินหน้าหาสมาชิกให้ได้มากที่สุด
นายอภิสิทธิ์ยังให้สัมภาษณ์ถึงการยืนยันการเป็นสมาชิกพรรค ปชป.ของสมาชิกที่เป็นอดีตแกนนำ กปปส.ด้วยว่า นอกจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่ลาออกไป และนายธานี เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฏร์ธานี ที่แสดงเจตนาว่าจะเป็นผู้ไปจดแจ้งพรรคการเมืองใหม่ ก็ยังไม่มีอดีต ส.ส.คนอื่น มาบอกว่าจะไม่อยู่ร่วมงานกับ ปชป. อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่ายังสนับสนุนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเป็นใครก็ตาม ส่วนใครที่จะออกนอกแถวไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ขอให้ไปทางเลือกอื่น ไม่ต้องมาที่นี่ เพราะมีพรรคการเมืองอีกมากที่รองรับ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวทำนองว่า หากใครสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ให้ไปอยู่พรรคอื่นว่า ใครพูดอะไรมา ก็ระมัดระวังไว้ด้วย การพูดจาต่างๆ ต้องระมัดระวัง แต่ก็อยู่ที่ประชาชนจะเชื่อถือได้แค่ไหน อย่างไร ส่วนตัวไม่ได้หมายถึงทุกคนจะต้องมาสนับสนุน แต่กรุณาพูดจาให้มันดีๆ ใครจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน ก็แล้วแต่เขา “ไอ้การพูดอย่างนี้มันฟังดูดีหรือเปล่า ให้เกียรติซึ่งกันและกันหรือเปล่า ถ้าบางเวลา ผมมีอารมณ์ขึ้นมา แล้วผมพูดไปมันก็เสียหายด้วยกันทั้งหมด ผมไม่อยากจะมีอารมณ์ตรงนี้ ประชาชนก็ไปใคร่ครวญเอาเอง และดูด้วย วันหน้าเขาจะทำตัวกันอย่างไร ที่ออกมาพูดกันวันนี้ ลองคอยดูวันหน้าก็แล้วกัน เลือกตั้งแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาจะเปลี่ยนท่าทีอะไรกันอย่างไร ก็ไปคอยดูตรงโน้นแล้วกัน แล้วค่อยไปถามเขาอีกที”
ด้านนายอภิสิทธิ์ รีบออกมาปฏิเสธในวันต่อมา (3 เม.ย.) ว่า นายกฯ คงไม่ได้ดูหรือฟังที่ตนให้สัมภาษณ์ เพราะสิ่งที่พูดไปวันนั้นไม่มีคำพูดใดที่ไปพาดพิง ไม่ให้เกียรติ หรือทำให้บุคคลใดเกิดความเสียหาย ได้ให้ความเห็นว่า หากใครจะตัดสินใจเกี่ยวกับพรรคใด ก็ต้องยึดมั่นตามที่พรรคประกาศกับประชาชน ถือว่าเป็นไปตามหลักสากล และให้เกียรติประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ส่วนทางด้านพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคฯ ก็ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ คนนอกแน่นอน และไม่เห็นด้วยกับการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลที่มาจากอำนาจพิเศษ เพราะพรรคเพื่อไทยยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ไม่สนับสนุนเผด็จการ ส่วนจะจับมือกับพรรค ปชป.หรือไม่นั้น ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้
ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์หลังยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 4 เม.ย.ว่า มาคนเดียว นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยา และน้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เดินทางมายืนยันความเป็นสมาชิกพรรคด้วย เพราะเลิกเล่นการเมืองแล้ว ส่วนเหตุผลว่าทำไมเลิกเล่นการเมือง ให้ไปถามนางเยาวภา ส่วนกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยระบุว่า คนตระกูลชินวัตรควรเลิกเล่นการเมือง เพราะอาจจะเป็นเป้านั้น นายสมชายกล่าวว่า ไม่มีใครเป็นเป้าใครหรอก ตระกูลไหนไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าคุณมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทุกคนไม่ว่านามสกุลไหน ใครอยากเล่นไม่อยากเล่นก็ว่ากันไป
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการยื่นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.เผยว่า ได้ส่งร่างกฎหมายดังกล่าวกลับไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อดำเนินการยื่นศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งวันต่อมา 3 เม.ย. สนช.จึงได้ส่งร่างดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยมี 2 ประเด็นที่ขอให้ศาลฯ วินิจฉัย คือ การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ลงคะแนนเลือกตั้งแทนผู้พิการได้ และการจำกัดสิทธิผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง
2.อัยการภาค 7 สั่งฟ้อง “เปรมชัย” แค่ 6 ข้อหา ไม่ฟ้อง 5 ด้าน “ศรีวราห์” ยัน ไม่เสียหน้า เชื่อตำรวจยืนยันความเห็นเดิม!
เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 พร้อมด้วยคณะทำงานพิจารณาคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนท์ กับพวก แถลงผลการสั่งคดีนายเปรมชัยกับพวกล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกว่า คณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนและหลักฐานทางคดีแล้ว มีความเห็นสั่งฟ้องนายเปรมชัย 6 ข้อหา ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่า อันได้มาโดยกระทำผิดกฎหมาย, ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย 5 ข้อหา ประกอบด้วย ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับการใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ทั้งนี้ คณะทำงานอัยการเห็นควรให้เรียกค่าเสียหายทางคดีอาญาเกี่ยวกับเสือดำที่ตีราคา 4.6 แสนบาท โดยอ้างอิงจากราคาเสือดำของสวนสัตว์ไนท์ซาฟารีเชียงใหม่ เมื่อปี 2549 ส่วนความเสียหายทางคดีแพ่งจำนวน 12 ล้านบาทนั้น คณะทำงานอัยการชี้ว่า ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต้องไปฟ้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายกันเอง
ด้านนายประยุทธ์ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยืนยันว่า คณะทำงานอัยการพิจารณาคดีนี้ด้วยความรอบคอบ รวดเร็ว เป็นธรรม หลังอัยการรับสำนวนจากพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. เมื่อพิจารณาสำนวนแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ สอบเพิ่มเติม 3 - 4 ประเด็น เมื่อได้รับผลสอบตามที่มีคำสั่งไป คณะทำงานก็เร่งพิจารณา จนมีคำสั่งฟ้อง และสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในบางข้อหา ซึ่งคณะทำงานใช้เวลาพิจารณาสำนวน รวมทั้งการสั่งสอบพยานเพิ่มเติมเพียง 17 วันเท่านั้นก็สามารถสั่งคดีได้ ไม่ได้ยื้อคดีตามที่กระแสโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์
ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ อัยการจะส่งสำนวนให้ ผบช.ภ.7 ทำความเห็นกลับมา หาก ผบช.ภ.7 ยังคงมีความเห็นยืนยันควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามที่พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิเสนอมา ซึ่งหมายถึงมีความเห็นแย้งกับคณะทำงานอัยการในบางข้อหา ก็ต้องส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด(อสส.) เป็นผู้ชี้ขาดตามกฎหมายว่าจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาข้อใดบ้าง
วันเดีนวกัน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีอัยการภาค 7 มีความเห็นสั่งฟ้องนายเปรมชัยแค่ 6 ข้อหา และสั่งไม่ฟ้อง 5 ข้อหาว่า หากอัยการส่งความเห็นมาให้พนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนคงยืนยันความเห็นเดิม คือสั่งฟ้องทุกข้อหา ยกเว้นข้อหาเดิมที่พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง คือ มีอาวุธปืน และข้อหาทารุณกรรมสัตว์ และจะหยิบยกข้อมูลเดิมชี้แจง เช่น ข้อหาร่วมกันพยายามล่าสัตว์ฯ ซึ่งบางรายอัยการก็ฟ้อง บางรายก็ไม่ฟ้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ระบุในสำนวนไปแล้วว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำ
พล.ต.อ.ศรีวราห์เผยด้วยว่า ข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ก่อนหน้านี้อัยการก็ไม่ได้มีคำสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่ม จึงสันนิษฐานได้ว่าพนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนสมบูรณ์แล้ว อย่างไรก็ตาม หากตำรวจยืนยันความเห็นสั่งฟ้อง ก็จะส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีทั้งเห็นแย้งและยืนตามความเห็นของอัยการ แต่ตำรวจก็มั่นใจในพยานหลักฐาน
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า การที่อัยการสั่งไม่ฟ้องบางข้อหาเป็นเรื่องปกติ และไม่ส่งผลกระทบต่อ 6 ข้อหาที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแต่อย่างใด ส่วนก่อนหน้านี้ที่ตนเคยยืนยันว่าอัยการจะสั่งฟ้องทุกข้อหา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สั่งฟ้องทุกข้อหานั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเสียหน้าแต่อย่างใด เป็นเรื่องปกติในเรื่องความเห็นที่จะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. เฟซบุ๊กของนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เผยเหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัยใน 5 ข้อหาว่า 1.สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะนายเปรมชัยได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนทั้ง 3 กระบอกตามกฎหมาย 2.สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะนายเปรมชัยได้รับอนุญาตจากนายวิเชียร ชินวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ให้เข้าไปได้ และว่า แม้ข้อหานี้ตามกฎหมายแล้วกำหนดเป็นความผิด แต่ไม่ได้กำหนดโทษไว้ มีเพียงโทษทางปกครอง คือ ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้บุคคลนั้นออกจากสถานที่นั้น 3.สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ป่า เนื่องจากคล้ายกับข้อหาที่ 2 คือ ตามกฎหมายแล้วกำหนดเป็นความผิด แต่ไม่ได้กำหนดโทษไว้ 4. สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า นายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4 พยายามยิงสัตว์นั้น นายเปรมชัย นายยงค์ และนางนที ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ขณะนั้นอยู่กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า แต่ในความผิดล่าสัตว์ป่า มีการสั่งฟ้องนายเปรมชัยแล้ว และ 5.สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร เพราะ พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 มาตรา 3 รัฐมนตรียังไม่ได้ออกประกาศกำหนดว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติมีสัตว์ชนิดใดบ้าง การกระทำของนายเปรมชัยกับพวกจึงยังไม่เข้าองค์ประกอบของความผิดตาม พ.ร.บ.นี้
3.“โอ๊ค” แฉ บิ๊กกฤษดามหานคร สั่งจ่ายเช็คให้ “ป๋าเปรม-พะจุณณ์” ทำไมดีเอสไอไม่ดำเนินคดี ด้านคนสนิทป๋าเปรมยัน เงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษฯ ไม่ได้ใช้ส่วนตัว!
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมแนบรูปภาพเช็ค 2 ฉบับและใบนำฝาก 1 ฉบับ โดยเช็คฉบับหนึ่ง นายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารกฤษดามหานคร สั่งจ่ายให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ 250,000 บาท อีกฉบับหนึ่งสั่งจ่ายให้นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นเงิน 26 ล้าน ส่วนใบนำฝากมีชื่อ พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ตัวเลขในใบนำฝากเห็นไม่ชัด คล้ายกับ 1 แสนบาท โดยนายพานทองแท้ระบุว่า เลขที่เช็คที่สั่งจ่ายให้ พล.อ.เปรม และ พล.ร.ท.พะจุณณ์ มีลำดับต่อเนื่องกับเช็คที่สั่งจ่ายให้ตน แล้วเหตุใดดีเอสไอจึงไม่ดำเนินคดีบุคคลทั้งสองข้อหาฟอกเงิน ดังที่ได้ดำเนินคดีตน
นายพานทองแท้ยังอ้างด้วยว่า เช็คที่เข้าบัญชีตนนั้น ได้ถูกยกเลิกในวันเดียวกัน และสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าเงินทั้งหมด ได้ถูกนำไปคืนทุกบาททุกสตางค์ และคืนไปตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มีหลักฐานทางธุรกรรมชัดเจน ส่วนเงินที่โอนเข้าบัญชี พล.อ.เปรม และ พล.ร.ท.พะจุณณ์ อย่าว่าแต่จะนำมาคืนเลย ถูกนำไปใช้สอยอย่างสบายใจ ไร้การตรวจสอบ โดยผ่านมา 10 กว่าปี ยังไม่ปรากฏร่องรอยการคืนเงินให้เห็นแม้แต่บาทเดียว นายพานทองแท้กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ ถ้ามีการกระทำอะไรที่สองมาตรฐาน และไม่ให้ความเป็นธรรมกับตนอีก คงต้องขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องตัวเองจนถึงที่สุด ในทุกตัวบทกฎหมาย ตลอดอายุความที่สามารถจะทำได้
ด้าน พล.ร.อ.พะจุณห์ ตามประทีป ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเช็คดังกล่าวว่า เป็นเรื่องเก่าแล้ว และเป็นเรื่องทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปหมดแล้ว ขอไม่กล่าวถึงรายละเอียด ให้สอบถามทางดีเอสไอ เพราะเรื่องอยู่ที่ดีเอสไอนานแล้ว
ขณะที่ พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องเช็คดังกล่าวว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเจตนาของผู้บริจาค ที่ต้องการนำเงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษฯ แต่ได้ใส่ชื่อ พล.อ.เปรม ทำให้ พล.อ.เปรมต้องส่งต่อเช็คบริจาคดังกล่าวเข้ามูลนิธิฯ โดยไม่มีการนำไปใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งเรื่องนี้ ดีเอสไอได้ตรวจสอบแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ในชั้นสอบสวน ดีเอสไอได้ตรวจสอบเงินที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร สั่งจ่ายไปยังบุคคลต่างๆ รวมถึงสอบสวนกรณีที่หลายฝ่ายเข้ายื่นหนังสือให้ดีเอสไอตรวจสอบบุคคลที่มีชื่อรับเช็ค ในส่วนที่มีมูลหนี้ต่อกันจริงๆ เช่น ชำระค่าที่ดิน ดีเอสไอไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้รับเช็ค ยืนยันว่า ดีเอสไอตรวจสอบครบถ้วนทุกราย
4.“บิ๊กตู่” ให้ฝ่ายกฎหมาย คสช.หารือศาล-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการฯ ดอยสุเทพ ด้าน “บิ๊กป้อม” ให้หารือ 9 เม.ย.นี้!
ความคืบหน้ากระแสคัดค้านโครงการสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมบ้านพักข้าราชการตุลาการ บนเนื้อที่ 147 ไร่ 3 งาน 41 ตารางวา ซึ่งสร้างขึ้นบริเวณเชิงดอยสุเทพ ใกล้กับเขตอุทยานดอยสุเทพ-ปุย จ.เชียงใหม่ ของประชาชนใน จ.เชียงใหม่ ที่บานปลายถึงขั้นจะมีการเดินเท้าเข้า กทม.เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอให้ใช้ ม.44 สั่งยกเลิกโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการดังกล่าว และคืนพื้นที่ป่าบริเวณนั้น พร้อมฟื้นฟูสภาพให้กลับมาเป็นป่าดังเดิม
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร, นายศรุต ศรีถาวร และนายดิลก จันทรดิลก ซึ่งอาสาเป็นตัวแทนประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ที่เรียกร้องให้มีการยุติและยกเลิกโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้เริ่มเดินเท้าจากจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเข้า กทม.มายื่นหนังสือแล้ว โดยคาดว่าจะเดินทางถึง กทม.ไม่เกินวันที่ 20 เม.ย.
ทั้งนี้ นายกฤตย์ กล่าวว่า ดอยสุเทพถือเป็นผืนป่าศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนเชียงใหม่ และเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งโครงการดังกล่าวแม้จะถูกกฎหมาย แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจคนเชียงใหม่
วันต่อมา 5 เม.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการสร้างบ้านพักตุลาการดังกล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งศาลและทางจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงกองทัพภาคที่ 3 และมณฑลทหารบกที่ 33 ไปพูดคุยร่วมกันในวันที่ 9 เม.ย.นี้
พล.อ.ประวิตร กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการก่อสร้างต่อ เพราะจะต้องมีการพูดคุยกันก่อน พร้อมยืนยัน คงไม่มีการรื้อถอนบ้านพักดังกล่าว เพราะก่อสร้างใกล้เสร็จแล้ว และดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย แต่อาจจะปรับเป็นพื้นที่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน สามารถใช้เป็นพื้นที่พักผ่อน และจะปลูกต้นไม้ทดแทน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(5 เม.ย.) นายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร 1 ในอาสาเป็นตัวแทนประชาชนชาวเชียงใหม่ที่เดินเท้าเข้า กทม. เผยว่า ได้ตัดสินใจยกเลิกการเดินเท้าเข้า กทม.เป็นการชั่วคราวระหว่างที่เตรียมจะเดินออกจากจังหวัดลำปาง เนื่องจากได้รับแจ้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีกลุ่มผู้ที่เตรียมจะฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์จากการเดินครั้งนี้ และว่า วันที่ 9 เม.ย.ที่จะมีการประชุมเจรจาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จะยื่นข้อเสนอและยืนยันว่า ต้องรื้อเท่านั้น หากไม่ได้รับการตอบสนอง จะกลับไปเริ่มต้นเดินต่ออีกครั้งที่จังหวัดลำปาง ในวันที่ 10 เม.ย.ทันที
ด้านนายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และนายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดแถลงในวันเดียวกัน (5 เม.ย.) ถึงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการบริเวณเชิงดอยสุเทพว่า บ้านพักที่เชียงใหม่ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของทางราชการ ไม่ใช่บ้านพักส่วนบุคคล พร้อมยืนยัน ขั้นตอนการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ และไม่ได้ตัดต้นไม้ทำลายป่า เป็นการขุดล้อมแล้วย้ายเพื่อปลูกในโครงการ และว่า วันที่ 21 เม.ย.นี้ เป็นวันศาลยุติธรรม จะมีการปลูกต้นไม้ตามแบบภูมิทัศน์ในสัญญาอีกกว่า 6,000 ต้น
นายสราวุธ กล่าวพร้อมยกแผนที่ทางอากาศให้ดูด้วยว่า โครงการก่อสร้างดังกล่าวสร้างในแนวระดับเดียวกับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ในพื้นที่ดอยสุเทพตามแนวขอบตะเข็บเดียวกัน และว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ ในวันที่ 9 เม.ย. เวลา 09.30 น.คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมจะมีการประชุม ตนในฐานะเลขาฯ คณะกรรมการฯ จะเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการฯ ว่ามีความเห็นอย่างไร แล้วจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป จากนั้นจะมีการแถลงข่าวให้สื่อมวลชนทราบ
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จัดให้มีการประชุม 3 ฝ่ายในวันที่ 9 เม.ย.นี้ นายสราวุธ กล่าวว่า ยังไม่มีการแจ้งหนังสือมาถึงสำนักงานศาลยุติธรรมแต่อย่างใด แต่หากมีการประชุมร่วมกัน ก็ยินดีที่จะเข้าร่วมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็น และว่า "การก่อสร้างยังคงดำเนินการต่อไป โดยต้องรอการประชุมของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมก่อน รวมถึงการหารือที่จะมีขึ้นในอนาคตด้วย ในฐานะที่ผมอยู่ภายใต้สัญญาการก่อสร้างก็จะต้องดำเนินการภายใต้สัญญา เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะมีการกระทำผิดกฎหมายได้"
ส่วนท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ต่อกรณีที่มีกระแสเรียกร้องให้ใช้มาตรา 44 สั่งยกเลิกโครงการสร้างบ้านพักตุลาการฯ พร้อมทั้งคืนพื้นที่และฟื้นฟูสภาพป่านั้น เมื่อวันที่ 6 เม.ย. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล มีความเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ โดยขณะนี้นายกฯ ได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง ในฐานะที่ดูแลที่ราชพัสดุ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ดูแลป่าไม้ ตลอดจนกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลจังหวัดและรับผิดชอบพื้นที่โดยรวม รวมทั้งฝ่ายกฎหมายของ คสช. ไปพูดคุยหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกับฝ่ายตุลาการ และส่งข้อเสนอแนะมายังรัฐบาล เพื่อพิจารณาตัดสินใจต่อไป “นายกฯ เน้นย้ำว่า เรื่องนี้มีแนวคิดเริ่มต้นมาหลายปีแล้ว ซึ่งรัฐบาลและ คสช. ไม่ได้เป็นผู้อนุมัติ แต่เพิ่งมาก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างในช่วงนี้ โดยรัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาและจะพยายามปรับพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม ทุกฝ่ายจึงต้องหันหน้าพูดคุยกัน ผู้รับเหมาก็น่าเห็นใจ เพราะต้องทำตามสัญญาก่อสร้าง”
5.ตำรวจส่งสำนวนคดีหวย 30 ล้านให้อัยการแล้ว เห็นควรสั่งฟ้อง “ครูปรีชา-เจ๊บ้าบิ่น” ฐานแจ้งความเท็จ!
ความคืบหน้าคดีหวยอลเวง 30 ล้าน ที่ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตตำรวจ และนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี จ.กาญจนบุรี ต่างอ้างความเป็นเจ้าของ หลังตำรวจดำเนินคดีครูปรีชา และนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าที่อ้างว่าขายลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 ให้ครูปรีชา ฐานแจ้งความเท็จและข้อหาอื่นๆ รวม 3 ข้อหา ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม(ผบก.ป.) และ พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีหวย 30 ล้าน ได้สรุปสำนวนคดีและส่งมอบให้อัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องต่อไปแล้ว
ซึ่งต่อมา ทางอัยการได้แถลงข่าว โดยนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงว่า พนักงานสอบสวนได้นำสำนวนคดีหวย 30 ล้านส่งให้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา 2 สำนวน คือ สำนวนคดีที่ ร.ต.ท.จรูญ เป็นผู้กล่าวหานายปรีชา ผู้ต้องหาที่ 1 และนางรัตนาพร ผู้ต้องหาที่ 2 ในความผิดร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งพนักงานสอบสวนกองปราบฯ เห็นควรฟ้องนายปรีชาและนางรัตนาพร
ส่วนอีกสำนวนคือ คดีที่นายปรีชาเป็นผู้กล่าวหา ร.ต.ท.จรูญ ในความผิดลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สิ่งของตกหล่น หรือรับของโจร โดยพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ นายธรัมพ์ กล่าวด้วยว่า ทั้ง 2 คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ทางสำนักงานคดีอาญาจะได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาสำนวนทั้ง 2 คดีนี้ต่อไป
ด้านครูปรีชา เมื่อเห็นตำรวจส่งสำนวนที่ตนกล่าวหาหมวดจรูญว่ายักยอกทรัพย์ ให้อัยการโดยมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลด้วยตัวเอง โดยเดินทางไปศาลจังหวัดกาญจนบุรีพร้อมนายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. เพื่อฟ้องหมวดจรูญข้อหาลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์สิ่งของตกหล่น หรือรับของโจร โดยศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ นายวรยุทธ ทนายความของครูปรีชา กล่าวว่า ขณะนี้กำลังพิจารณาว่า คำสั่งของตำรวจที่ไม่ฟ้องหมวดจรูญตามที่ครูปรีชากล่าวหานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ว่าครูปรีชามีพยานใหม่ขึ้นมานั้นเป็นพยานเด็ดหรือไม่ นายวรยุทธ บอกว่า มี แน่นอน แต่พยานที่ว่านั้น ไม่ใช่พยานที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ แต่เป็นพยานที่รู้เห็นเป็นประจักษ์ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.60 ส่วนตัวของนายแผน ซึ่งเคยให้การว่า เห็นคนเก็บล็อตเตอรี่ได้นั้น จากที่ได้พูดคุยกัน ตัวนายแผนเองก็ต้องการมาเป็นพยานให้ แต่ตนพิจารณาแล้ว พบว่านายแผนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ด้านครูปรีชา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า รู้สึกสบายใจขึ้นที่ได้มาใช้สิทธิตามกฎหมาย
1.“อภิสิทธิ์” ลั่น ใครหนุน “บิ๊กตู่” นั่งนายกฯ อย่ามาอยู่ “ปชป.” ด้าน “บิ๊กตู่” ตอกกลับ พูดอะไรให้เกียรติกันบ้าง!
ความเคลื่อนไหวสถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ซึ่งเป็นวันแรกที่พรรคต่างๆ เปิดรับเอกสารยืนยันความเป็นสมาชิกของพรรค ปรากฏว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้ยืนยันตัวตนพร้อมชำระเงินค่าสมาชิก 2,000 บาท เป็นสมาชิกประเภทตลอดชีพเป็นคนแรก
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ได้แถลงถึงทิศทางของพรรค ปชป.ยุคใหม่ต่อสมาชิกพรรคด้วยว่า วันที่ 6 เม.ย. 2561 พรรคประชาธิปัตย์มีอายุ 72 ปี ที่ผ่านมาอุดมการณ์ของพรรคชัดเจนไม่เคยเปลี่ยน ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบ และว่า จากนี้ จะเดินหน้าระดมสมาชิกให้ได้มากที่สุด พยายามทุกวิถีทางให้สมาชิกเดิม 2.5 ล้านคน กลับมายืนยันให้มากที่สุด และเมื่อ คสช.ปลดล็อก จะเดินหน้าหาสมาชิกให้ได้มากที่สุด
นายอภิสิทธิ์ยังให้สัมภาษณ์ถึงการยืนยันการเป็นสมาชิกพรรค ปชป.ของสมาชิกที่เป็นอดีตแกนนำ กปปส.ด้วยว่า นอกจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่ลาออกไป และนายธานี เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฏร์ธานี ที่แสดงเจตนาว่าจะเป็นผู้ไปจดแจ้งพรรคการเมืองใหม่ ก็ยังไม่มีอดีต ส.ส.คนอื่น มาบอกว่าจะไม่อยู่ร่วมงานกับ ปชป. อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่ายังสนับสนุนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเป็นใครก็ตาม ส่วนใครที่จะออกนอกแถวไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ขอให้ไปทางเลือกอื่น ไม่ต้องมาที่นี่ เพราะมีพรรคการเมืองอีกมากที่รองรับ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวทำนองว่า หากใครสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ให้ไปอยู่พรรคอื่นว่า ใครพูดอะไรมา ก็ระมัดระวังไว้ด้วย การพูดจาต่างๆ ต้องระมัดระวัง แต่ก็อยู่ที่ประชาชนจะเชื่อถือได้แค่ไหน อย่างไร ส่วนตัวไม่ได้หมายถึงทุกคนจะต้องมาสนับสนุน แต่กรุณาพูดจาให้มันดีๆ ใครจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน ก็แล้วแต่เขา “ไอ้การพูดอย่างนี้มันฟังดูดีหรือเปล่า ให้เกียรติซึ่งกันและกันหรือเปล่า ถ้าบางเวลา ผมมีอารมณ์ขึ้นมา แล้วผมพูดไปมันก็เสียหายด้วยกันทั้งหมด ผมไม่อยากจะมีอารมณ์ตรงนี้ ประชาชนก็ไปใคร่ครวญเอาเอง และดูด้วย วันหน้าเขาจะทำตัวกันอย่างไร ที่ออกมาพูดกันวันนี้ ลองคอยดูวันหน้าก็แล้วกัน เลือกตั้งแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาจะเปลี่ยนท่าทีอะไรกันอย่างไร ก็ไปคอยดูตรงโน้นแล้วกัน แล้วค่อยไปถามเขาอีกที”
ด้านนายอภิสิทธิ์ รีบออกมาปฏิเสธในวันต่อมา (3 เม.ย.) ว่า นายกฯ คงไม่ได้ดูหรือฟังที่ตนให้สัมภาษณ์ เพราะสิ่งที่พูดไปวันนั้นไม่มีคำพูดใดที่ไปพาดพิง ไม่ให้เกียรติ หรือทำให้บุคคลใดเกิดความเสียหาย ได้ให้ความเห็นว่า หากใครจะตัดสินใจเกี่ยวกับพรรคใด ก็ต้องยึดมั่นตามที่พรรคประกาศกับประชาชน ถือว่าเป็นไปตามหลักสากล และให้เกียรติประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ส่วนทางด้านพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคฯ ก็ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ คนนอกแน่นอน และไม่เห็นด้วยกับการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลที่มาจากอำนาจพิเศษ เพราะพรรคเพื่อไทยยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ไม่สนับสนุนเผด็จการ ส่วนจะจับมือกับพรรค ปชป.หรือไม่นั้น ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้
ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์หลังยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 4 เม.ย.ว่า มาคนเดียว นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยา และน้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เดินทางมายืนยันความเป็นสมาชิกพรรคด้วย เพราะเลิกเล่นการเมืองแล้ว ส่วนเหตุผลว่าทำไมเลิกเล่นการเมือง ให้ไปถามนางเยาวภา ส่วนกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยระบุว่า คนตระกูลชินวัตรควรเลิกเล่นการเมือง เพราะอาจจะเป็นเป้านั้น นายสมชายกล่าวว่า ไม่มีใครเป็นเป้าใครหรอก ตระกูลไหนไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าคุณมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทุกคนไม่ว่านามสกุลไหน ใครอยากเล่นไม่อยากเล่นก็ว่ากันไป
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการยื่นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.เผยว่า ได้ส่งร่างกฎหมายดังกล่าวกลับไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อดำเนินการยื่นศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งวันต่อมา 3 เม.ย. สนช.จึงได้ส่งร่างดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยมี 2 ประเด็นที่ขอให้ศาลฯ วินิจฉัย คือ การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ลงคะแนนเลือกตั้งแทนผู้พิการได้ และการจำกัดสิทธิผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง
2.อัยการภาค 7 สั่งฟ้อง “เปรมชัย” แค่ 6 ข้อหา ไม่ฟ้อง 5 ด้าน “ศรีวราห์” ยัน ไม่เสียหน้า เชื่อตำรวจยืนยันความเห็นเดิม!
เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 พร้อมด้วยคณะทำงานพิจารณาคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนท์ กับพวก แถลงผลการสั่งคดีนายเปรมชัยกับพวกล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกว่า คณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนและหลักฐานทางคดีแล้ว มีความเห็นสั่งฟ้องนายเปรมชัย 6 ข้อหา ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่า อันได้มาโดยกระทำผิดกฎหมาย, ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย 5 ข้อหา ประกอบด้วย ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับการใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ทั้งนี้ คณะทำงานอัยการเห็นควรให้เรียกค่าเสียหายทางคดีอาญาเกี่ยวกับเสือดำที่ตีราคา 4.6 แสนบาท โดยอ้างอิงจากราคาเสือดำของสวนสัตว์ไนท์ซาฟารีเชียงใหม่ เมื่อปี 2549 ส่วนความเสียหายทางคดีแพ่งจำนวน 12 ล้านบาทนั้น คณะทำงานอัยการชี้ว่า ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต้องไปฟ้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายกันเอง
ด้านนายประยุทธ์ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยืนยันว่า คณะทำงานอัยการพิจารณาคดีนี้ด้วยความรอบคอบ รวดเร็ว เป็นธรรม หลังอัยการรับสำนวนจากพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. เมื่อพิจารณาสำนวนแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ สอบเพิ่มเติม 3 - 4 ประเด็น เมื่อได้รับผลสอบตามที่มีคำสั่งไป คณะทำงานก็เร่งพิจารณา จนมีคำสั่งฟ้อง และสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในบางข้อหา ซึ่งคณะทำงานใช้เวลาพิจารณาสำนวน รวมทั้งการสั่งสอบพยานเพิ่มเติมเพียง 17 วันเท่านั้นก็สามารถสั่งคดีได้ ไม่ได้ยื้อคดีตามที่กระแสโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์
ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ อัยการจะส่งสำนวนให้ ผบช.ภ.7 ทำความเห็นกลับมา หาก ผบช.ภ.7 ยังคงมีความเห็นยืนยันควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามที่พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิเสนอมา ซึ่งหมายถึงมีความเห็นแย้งกับคณะทำงานอัยการในบางข้อหา ก็ต้องส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด(อสส.) เป็นผู้ชี้ขาดตามกฎหมายว่าจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาข้อใดบ้าง
วันเดีนวกัน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีอัยการภาค 7 มีความเห็นสั่งฟ้องนายเปรมชัยแค่ 6 ข้อหา และสั่งไม่ฟ้อง 5 ข้อหาว่า หากอัยการส่งความเห็นมาให้พนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนคงยืนยันความเห็นเดิม คือสั่งฟ้องทุกข้อหา ยกเว้นข้อหาเดิมที่พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง คือ มีอาวุธปืน และข้อหาทารุณกรรมสัตว์ และจะหยิบยกข้อมูลเดิมชี้แจง เช่น ข้อหาร่วมกันพยายามล่าสัตว์ฯ ซึ่งบางรายอัยการก็ฟ้อง บางรายก็ไม่ฟ้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ระบุในสำนวนไปแล้วว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำ
พล.ต.อ.ศรีวราห์เผยด้วยว่า ข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ก่อนหน้านี้อัยการก็ไม่ได้มีคำสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่ม จึงสันนิษฐานได้ว่าพนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนสมบูรณ์แล้ว อย่างไรก็ตาม หากตำรวจยืนยันความเห็นสั่งฟ้อง ก็จะส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีทั้งเห็นแย้งและยืนตามความเห็นของอัยการ แต่ตำรวจก็มั่นใจในพยานหลักฐาน
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า การที่อัยการสั่งไม่ฟ้องบางข้อหาเป็นเรื่องปกติ และไม่ส่งผลกระทบต่อ 6 ข้อหาที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแต่อย่างใด ส่วนก่อนหน้านี้ที่ตนเคยยืนยันว่าอัยการจะสั่งฟ้องทุกข้อหา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สั่งฟ้องทุกข้อหานั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเสียหน้าแต่อย่างใด เป็นเรื่องปกติในเรื่องความเห็นที่จะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. เฟซบุ๊กของนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เผยเหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัยใน 5 ข้อหาว่า 1.สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะนายเปรมชัยได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนทั้ง 3 กระบอกตามกฎหมาย 2.สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะนายเปรมชัยได้รับอนุญาตจากนายวิเชียร ชินวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ให้เข้าไปได้ และว่า แม้ข้อหานี้ตามกฎหมายแล้วกำหนดเป็นความผิด แต่ไม่ได้กำหนดโทษไว้ มีเพียงโทษทางปกครอง คือ ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้บุคคลนั้นออกจากสถานที่นั้น 3.สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ป่า เนื่องจากคล้ายกับข้อหาที่ 2 คือ ตามกฎหมายแล้วกำหนดเป็นความผิด แต่ไม่ได้กำหนดโทษไว้ 4. สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า นายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4 พยายามยิงสัตว์นั้น นายเปรมชัย นายยงค์ และนางนที ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ขณะนั้นอยู่กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า แต่ในความผิดล่าสัตว์ป่า มีการสั่งฟ้องนายเปรมชัยแล้ว และ 5.สั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร เพราะ พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 มาตรา 3 รัฐมนตรียังไม่ได้ออกประกาศกำหนดว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติมีสัตว์ชนิดใดบ้าง การกระทำของนายเปรมชัยกับพวกจึงยังไม่เข้าองค์ประกอบของความผิดตาม พ.ร.บ.นี้
3.“โอ๊ค” แฉ บิ๊กกฤษดามหานคร สั่งจ่ายเช็คให้ “ป๋าเปรม-พะจุณณ์” ทำไมดีเอสไอไม่ดำเนินคดี ด้านคนสนิทป๋าเปรมยัน เงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษฯ ไม่ได้ใช้ส่วนตัว!
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมแนบรูปภาพเช็ค 2 ฉบับและใบนำฝาก 1 ฉบับ โดยเช็คฉบับหนึ่ง นายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารกฤษดามหานคร สั่งจ่ายให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ 250,000 บาท อีกฉบับหนึ่งสั่งจ่ายให้นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นเงิน 26 ล้าน ส่วนใบนำฝากมีชื่อ พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ตัวเลขในใบนำฝากเห็นไม่ชัด คล้ายกับ 1 แสนบาท โดยนายพานทองแท้ระบุว่า เลขที่เช็คที่สั่งจ่ายให้ พล.อ.เปรม และ พล.ร.ท.พะจุณณ์ มีลำดับต่อเนื่องกับเช็คที่สั่งจ่ายให้ตน แล้วเหตุใดดีเอสไอจึงไม่ดำเนินคดีบุคคลทั้งสองข้อหาฟอกเงิน ดังที่ได้ดำเนินคดีตน
นายพานทองแท้ยังอ้างด้วยว่า เช็คที่เข้าบัญชีตนนั้น ได้ถูกยกเลิกในวันเดียวกัน และสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าเงินทั้งหมด ได้ถูกนำไปคืนทุกบาททุกสตางค์ และคืนไปตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มีหลักฐานทางธุรกรรมชัดเจน ส่วนเงินที่โอนเข้าบัญชี พล.อ.เปรม และ พล.ร.ท.พะจุณณ์ อย่าว่าแต่จะนำมาคืนเลย ถูกนำไปใช้สอยอย่างสบายใจ ไร้การตรวจสอบ โดยผ่านมา 10 กว่าปี ยังไม่ปรากฏร่องรอยการคืนเงินให้เห็นแม้แต่บาทเดียว นายพานทองแท้กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ ถ้ามีการกระทำอะไรที่สองมาตรฐาน และไม่ให้ความเป็นธรรมกับตนอีก คงต้องขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องตัวเองจนถึงที่สุด ในทุกตัวบทกฎหมาย ตลอดอายุความที่สามารถจะทำได้
ด้าน พล.ร.อ.พะจุณห์ ตามประทีป ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเช็คดังกล่าวว่า เป็นเรื่องเก่าแล้ว และเป็นเรื่องทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปหมดแล้ว ขอไม่กล่าวถึงรายละเอียด ให้สอบถามทางดีเอสไอ เพราะเรื่องอยู่ที่ดีเอสไอนานแล้ว
ขณะที่ พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องเช็คดังกล่าวว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเจตนาของผู้บริจาค ที่ต้องการนำเงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษฯ แต่ได้ใส่ชื่อ พล.อ.เปรม ทำให้ พล.อ.เปรมต้องส่งต่อเช็คบริจาคดังกล่าวเข้ามูลนิธิฯ โดยไม่มีการนำไปใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งเรื่องนี้ ดีเอสไอได้ตรวจสอบแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ในชั้นสอบสวน ดีเอสไอได้ตรวจสอบเงินที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร สั่งจ่ายไปยังบุคคลต่างๆ รวมถึงสอบสวนกรณีที่หลายฝ่ายเข้ายื่นหนังสือให้ดีเอสไอตรวจสอบบุคคลที่มีชื่อรับเช็ค ในส่วนที่มีมูลหนี้ต่อกันจริงๆ เช่น ชำระค่าที่ดิน ดีเอสไอไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้รับเช็ค ยืนยันว่า ดีเอสไอตรวจสอบครบถ้วนทุกราย
4.“บิ๊กตู่” ให้ฝ่ายกฎหมาย คสช.หารือศาล-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการฯ ดอยสุเทพ ด้าน “บิ๊กป้อม” ให้หารือ 9 เม.ย.นี้!
ความคืบหน้ากระแสคัดค้านโครงการสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมบ้านพักข้าราชการตุลาการ บนเนื้อที่ 147 ไร่ 3 งาน 41 ตารางวา ซึ่งสร้างขึ้นบริเวณเชิงดอยสุเทพ ใกล้กับเขตอุทยานดอยสุเทพ-ปุย จ.เชียงใหม่ ของประชาชนใน จ.เชียงใหม่ ที่บานปลายถึงขั้นจะมีการเดินเท้าเข้า กทม.เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอให้ใช้ ม.44 สั่งยกเลิกโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการดังกล่าว และคืนพื้นที่ป่าบริเวณนั้น พร้อมฟื้นฟูสภาพให้กลับมาเป็นป่าดังเดิม
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร, นายศรุต ศรีถาวร และนายดิลก จันทรดิลก ซึ่งอาสาเป็นตัวแทนประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ที่เรียกร้องให้มีการยุติและยกเลิกโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้เริ่มเดินเท้าจากจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเข้า กทม.มายื่นหนังสือแล้ว โดยคาดว่าจะเดินทางถึง กทม.ไม่เกินวันที่ 20 เม.ย.
ทั้งนี้ นายกฤตย์ กล่าวว่า ดอยสุเทพถือเป็นผืนป่าศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนเชียงใหม่ และเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งโครงการดังกล่าวแม้จะถูกกฎหมาย แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจคนเชียงใหม่
วันต่อมา 5 เม.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการสร้างบ้านพักตุลาการดังกล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งศาลและทางจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงกองทัพภาคที่ 3 และมณฑลทหารบกที่ 33 ไปพูดคุยร่วมกันในวันที่ 9 เม.ย.นี้
พล.อ.ประวิตร กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการก่อสร้างต่อ เพราะจะต้องมีการพูดคุยกันก่อน พร้อมยืนยัน คงไม่มีการรื้อถอนบ้านพักดังกล่าว เพราะก่อสร้างใกล้เสร็จแล้ว และดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย แต่อาจจะปรับเป็นพื้นที่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน สามารถใช้เป็นพื้นที่พักผ่อน และจะปลูกต้นไม้ทดแทน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(5 เม.ย.) นายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร 1 ในอาสาเป็นตัวแทนประชาชนชาวเชียงใหม่ที่เดินเท้าเข้า กทม. เผยว่า ได้ตัดสินใจยกเลิกการเดินเท้าเข้า กทม.เป็นการชั่วคราวระหว่างที่เตรียมจะเดินออกจากจังหวัดลำปาง เนื่องจากได้รับแจ้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีกลุ่มผู้ที่เตรียมจะฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์จากการเดินครั้งนี้ และว่า วันที่ 9 เม.ย.ที่จะมีการประชุมเจรจาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จะยื่นข้อเสนอและยืนยันว่า ต้องรื้อเท่านั้น หากไม่ได้รับการตอบสนอง จะกลับไปเริ่มต้นเดินต่ออีกครั้งที่จังหวัดลำปาง ในวันที่ 10 เม.ย.ทันที
ด้านนายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และนายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดแถลงในวันเดียวกัน (5 เม.ย.) ถึงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการบริเวณเชิงดอยสุเทพว่า บ้านพักที่เชียงใหม่ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของทางราชการ ไม่ใช่บ้านพักส่วนบุคคล พร้อมยืนยัน ขั้นตอนการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ และไม่ได้ตัดต้นไม้ทำลายป่า เป็นการขุดล้อมแล้วย้ายเพื่อปลูกในโครงการ และว่า วันที่ 21 เม.ย.นี้ เป็นวันศาลยุติธรรม จะมีการปลูกต้นไม้ตามแบบภูมิทัศน์ในสัญญาอีกกว่า 6,000 ต้น
นายสราวุธ กล่าวพร้อมยกแผนที่ทางอากาศให้ดูด้วยว่า โครงการก่อสร้างดังกล่าวสร้างในแนวระดับเดียวกับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ในพื้นที่ดอยสุเทพตามแนวขอบตะเข็บเดียวกัน และว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ ในวันที่ 9 เม.ย. เวลา 09.30 น.คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมจะมีการประชุม ตนในฐานะเลขาฯ คณะกรรมการฯ จะเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการฯ ว่ามีความเห็นอย่างไร แล้วจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป จากนั้นจะมีการแถลงข่าวให้สื่อมวลชนทราบ
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จัดให้มีการประชุม 3 ฝ่ายในวันที่ 9 เม.ย.นี้ นายสราวุธ กล่าวว่า ยังไม่มีการแจ้งหนังสือมาถึงสำนักงานศาลยุติธรรมแต่อย่างใด แต่หากมีการประชุมร่วมกัน ก็ยินดีที่จะเข้าร่วมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็น และว่า "การก่อสร้างยังคงดำเนินการต่อไป โดยต้องรอการประชุมของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมก่อน รวมถึงการหารือที่จะมีขึ้นในอนาคตด้วย ในฐานะที่ผมอยู่ภายใต้สัญญาการก่อสร้างก็จะต้องดำเนินการภายใต้สัญญา เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะมีการกระทำผิดกฎหมายได้"
ส่วนท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ต่อกรณีที่มีกระแสเรียกร้องให้ใช้มาตรา 44 สั่งยกเลิกโครงการสร้างบ้านพักตุลาการฯ พร้อมทั้งคืนพื้นที่และฟื้นฟูสภาพป่านั้น เมื่อวันที่ 6 เม.ย. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล มีความเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ โดยขณะนี้นายกฯ ได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง ในฐานะที่ดูแลที่ราชพัสดุ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ดูแลป่าไม้ ตลอดจนกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลจังหวัดและรับผิดชอบพื้นที่โดยรวม รวมทั้งฝ่ายกฎหมายของ คสช. ไปพูดคุยหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกับฝ่ายตุลาการ และส่งข้อเสนอแนะมายังรัฐบาล เพื่อพิจารณาตัดสินใจต่อไป “นายกฯ เน้นย้ำว่า เรื่องนี้มีแนวคิดเริ่มต้นมาหลายปีแล้ว ซึ่งรัฐบาลและ คสช. ไม่ได้เป็นผู้อนุมัติ แต่เพิ่งมาก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างในช่วงนี้ โดยรัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาและจะพยายามปรับพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม ทุกฝ่ายจึงต้องหันหน้าพูดคุยกัน ผู้รับเหมาก็น่าเห็นใจ เพราะต้องทำตามสัญญาก่อสร้าง”
5.ตำรวจส่งสำนวนคดีหวย 30 ล้านให้อัยการแล้ว เห็นควรสั่งฟ้อง “ครูปรีชา-เจ๊บ้าบิ่น” ฐานแจ้งความเท็จ!
ความคืบหน้าคดีหวยอลเวง 30 ล้าน ที่ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตตำรวจ และนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี จ.กาญจนบุรี ต่างอ้างความเป็นเจ้าของ หลังตำรวจดำเนินคดีครูปรีชา และนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าที่อ้างว่าขายลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 ให้ครูปรีชา ฐานแจ้งความเท็จและข้อหาอื่นๆ รวม 3 ข้อหา ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม(ผบก.ป.) และ พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีหวย 30 ล้าน ได้สรุปสำนวนคดีและส่งมอบให้อัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องต่อไปแล้ว
ซึ่งต่อมา ทางอัยการได้แถลงข่าว โดยนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงว่า พนักงานสอบสวนได้นำสำนวนคดีหวย 30 ล้านส่งให้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา 2 สำนวน คือ สำนวนคดีที่ ร.ต.ท.จรูญ เป็นผู้กล่าวหานายปรีชา ผู้ต้องหาที่ 1 และนางรัตนาพร ผู้ต้องหาที่ 2 ในความผิดร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งพนักงานสอบสวนกองปราบฯ เห็นควรฟ้องนายปรีชาและนางรัตนาพร
ส่วนอีกสำนวนคือ คดีที่นายปรีชาเป็นผู้กล่าวหา ร.ต.ท.จรูญ ในความผิดลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สิ่งของตกหล่น หรือรับของโจร โดยพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ นายธรัมพ์ กล่าวด้วยว่า ทั้ง 2 คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ทางสำนักงานคดีอาญาจะได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาสำนวนทั้ง 2 คดีนี้ต่อไป
ด้านครูปรีชา เมื่อเห็นตำรวจส่งสำนวนที่ตนกล่าวหาหมวดจรูญว่ายักยอกทรัพย์ ให้อัยการโดยมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลด้วยตัวเอง โดยเดินทางไปศาลจังหวัดกาญจนบุรีพร้อมนายวรยุทธ บุญวงษ์ใส ทนายความ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. เพื่อฟ้องหมวดจรูญข้อหาลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์สิ่งของตกหล่น หรือรับของโจร โดยศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ นายวรยุทธ ทนายความของครูปรีชา กล่าวว่า ขณะนี้กำลังพิจารณาว่า คำสั่งของตำรวจที่ไม่ฟ้องหมวดจรูญตามที่ครูปรีชากล่าวหานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ว่าครูปรีชามีพยานใหม่ขึ้นมานั้นเป็นพยานเด็ดหรือไม่ นายวรยุทธ บอกว่า มี แน่นอน แต่พยานที่ว่านั้น ไม่ใช่พยานที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ แต่เป็นพยานที่รู้เห็นเป็นประจักษ์ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.60 ส่วนตัวของนายแผน ซึ่งเคยให้การว่า เห็นคนเก็บล็อตเตอรี่ได้นั้น จากที่ได้พูดคุยกัน ตัวนายแผนเองก็ต้องการมาเป็นพยานให้ แต่ตนพิจารณาแล้ว พบว่านายแผนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ด้านครูปรีชา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า รู้สึกสบายใจขึ้นที่ได้มาใช้สิทธิตามกฎหมาย