ราชบุรี - อัยการภาค 7 แถลงคดี"เปรมชัย" สั่งฟ้อง 6 ข้อหา พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 462,000 บาท ให้กับกรมอุทยานแห่งชาติ ไม่ฟ้องข้อหาครอบครองอาวุธปืน,ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า,ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ ร่วมกันทารุณกรรมสัตว์
วันนี้( 4 เม.ย.) ที่สำนักงานอัยการภาค 7 นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 พร้อมด้วย นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค7 และนายทนง ตะภา อัยการจ.กาญจนบุรี ได้ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานอิตาเลียนไทย ฯ พร้อมพวกรวม 4 ราย ผู้ต้องหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่เนเรศวร ด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี เข้าไปล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่นเรศวร อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 ได้แถลงความคืบหน้าในการพิจารณาคดีนายเปรมชัย กรรณสูต กับพวก ว่า สืบเนื่องจากสำนักงานอัยการ จ.กาญจนบุรี ได้รับสำนวนสอบสวน คดีระหว่างนายวิเชียร ชิณวงษ์ ผู้กล่าวหา นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาที่ 1 นายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 นางนที เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 และนายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4 คน สำหรับผลการสอบสวนคดีสำนวนคดีนี้ ทางพนักงานอัยการและคณะทำงานได้มีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติมไป 2 ครั้ง
สำหรับนายเปรมชัย กรรณสูต ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 ได้มีคำสั่งฟ้อง ข้อหาแรกคือ ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในตัวหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาที่ 2 ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อหาที่ 3 ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อหาที่ 4 ร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อหาที่ 5 ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพา เอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มากระทำการผิดกฎหมาย ข้อหาที่ 6 ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ส่วนข้อหาที่อัยการมีความเห็นไม่สั่งฟ้องนายเปรมชัย ประกอบด้วย 1.ครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต จากพนักงานเจ้าหน้าที่ 3.ร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่า หรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่จากพนักงานเจ้าหน้าที่ 4.ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และ 5.ร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ส่วนนายยงค์ โดดเครือ เราสั่งฟ้องข้อหาเช่นเดียวกันกับนายเปรมชัย และมีเพิ่ม 1 ข้อหาคือ ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาอื่นสั่งฟ้องเช่นเดียวกัน กับนายเปรมชัย ส่วนข้อหาที่สั่งไม่ฟ้องนายยงค์ โดดเครือ คือ ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ หรืออาวุธใดๆเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ผู้ต้องหาที่ 3 ที่บอกว่าเป็นแม่ครัว นางนที เรืองแสง ได้สั่งฟ้องเกือบทุกข้อหา มีสั่งไม่ฟ้องเพิ่มเติมนางนที ในข้อหา ร่วมกันล่าสัตว์ป่าด้วยเพิ่มมาอีกหนึ่งข้อหาที่สั่งไม่ฟ้อง เช่นเดียวกับนายธานีก็สั่งฟ้องเช่นเดียวกันกับนายยงค์ ทุกข้อหาเพิ่มไปอีก 1 ข้อหาคือ ข้อหาพยายามล่าสัตว์ป่า ส่วนข้อหาที่สั่งไม่ฟ้องนายธานีจะมีร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันนำเครื่องมือ สำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์ใดๆเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์ และร่วมกันทำทารุณกรรมสัตว์ป่าโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ส่วนค่าเสียหายประเด็นที่สื่อสนใจที่พนักงานอัยการเรียกค่าเสียหายเท่าไรนั้น เป็นไปตามที่มีผู้ไปออกสื่อต่างๆ นั้น ส่วนของเราที่เรียกค่าเสียหายได้ ความเห็นของเราให้ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 462,000 บาท ให้กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ตาม พรบ. ที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
หลังจากที่มีคำสั่งแล้ว จะส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้ไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อให้มีความเห็นทางคดีว่า เห็นชอบในคำสั่งที่อธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งไปหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ก็ได้ส่งสำนวนการสอบสวนทั้งหมดไปให้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 แล้ว อันนี้เป็นไปตามกระบวนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/1
ซึ่งขณะนี้คณะทำงานได้เตรียมร่างคำฟ้องเรียบร้อยแล้วเพียงแต่รอความเห็น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ว่าท่านเห็นชอบกับคำสั่งอธิบดีอัยการภาค 7 หรือไม่ ถ้าเห็นชอบก็จะยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ตามคำสั่งที่เรามีได้ภายในกำหนด ถ้ามาเร็วก็ยื่นฟ้องได้เร็ว ที่มาแถลงวันนี้เหมือนกับสำนวนได้เตรียมทำไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอกระบวนการตามวิอาญาว่าให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 มีความเห็นอย่างไรเท่านั้น แต่หากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 มีความเห็นแย้งกับคำสั่งอธิบดีอัยการภาค 7 ก็จะต้องส่งสำนวนนี้ไปอัยการสูงสุด เพื่อชี้ขาดความเห็นแย้ง แต่หากไม่แย้ง เรื่องจะกลับมาที่สำนักงานอัยการภาค 7 และจะยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรีตามระบบต่อไป