คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.ศาลฎีกานักการเมือง ออกหมายจับ “ทักษิณ” คดีแปลงค่าสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อธุรกิจ “ชินคอร์ป” !
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิจารณาคดีที่นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด โจทก์ มอบอำนาจให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณานำคดีที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อายุ 69 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย กรณีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท เป็นจำเลยตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. 2551 ที่ศาลเคยจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว เนื่องจากจำเลยหลบหนี และถูกออกหมายจับตามขั้นตอนไปแล้ว ขึ้นมาพิจารณาต่อไป ตามกระบวนพิจารณา มาตรา 28 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉบับใหม่ พ.ศ.2560 ที่มีผลบังคับใช้แล้ว
ทั้งนี้ พ.ร.ป.ดังกล่าว บัญญัติว่า เมื่อสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว จำเลยไม่มาศาลและได้ออกหมายจับแล้ว ถ้าไม่สามารถจับจำเลยได้ภายใน 3 เดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะตั้งทนายความมาดำเนินการแทนตนได้ และไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะมาต่อสู้คดีเมื่อใดก็ได้ ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา
สำหรับคดีนี้ โจทก์ฟ้องนายทักษิณ เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่น, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4, 100, 122 กรณีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต (พ.ศ.2527) พ.ศ.2546 เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจบริษัทชินคอร์ป ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2551
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นัดพิจารณาคดีครั้งแรก อัยการโจทก์มาศาล ส่วนจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่เดินทางมาและไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนนัดพิจารณาคดี จึงให้ออกหมายจับจำเลย โดยให้โจทก์ติดตามจับกุมจำเลยและรายงานให้ศาลทราบทุกเดือน ทั้งนี้ การที่จำเลยไม่เดินทางมาศาล ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธไม่ได้กระทำผิดตามคำฟ้องของโจทก์ ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 10 ก.ค.นี้ เวลา 9.30 น. และให้แจ้งนัดให้จำเลยทราบ
อนึ่ง นอกจากคดีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจชินคอร์ปแล้ว ยังมีคดีที่อัยการสูงสุดและ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ และยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลยตามกฎหมายใหม่เช่นกัน อีก 3 คดี ประกอบด้วย คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย, คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ และคดีหวยบนดิน
2.อัยการสั่งไม่ฟ้อง 24 ม็อบอยากเลือกตั้ง อ้างฟ้องไป ก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ รออัยการสูงสุดชี้ขาดอีกครั้ง!
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. มีรายงานว่า อัยการศาลแขวงปทุมวันได้นัดให้ผู้ต้องหาในคดีคนอยากเลือกตั้ง หรือ MBK39 ที่ถูกพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมาย คสช. แจ้งความข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 และชุมนุมในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จากกรณีชุมนุมที่สกายวอล์ก หน้าห้างสรรพสินค้า MBK (มาบุญครอง) เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้มารายงานตัว หลังจากเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ทางพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันมีความเห็นสั่งฟ้องคดีและส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการ
เป็นที่น่าสังเกตว่า พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า การฟ้องจะไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ และจะทำความเห็นพร้อมส่งสำนวนไปให้อัยการสูงสุดมีความเห็นต่อไป พร้อมนัดผู้ต้องหามารายงานตัวและฟังคำสั่งอีกครั้งว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 19 เม.ย.นี้ เวลา 10.00 น.
ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกมายืนยันข่าวอัยการศาลแขวงปทุมวันมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง 24 ผู้ต้องหาในคดีคนอยากเลือกตั้งว่า เป็นความจริง โดยอัยการเจ้าของสำนวน คือ นายเกริกเกียรติ รัฐนวธรรม
นายประยุทธ กล่าวด้วยว่า อัยการได้พิจารณาสำนวนที่มีการตั้งข้อหาผู้ต้องหา 33 คน ซึ่งมีการเเยกคดีเเกนนำ 9 คน ไปฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เเล้ว ส่วนคดีที่ฟ้องต่อศาลเเขวงปทุมวันมีผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คน ซึ่งอัยการพิจารณาสำนวนเเล้ว เห็นว่า คดีมีมูลการกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. เเต่ก็ยังเห็นว่าการชุมนุมดังกล่าว หากฟ้องไป จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง อย่างไรก็ตามการสั่งคดีดังกล่าวยังมีขั้นตอนปฏิบัติ ที่จะต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นดังกล่าวผ่านอธิบดีอัยการคดีศาลเเขวง เเละอัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคนสุดท้ายตามขั้นตอน โดยอัยการจะต้องมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องภายใน 30 วัน
มีรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ศาลแขวงปทุมวันได้พิพากษาคดี MBK39 อีก 2 ราย ได้แก่ นายนพเก้า คงสุวรรณ และนายนพพร นามเชียงใต้ ซึ่งให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนก่อนหน้านี้ โดยศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดทั้ง 2 ข้อหา พิพากษาจำคุก 12 วัน ปรับ 6,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 วัน ปรับ 3,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี
3.มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ขู่หาก “เปรมชัย” หลุดข้อหาล่าสัตว์ ปชช.เดินขบวนใหญ่แน่ ด้าน “ศรีวราห์” ยันหลักฐานแน่นหนาเอาผิดได้!
ความคืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คนเข้าไปล่าสัตว์คุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี ซึ่งเบื้องต้น ตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ ได้แจ้งข้อหา 9 ข้อหา ส่วนข้อหาทารุณกรรมสัตว์ ทางปศุสัตว์กาญจนบุรีผู้แจ้งความได้ถอนแจ้งความแล้ว เนื่องจากกฎหมายที่จะเอาผิดยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังไม่มีการระบุชนิดของสัตว์ธรรมชาติให้ชัดเจน ซึ่งตำรวจที่รับแจ้งความถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษภาคทัณฑ์ฐานรับแจ้งความดังกล่าว ตามที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติส่งสัญญาณมา ขณะที่ข้อหานายเปรมชัยและพวกติดสินบนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ปปป.) นั้น
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ออกแถลงการณ์ทวงถามความคืบหน้าคดีนายเปรมชัยและพวกล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ก่อนจะเดินทางไปยื่นแถลงการณ์ต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อไป ทั้งนี้ นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า “วันที่ 26 มี.ค.นี้ พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาว่าจะส่งฟ้องหรือไม่ อย่างไร พวกเราขอประกาศเลยว่า หากในสำนวนคดีที่ตำรวจจะส่งฟ้องศาล ถ้าไม่มีข้อหาเจตนาฆ่า ล่าสัตว์ป่า เราคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องนัดกับใคร เพื่อจะออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ เพราะพวกเราไม่ยอม นั่นหมายความว่า จะเกิดปรากฏการณ์ ประชาชนจะออกมาเดินกลางถนนอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน...”
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันว่า คดีนี้มีหลักฐานอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเชื่อมั่นได้ เชื่อว่าประชาชนจะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบงาช้าง 2 คู่ที่บ้านพักนายเปรมชัย และภายหลังตรวจสอบพบว่า เป็นงาช้างแอฟริกา ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายนั้น เมื่อวันที่ 6 มี.ค. นายอนุวรรต ลีลาพตะ รองหัวหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดด้านสัตว์ป่า(ชุดเหยี่ยวดง) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อดำเนินคดีนางคณิตา วิทยานันท์ ภรรยานายเปรมชัย ในความผิดฐานมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง(งาช้างแอฟริกา) โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 เนื่องจากนางคณิตาเป็นผู้นำงาช้างดังกล่าวมาขึ้นทะเบียนกับกรมอุทยานฯ และนำหลักฐานของงาช้างซึ่งอ้างว่าเป็นงาช้างบ้านมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาภรรยานายเปรมชัยเพียงคนเดียว แต่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่า มีผู้อื่นร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่
ส่วนคดีนายเปรมชัยและพวกล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ นั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ เผยว่า เพิ่งได้รับรายงานผลตรวจของกรมอุทยานฯ ว่า ชิ้นเนื้อที่พบในหม้อซุปและกระดูกท่อนขา 2 ชิ้น รวมทั้งลำไส้และเส้นขนเป็นของเสือดำจริง โดยเป็นเสือดำเพศเมีย ไม่ใช่เพศผู้ ส่วนชิ้นเนื้อที่อ้างว่าเป็นเนื้อเก้ง ผลตรวจพบว่าเป็นเพียงหมูป่า ขณะที่ชิ้นเนื้อที่อ้างว่าเป็นไก่ฟ้าหลังเทา ผลตรวจพบว่าเป็นไก่ฟ้าหลังขาว ส่วนอุจจาระที่พบ ผลตรวจพบเป็นอุจจาระของมนุษย์ แต่ไม่พบดีเอ็นเอของเสือดำ สำหรับผลตรวจวัตถุพยาน เช่น มีดอีโต้ มีดทำครัว มีดเหน็บ เขียง พบว่าบางชิ้นมีดีเอ็นเอของเสือดำเพศเมีย ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่พบในหม้อซุบ “ยืนยันว่า คดีนี้มีหลักฐานทั้งผลตรวจอาวุธปืน งาช้าง และซากสัตว์ป่า ชัดเจน สามารถเอาผิดกับนายเปรมชัยได้ อีกทั้งยังสามารถเอาผิดกับนางคณิตา เรื่องครอบครองงาช้างได้อย่างแน่นอน...”
ด้าน พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง เผยผลตรวจอาวุธปืน 3 กระบอกที่ยึดได้ในที่เกิดเหตุว่า อาวุธปืนทั้งหมดเป็นของนายเปรมชัยจริง ส่วนลูกกระสุนปืนที่ทำให้เสือดำตาย เป็นลูกกระสุนปรายที่สามารถบรรจุในปืนลูกซองขนาดเบอร์ 20 ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับ 1 ใน 3 กระบอกที่ตรวจยึดได้ การตรวจสอบยังพบว่า เป็นการยิงนัดเดียว ระยะใกล้ประมาณ 10 เมตร แต่กระสุนลูกปรายกระจายเป็น 8 รู และเจอหัวกระสุนลูกปรายที่เสือดำ 3 เม็ด
ขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันอีกครั้งเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ว่า พยานหลักฐานทั้งหมดมีความแน่นหนาพอที่จะดำเนินคดีนายเปรมชัยและพวกได้ โดยคาดว่า จะสรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการได้ภายในวันที่ 26 มี.ค. ส่วนกรณีที่โลกโซเชียลมีกระแสติดแฮชแท็ก #ไม่เอาศรีวราห์ นั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตนทำงานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา โลกโซเชียลจะว่ายังไงก็เป็นสิทธิ ไม่สามารถบังคับความคิดใครได้ แต่ถ้าพบว่ามีการเคลื่อนไหวเป็นขบวนการและมีเจตนากล่าวหาหรือกลั่นแกล้ง จะดำเนินการตามกฎหมายเช่นกัน
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ ทำงานตามหน้าที่ ที่ผ่านมาเขาตั้งใจทำงานดีทุกเรื่อง ส่วนกรณีที่มีบางฝ่ายเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวผู้ดูแลคดีนายเปรมชัยนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ทำงานก้าวหน้า ขอให้รอฟังการแถลงผลการดำเนินการก่อนว่าเป็นอย่างไร และมีข้อโต้แย้งหรือไม่ "ยืนยันว่าการดำเนินคดีนายเปรมชัย ไม่มีความเกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการมา อย่าทำงานนอกลู่นอกทาง ขอให้ทำตามกระบวนการ" พล.อ.ประวิตรยังยืนยันด้วยว่า ไม่ห่วงว่าคดีนี้จะล้ม เพราะทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
4.หวย 30 ล้าน ผู้การกองปราบฯ แจ้งจับ “พล.ต.ต.สุทธิ” แล้ว ด้าน ผบ.ตร.เปิดแถลงอีกรอบ-ผบช.ก.ยันแค่บกพร่อง ไม่ใช่ทุจริต!
ความคืบหน้ากรณีหวยอลเวง 30 ล้าน ที่สองฝ่ายต่างอ้างความเป็นเจ้าของ คือ ร.ต.อ.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ และนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี จ.กาญจนบุรี ซึ่งตอนแรกตำรวจภูธร ภาค 7 แถลงว่าล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลดังกล่าวเป็นของครูปรีชา และเตรียมแจ้งข้อหาหมวดจรูญข้อหายักยอกทรัพย์ที่ตกหายและรับของโจร แต่หลังจากตำรวจกองปราบฯ เข้ามาดูคดีนี้แทน ได้แถลงผลสอบพร้อม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 ก.พ.แล้ว แม้จะไม่พูดตรงๆ ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่บอกว่า ผู้ถือครองลอตเตอรี่ดังกล่าวมีสิทธิขึ้นเงินตามที่ระบุด้านหลังสลาก ขณะเดียวกันได้มีการออกหมายจับครูปรีชา และและนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และข้อหาอื่นๆ รวม 3 ข้อหา จากนั้นได้นำตัวมาสอบปากคำ และขอฝากขังต่อศาล ก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัว โดยตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท ท่ามกลางการจับตาว่า จะมีการออกหมายจับใครเพิ่มหรือไม่ และผู้ที่จะถูกดำเนินคดี มีตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยหรือไม่
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค. พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการปราบปราม เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.กาญจนบุรี ที่ถูกโยกมาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนหน้านี้แล้ว โดยบอกว่า ค่อนข้างมีพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว แต่ไม่ขอลงรายละเอียด พร้อมยืนยันว่า ที่ พล.ต.ต.สุทธิ เข้าพบตนเมื่อวันที่ 5 มี.ค. ไม่ได้มาเจรจาต่อรองเรื่องคดีความ เพราะนิสัยตน ไม่ใช่คนที่ต่อรองคดีได้
ส่วนการออกหมายจับผู้ต้องหาคดีนี้เพิ่มเติมนั้น พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า ตำรวจแบ่งผู้ต้องหาเป็น 3 กลุ่ม คือ ผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ, ผู้ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ และกลุ่มที่เป็นกองเชียร์ ที่แสดงความคิดเห็น โดยกลุ่มแรกออกหมายจับไปแล้ว 2 ราย ส่วนกลุ่มที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ อยู่ระหว่างพิจารณาออกหมายเรียก 2 คน ส่วนกลุ่มที่เหลือจะพิจารณาการใช้กฎหมาย ที่จะไม่ไปคุกคามการใช้ชีวิตของประชาชน ส่วนคดีนี้ จะมีคนบงการที่ใหญ่ว่านายปรีชาและนางรัตนาพรหรือไม่ พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่า ยี่ปั๊วหรือซาปั๊ว ที่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้ ทราบว่ามีผู้ถูกสลากกินแบ่งฯ จึงเข้ามามีส่วนร่วมกับขบวนการนี้ จึงได้ให้ชุดสืบสวนไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
วันเดียวกัน(7 มี.ค.) พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ผบก.ปปป.) เผยว่า ได้รับคำร้องทุกข์กล่าวโทษจากผู้การกองปราบฯ ให้ดำเนินคดี พล.ต.ต.สุทธิ แล้ว หลังจากนี้จะเรียก พล.ต.ต.สุทธิมาสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหา ก่อนส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พิจารณาชี้มูลความผิดโดยเร็วที่สุด
พล.ต.ต.กมล เผยด้วยว่า พฤติการณ์ของ พล.ต.ต.สุทธิตรงกับข้อมูลภายในเอกสารลับ 4 หน้าที่ถูกเผยแพร่ก่อนหน้านี้บางส่วน จากการสืบสวนพบว่า มีการสั่งให้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคดี เช่น สถานที่เกิดเหตุ วันเกิดเหตุ ส่วนตำรวจอีก 2 นายที่มีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่กองบังคับการปราบปรามก่อนหน้านี้ จะทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาให้กันไว้เป็นพยาน แต่หากเอกสารสำนวนในคดีนี้มีลายเซ็นหรือหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็ไม่จำเป็นต้องกันพยานไว้ประกอบสำนวนคดี
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 มี.ค. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมตำรวจที่เกี่ยวข้อง แถลงความคืบหน้าการคลี่คลายคดีหวย 30 ล้านอีกครั้ง โดยกล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามตนถึงการดำเนินการกับตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องในคดีนี้ ตนก็ตอบไปว่าขอเวลาให้ บช.ก. สืบสวนขยายผลไปก่อน ยืนยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู "ในส่วนของตำรวจคดีนี้ ถ้าพูดภาษาเราๆ คือติดกระดุมเม็ดบนผิด เม็ดสอง เม็ดสาม ผิดหมด เอาง่ายๆ เข้าใจง่าย ถ้า 1 ผิด 2 และ 3 ผิด อันนี้เริ่มต้นที่เมืองกาญจน์”
ขณะที่ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษณ์ ผบช.ก. กล่าวว่า พฤติการณ์ของ พล.ต.ต.สุทธิ ผบก.ภ.จ.กาญจนบุรี เกิดจากความเชื่อ ไม่ใช่ทุจริต "ตำรวจไม่ควรทำงานด้วยความเชื่อ เรื่องความเชื่อถูกทำให้เชื่อมาหลายครั้ง ด้วยคำให้การ ...ผมบอกด้วยความสัตย์จริง ผู้การฯ กาญจนบุรีไม่ได้ทุจริต เพียงแต่ทำงานด้วยวุฒิภาวะที่ต่ำ ขาดประสบการณ์ ขาดทักษะการทำงานด้านการสืบสวนสอบสวน จึงให้ผู้การฯ กาญจนบุรีกอดคอไปด้วยกันกับครูปรีชา”
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวอีกว่า ที่เกิดเหตุมีแค่ 3 คน ไม่ซับซ้อน ครั้งแรกที่มาทำเรื่องนี้ คิดว่าคดีน่าจะมีอะไรเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเปล่า เช่น คนขายล็อตเตอรี่นำล็อตเตอรีจากกองสลาก กระทั่งผ่านยี่ปั๊ว ซาปั๊ว มาถึงแผง อาจจะรู้ว่า ลอตเตอรี่ของตัวเองที่อยู่ในแผงมีรางวัลที่ 1 จึงมาสร้างสถานการณ์ แต่ทั้งหมดที่เกิดเรื่อง ทุกคดีมีแค่นี้เอง ผู้ขาย ผู้ซื้อ
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวด้วยว่า ผบก.ภ.จ.กาญจนบุรี เชื่อว่าครูปรีชาถูก หลังจากนั้นก็มีกระบวนทำสำนวนให้มีหลักฐานสั่งฟ้องไปที่อัยการ ก็คือคำให้การของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ที่มีการปรับเปลี่ยนให้กลมกลืน พยายามทำให้สำนวนพ้นตัวตำรวจ มีหลักฐานพอฟ้อง ให้ไปสู้กันที่ศาล นี่เป็นเรื่องบกพร่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนี้มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องหรือไม่ พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า มันมีการเสนอ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รับในส่วนนั้น เรื่องนี้ไม่ขอเปิดเผย เขาพยายามเสนอ แต่ไม่ได้กล่าวว่าเป็นใคร เมื่อถามว่า เป็นการเสนอส่วนแบ่งหรือไม่ พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า ประมาณนั้น
ล่าสุด มีรายงานว่า พล.ต.ต.สุทธิ ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหามาตรา 157 แล้วเมื่อวันที่ 9 มี.ค. เบื้องต้นให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมขอเวลา15 วันเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานมามอบให้ตำรวจ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ตำรวจได้ออกหมายเรียกครูปรีชา เจ๊บ้าบิ่น และ น.ส.พัชริดา พรมตา หรือ เจ๊พัช ให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในสัปดาห์หน้า หากไม่มาตามนัด จะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ตามระเบียบต่อไป
5.กรมควบคุมมลพิษเฮ ไม่ต้องจ่ายค่าโง่คลองด่าน 9 พันล้าน หลังศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ!
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีที่บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กับพวกรวม 6 คน ร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชำระเงินจำนวน 4,983,342,383 บาท กับอีก 31,035,780 ดอลล่าร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามสัญญาโครงการออกแบบก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น แต่กรมควบคุมมลพิษ ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน และกระทรวงการคลัง อ้างว่า มีคำพิพากษาในคดีอาญา ที่แสดงให้เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีการร่วมกันวางแผนและมีการเอื้อประโยชน์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในฐานะผู้แทนฝ่ายผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง จึงร้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีใหม่
ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า กระทรวงการคลังไม่ใช่คู่สัญญาและไม่ได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาโดยตรง จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่กรมควบคุมมลพิษเป็นผู้คัดค้าน จึงมีสิทธิขอพิจารณาคดีใหม่ได้ โดยศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า 1. บริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้นำโครงการของกิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี ได้กล่าวอ้างคุณสมบัติด้านการเงินของ บริษัท นอร์ทเวสต์ฯ โดยไม่มีหลักฐานใด ๆ ว่า บริษัทดังกล่าวจะเข้ามาร่วมรับผิดชอบในโครงการ การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษที่ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการร่วมค้าฯ ผู้รับจ้าง
2. เจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษ ได้มีประกาศจะขายที่ดินสำหรับใช้ในโครงการ ซึ่งห่างไปจากที่บริษัทที่ปรึกษาได้ศึกษาไว้กว่า 20 กิโลเมตร ส่งผลกระทบให้ราคาโครงการเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทคลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด เป็นผู้เสนอขายที่ดินบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทดังกล่าว ที่มีความสัมพันธ์ในเชิงบริหารและเชิงทุนกับบริษัทหนึ่งในกิจการร่วมค้าฯ
3. เจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษ ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อกำหนดการประกวดราคา(ทีโออาร์) ทำให้ที่ดินของกลุ่มบริษัท มารูเบนี่ คอเปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาอีกรายขาดคุณสมบัติ จึงเหลือที่ดินของบริษัท คลองด่านมารีนฯ ซึ่งเป็นที่ดินซึ่งอยู่ในการควบคุมของกิจการร่วมค้าฯ เพียงรายเดียว ทำให้บริษัทอีกรายไม่มีที่ดินที่จะใช้ดำเนินโครงการและขอถอนตัว
4. สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจร่างสัญญาและกำหนดให้กิจการร่วมค้าฯ และบริษัท นอร์ทเวสต์ฯ รับผิดร่วมกัน แต่เจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความ โดยตัดข้อความที่ให้บริษัท นอร์ทเวสต์ฯ ต้องรับผิดร่วมกันออก และการลงนามในสัญญา ได้ให้บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้ลงนามแทนกิจการร่วมค้าฯ และบริษัท นอร์ทเวสต์ฯ โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจที่ยื่นเมื่อครั้งประกวดราคา ซึ่งต่อมา บริษัทแม่ของบริษัทนอร์ทเวสต์ฯ ได้แจ้งขอถอนหนังสือมอบอำนาจเดิมต่อเจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีการตรวจสอบ โดยอ้างว่าเป็นปัญหาภายใน ที่ไม่เกี่ยวกับกรมควบคุมมลพิษ อันเป็นการช่วยเหลือกิจการร่วมค้า หลังจากนั้นได้มีการยินยอมให้บริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ่ง จำกัด ผู้ร้องที่ 6 ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เข้ามาเป็นคู่สัญญาแทนบริษัท นอร์ทเวสต์ฯ
ศาลปกครองเห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ ขัดต่อระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหาย โดยผู้ที่จะได้รับประโยชน์คือบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด และกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ดังนั้น สัญญาโครงการออกแบบก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งเกิดจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่มีผลผูกพันกรมควบคุมมลพิษผู้คัดค้าน คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงิน จึงมีเหตุให้เพิกถอนได้ เนื่องจากการบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าวเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลปกครองกลางจึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่มีคำชี้ขาดให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายจำนวนกว่า 9,000 ล้านบาท ให้แก่ 6 บริษัทดังกล่าว
1.ศาลฎีกานักการเมือง ออกหมายจับ “ทักษิณ” คดีแปลงค่าสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อธุรกิจ “ชินคอร์ป” !
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิจารณาคดีที่นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด โจทก์ มอบอำนาจให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณานำคดีที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อายุ 69 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย กรณีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท เป็นจำเลยตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. 2551 ที่ศาลเคยจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว เนื่องจากจำเลยหลบหนี และถูกออกหมายจับตามขั้นตอนไปแล้ว ขึ้นมาพิจารณาต่อไป ตามกระบวนพิจารณา มาตรา 28 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉบับใหม่ พ.ศ.2560 ที่มีผลบังคับใช้แล้ว
ทั้งนี้ พ.ร.ป.ดังกล่าว บัญญัติว่า เมื่อสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว จำเลยไม่มาศาลและได้ออกหมายจับแล้ว ถ้าไม่สามารถจับจำเลยได้ภายใน 3 เดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะตั้งทนายความมาดำเนินการแทนตนได้ และไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะมาต่อสู้คดีเมื่อใดก็ได้ ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา
สำหรับคดีนี้ โจทก์ฟ้องนายทักษิณ เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่น, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4, 100, 122 กรณีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต (พ.ศ.2527) พ.ศ.2546 เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจบริษัทชินคอร์ป ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2551
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นัดพิจารณาคดีครั้งแรก อัยการโจทก์มาศาล ส่วนจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่เดินทางมาและไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนนัดพิจารณาคดี จึงให้ออกหมายจับจำเลย โดยให้โจทก์ติดตามจับกุมจำเลยและรายงานให้ศาลทราบทุกเดือน ทั้งนี้ การที่จำเลยไม่เดินทางมาศาล ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธไม่ได้กระทำผิดตามคำฟ้องของโจทก์ ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 10 ก.ค.นี้ เวลา 9.30 น. และให้แจ้งนัดให้จำเลยทราบ
อนึ่ง นอกจากคดีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจชินคอร์ปแล้ว ยังมีคดีที่อัยการสูงสุดและ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ และยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลยตามกฎหมายใหม่เช่นกัน อีก 3 คดี ประกอบด้วย คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย, คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ และคดีหวยบนดิน
2.อัยการสั่งไม่ฟ้อง 24 ม็อบอยากเลือกตั้ง อ้างฟ้องไป ก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ รออัยการสูงสุดชี้ขาดอีกครั้ง!
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. มีรายงานว่า อัยการศาลแขวงปทุมวันได้นัดให้ผู้ต้องหาในคดีคนอยากเลือกตั้ง หรือ MBK39 ที่ถูกพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมาย คสช. แจ้งความข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 และชุมนุมในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จากกรณีชุมนุมที่สกายวอล์ก หน้าห้างสรรพสินค้า MBK (มาบุญครอง) เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้มารายงานตัว หลังจากเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ทางพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันมีความเห็นสั่งฟ้องคดีและส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการ
เป็นที่น่าสังเกตว่า พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า การฟ้องจะไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ และจะทำความเห็นพร้อมส่งสำนวนไปให้อัยการสูงสุดมีความเห็นต่อไป พร้อมนัดผู้ต้องหามารายงานตัวและฟังคำสั่งอีกครั้งว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 19 เม.ย.นี้ เวลา 10.00 น.
ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกมายืนยันข่าวอัยการศาลแขวงปทุมวันมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง 24 ผู้ต้องหาในคดีคนอยากเลือกตั้งว่า เป็นความจริง โดยอัยการเจ้าของสำนวน คือ นายเกริกเกียรติ รัฐนวธรรม
นายประยุทธ กล่าวด้วยว่า อัยการได้พิจารณาสำนวนที่มีการตั้งข้อหาผู้ต้องหา 33 คน ซึ่งมีการเเยกคดีเเกนนำ 9 คน ไปฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เเล้ว ส่วนคดีที่ฟ้องต่อศาลเเขวงปทุมวันมีผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คน ซึ่งอัยการพิจารณาสำนวนเเล้ว เห็นว่า คดีมีมูลการกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. เเต่ก็ยังเห็นว่าการชุมนุมดังกล่าว หากฟ้องไป จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง อย่างไรก็ตามการสั่งคดีดังกล่าวยังมีขั้นตอนปฏิบัติ ที่จะต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นดังกล่าวผ่านอธิบดีอัยการคดีศาลเเขวง เเละอัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคนสุดท้ายตามขั้นตอน โดยอัยการจะต้องมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องภายใน 30 วัน
มีรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ศาลแขวงปทุมวันได้พิพากษาคดี MBK39 อีก 2 ราย ได้แก่ นายนพเก้า คงสุวรรณ และนายนพพร นามเชียงใต้ ซึ่งให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนก่อนหน้านี้ โดยศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดทั้ง 2 ข้อหา พิพากษาจำคุก 12 วัน ปรับ 6,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 วัน ปรับ 3,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี
3.มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ขู่หาก “เปรมชัย” หลุดข้อหาล่าสัตว์ ปชช.เดินขบวนใหญ่แน่ ด้าน “ศรีวราห์” ยันหลักฐานแน่นหนาเอาผิดได้!
ความคืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คนเข้าไปล่าสัตว์คุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี ซึ่งเบื้องต้น ตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ ได้แจ้งข้อหา 9 ข้อหา ส่วนข้อหาทารุณกรรมสัตว์ ทางปศุสัตว์กาญจนบุรีผู้แจ้งความได้ถอนแจ้งความแล้ว เนื่องจากกฎหมายที่จะเอาผิดยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังไม่มีการระบุชนิดของสัตว์ธรรมชาติให้ชัดเจน ซึ่งตำรวจที่รับแจ้งความถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษภาคทัณฑ์ฐานรับแจ้งความดังกล่าว ตามที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติส่งสัญญาณมา ขณะที่ข้อหานายเปรมชัยและพวกติดสินบนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ปปป.) นั้น
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ออกแถลงการณ์ทวงถามความคืบหน้าคดีนายเปรมชัยและพวกล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ก่อนจะเดินทางไปยื่นแถลงการณ์ต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อไป ทั้งนี้ นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า “วันที่ 26 มี.ค.นี้ พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาว่าจะส่งฟ้องหรือไม่ อย่างไร พวกเราขอประกาศเลยว่า หากในสำนวนคดีที่ตำรวจจะส่งฟ้องศาล ถ้าไม่มีข้อหาเจตนาฆ่า ล่าสัตว์ป่า เราคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องนัดกับใคร เพื่อจะออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ เพราะพวกเราไม่ยอม นั่นหมายความว่า จะเกิดปรากฏการณ์ ประชาชนจะออกมาเดินกลางถนนอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน...”
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันว่า คดีนี้มีหลักฐานอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเชื่อมั่นได้ เชื่อว่าประชาชนจะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบงาช้าง 2 คู่ที่บ้านพักนายเปรมชัย และภายหลังตรวจสอบพบว่า เป็นงาช้างแอฟริกา ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายนั้น เมื่อวันที่ 6 มี.ค. นายอนุวรรต ลีลาพตะ รองหัวหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดด้านสัตว์ป่า(ชุดเหยี่ยวดง) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อดำเนินคดีนางคณิตา วิทยานันท์ ภรรยานายเปรมชัย ในความผิดฐานมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง(งาช้างแอฟริกา) โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 เนื่องจากนางคณิตาเป็นผู้นำงาช้างดังกล่าวมาขึ้นทะเบียนกับกรมอุทยานฯ และนำหลักฐานของงาช้างซึ่งอ้างว่าเป็นงาช้างบ้านมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาภรรยานายเปรมชัยเพียงคนเดียว แต่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่า มีผู้อื่นร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่
ส่วนคดีนายเปรมชัยและพวกล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ นั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ เผยว่า เพิ่งได้รับรายงานผลตรวจของกรมอุทยานฯ ว่า ชิ้นเนื้อที่พบในหม้อซุปและกระดูกท่อนขา 2 ชิ้น รวมทั้งลำไส้และเส้นขนเป็นของเสือดำจริง โดยเป็นเสือดำเพศเมีย ไม่ใช่เพศผู้ ส่วนชิ้นเนื้อที่อ้างว่าเป็นเนื้อเก้ง ผลตรวจพบว่าเป็นเพียงหมูป่า ขณะที่ชิ้นเนื้อที่อ้างว่าเป็นไก่ฟ้าหลังเทา ผลตรวจพบว่าเป็นไก่ฟ้าหลังขาว ส่วนอุจจาระที่พบ ผลตรวจพบเป็นอุจจาระของมนุษย์ แต่ไม่พบดีเอ็นเอของเสือดำ สำหรับผลตรวจวัตถุพยาน เช่น มีดอีโต้ มีดทำครัว มีดเหน็บ เขียง พบว่าบางชิ้นมีดีเอ็นเอของเสือดำเพศเมีย ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่พบในหม้อซุบ “ยืนยันว่า คดีนี้มีหลักฐานทั้งผลตรวจอาวุธปืน งาช้าง และซากสัตว์ป่า ชัดเจน สามารถเอาผิดกับนายเปรมชัยได้ อีกทั้งยังสามารถเอาผิดกับนางคณิตา เรื่องครอบครองงาช้างได้อย่างแน่นอน...”
ด้าน พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง เผยผลตรวจอาวุธปืน 3 กระบอกที่ยึดได้ในที่เกิดเหตุว่า อาวุธปืนทั้งหมดเป็นของนายเปรมชัยจริง ส่วนลูกกระสุนปืนที่ทำให้เสือดำตาย เป็นลูกกระสุนปรายที่สามารถบรรจุในปืนลูกซองขนาดเบอร์ 20 ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับ 1 ใน 3 กระบอกที่ตรวจยึดได้ การตรวจสอบยังพบว่า เป็นการยิงนัดเดียว ระยะใกล้ประมาณ 10 เมตร แต่กระสุนลูกปรายกระจายเป็น 8 รู และเจอหัวกระสุนลูกปรายที่เสือดำ 3 เม็ด
ขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันอีกครั้งเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ว่า พยานหลักฐานทั้งหมดมีความแน่นหนาพอที่จะดำเนินคดีนายเปรมชัยและพวกได้ โดยคาดว่า จะสรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการได้ภายในวันที่ 26 มี.ค. ส่วนกรณีที่โลกโซเชียลมีกระแสติดแฮชแท็ก #ไม่เอาศรีวราห์ นั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตนทำงานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา โลกโซเชียลจะว่ายังไงก็เป็นสิทธิ ไม่สามารถบังคับความคิดใครได้ แต่ถ้าพบว่ามีการเคลื่อนไหวเป็นขบวนการและมีเจตนากล่าวหาหรือกลั่นแกล้ง จะดำเนินการตามกฎหมายเช่นกัน
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ ทำงานตามหน้าที่ ที่ผ่านมาเขาตั้งใจทำงานดีทุกเรื่อง ส่วนกรณีที่มีบางฝ่ายเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวผู้ดูแลคดีนายเปรมชัยนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ทำงานก้าวหน้า ขอให้รอฟังการแถลงผลการดำเนินการก่อนว่าเป็นอย่างไร และมีข้อโต้แย้งหรือไม่ "ยืนยันว่าการดำเนินคดีนายเปรมชัย ไม่มีความเกรงใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการมา อย่าทำงานนอกลู่นอกทาง ขอให้ทำตามกระบวนการ" พล.อ.ประวิตรยังยืนยันด้วยว่า ไม่ห่วงว่าคดีนี้จะล้ม เพราะทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
4.หวย 30 ล้าน ผู้การกองปราบฯ แจ้งจับ “พล.ต.ต.สุทธิ” แล้ว ด้าน ผบ.ตร.เปิดแถลงอีกรอบ-ผบช.ก.ยันแค่บกพร่อง ไม่ใช่ทุจริต!
ความคืบหน้ากรณีหวยอลเวง 30 ล้าน ที่สองฝ่ายต่างอ้างความเป็นเจ้าของ คือ ร.ต.อ.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ และนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี จ.กาญจนบุรี ซึ่งตอนแรกตำรวจภูธร ภาค 7 แถลงว่าล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลดังกล่าวเป็นของครูปรีชา และเตรียมแจ้งข้อหาหมวดจรูญข้อหายักยอกทรัพย์ที่ตกหายและรับของโจร แต่หลังจากตำรวจกองปราบฯ เข้ามาดูคดีนี้แทน ได้แถลงผลสอบพร้อม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 ก.พ.แล้ว แม้จะไม่พูดตรงๆ ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่บอกว่า ผู้ถือครองลอตเตอรี่ดังกล่าวมีสิทธิขึ้นเงินตามที่ระบุด้านหลังสลาก ขณะเดียวกันได้มีการออกหมายจับครูปรีชา และและนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และข้อหาอื่นๆ รวม 3 ข้อหา จากนั้นได้นำตัวมาสอบปากคำ และขอฝากขังต่อศาล ก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัว โดยตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท ท่ามกลางการจับตาว่า จะมีการออกหมายจับใครเพิ่มหรือไม่ และผู้ที่จะถูกดำเนินคดี มีตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยหรือไม่
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค. พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการปราบปราม เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.กาญจนบุรี ที่ถูกโยกมาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนหน้านี้แล้ว โดยบอกว่า ค่อนข้างมีพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว แต่ไม่ขอลงรายละเอียด พร้อมยืนยันว่า ที่ พล.ต.ต.สุทธิ เข้าพบตนเมื่อวันที่ 5 มี.ค. ไม่ได้มาเจรจาต่อรองเรื่องคดีความ เพราะนิสัยตน ไม่ใช่คนที่ต่อรองคดีได้
ส่วนการออกหมายจับผู้ต้องหาคดีนี้เพิ่มเติมนั้น พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า ตำรวจแบ่งผู้ต้องหาเป็น 3 กลุ่ม คือ ผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ, ผู้ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ และกลุ่มที่เป็นกองเชียร์ ที่แสดงความคิดเห็น โดยกลุ่มแรกออกหมายจับไปแล้ว 2 ราย ส่วนกลุ่มที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ อยู่ระหว่างพิจารณาออกหมายเรียก 2 คน ส่วนกลุ่มที่เหลือจะพิจารณาการใช้กฎหมาย ที่จะไม่ไปคุกคามการใช้ชีวิตของประชาชน ส่วนคดีนี้ จะมีคนบงการที่ใหญ่ว่านายปรีชาและนางรัตนาพรหรือไม่ พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่า ยี่ปั๊วหรือซาปั๊ว ที่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้ ทราบว่ามีผู้ถูกสลากกินแบ่งฯ จึงเข้ามามีส่วนร่วมกับขบวนการนี้ จึงได้ให้ชุดสืบสวนไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
วันเดียวกัน(7 มี.ค.) พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ผบก.ปปป.) เผยว่า ได้รับคำร้องทุกข์กล่าวโทษจากผู้การกองปราบฯ ให้ดำเนินคดี พล.ต.ต.สุทธิ แล้ว หลังจากนี้จะเรียก พล.ต.ต.สุทธิมาสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหา ก่อนส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พิจารณาชี้มูลความผิดโดยเร็วที่สุด
พล.ต.ต.กมล เผยด้วยว่า พฤติการณ์ของ พล.ต.ต.สุทธิตรงกับข้อมูลภายในเอกสารลับ 4 หน้าที่ถูกเผยแพร่ก่อนหน้านี้บางส่วน จากการสืบสวนพบว่า มีการสั่งให้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคดี เช่น สถานที่เกิดเหตุ วันเกิดเหตุ ส่วนตำรวจอีก 2 นายที่มีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่กองบังคับการปราบปรามก่อนหน้านี้ จะทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาให้กันไว้เป็นพยาน แต่หากเอกสารสำนวนในคดีนี้มีลายเซ็นหรือหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็ไม่จำเป็นต้องกันพยานไว้ประกอบสำนวนคดี
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 มี.ค. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมตำรวจที่เกี่ยวข้อง แถลงความคืบหน้าการคลี่คลายคดีหวย 30 ล้านอีกครั้ง โดยกล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามตนถึงการดำเนินการกับตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องในคดีนี้ ตนก็ตอบไปว่าขอเวลาให้ บช.ก. สืบสวนขยายผลไปก่อน ยืนยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู "ในส่วนของตำรวจคดีนี้ ถ้าพูดภาษาเราๆ คือติดกระดุมเม็ดบนผิด เม็ดสอง เม็ดสาม ผิดหมด เอาง่ายๆ เข้าใจง่าย ถ้า 1 ผิด 2 และ 3 ผิด อันนี้เริ่มต้นที่เมืองกาญจน์”
ขณะที่ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษณ์ ผบช.ก. กล่าวว่า พฤติการณ์ของ พล.ต.ต.สุทธิ ผบก.ภ.จ.กาญจนบุรี เกิดจากความเชื่อ ไม่ใช่ทุจริต "ตำรวจไม่ควรทำงานด้วยความเชื่อ เรื่องความเชื่อถูกทำให้เชื่อมาหลายครั้ง ด้วยคำให้การ ...ผมบอกด้วยความสัตย์จริง ผู้การฯ กาญจนบุรีไม่ได้ทุจริต เพียงแต่ทำงานด้วยวุฒิภาวะที่ต่ำ ขาดประสบการณ์ ขาดทักษะการทำงานด้านการสืบสวนสอบสวน จึงให้ผู้การฯ กาญจนบุรีกอดคอไปด้วยกันกับครูปรีชา”
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวอีกว่า ที่เกิดเหตุมีแค่ 3 คน ไม่ซับซ้อน ครั้งแรกที่มาทำเรื่องนี้ คิดว่าคดีน่าจะมีอะไรเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเปล่า เช่น คนขายล็อตเตอรี่นำล็อตเตอรีจากกองสลาก กระทั่งผ่านยี่ปั๊ว ซาปั๊ว มาถึงแผง อาจจะรู้ว่า ลอตเตอรี่ของตัวเองที่อยู่ในแผงมีรางวัลที่ 1 จึงมาสร้างสถานการณ์ แต่ทั้งหมดที่เกิดเรื่อง ทุกคดีมีแค่นี้เอง ผู้ขาย ผู้ซื้อ
พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวด้วยว่า ผบก.ภ.จ.กาญจนบุรี เชื่อว่าครูปรีชาถูก หลังจากนั้นก็มีกระบวนทำสำนวนให้มีหลักฐานสั่งฟ้องไปที่อัยการ ก็คือคำให้การของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ที่มีการปรับเปลี่ยนให้กลมกลืน พยายามทำให้สำนวนพ้นตัวตำรวจ มีหลักฐานพอฟ้อง ให้ไปสู้กันที่ศาล นี่เป็นเรื่องบกพร่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนี้มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องหรือไม่ พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า มันมีการเสนอ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รับในส่วนนั้น เรื่องนี้ไม่ขอเปิดเผย เขาพยายามเสนอ แต่ไม่ได้กล่าวว่าเป็นใคร เมื่อถามว่า เป็นการเสนอส่วนแบ่งหรือไม่ พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า ประมาณนั้น
ล่าสุด มีรายงานว่า พล.ต.ต.สุทธิ ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหามาตรา 157 แล้วเมื่อวันที่ 9 มี.ค. เบื้องต้นให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมขอเวลา15 วันเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานมามอบให้ตำรวจ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ตำรวจได้ออกหมายเรียกครูปรีชา เจ๊บ้าบิ่น และ น.ส.พัชริดา พรมตา หรือ เจ๊พัช ให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในสัปดาห์หน้า หากไม่มาตามนัด จะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ตามระเบียบต่อไป
5.กรมควบคุมมลพิษเฮ ไม่ต้องจ่ายค่าโง่คลองด่าน 9 พันล้าน หลังศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ!
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีที่บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กับพวกรวม 6 คน ร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชำระเงินจำนวน 4,983,342,383 บาท กับอีก 31,035,780 ดอลล่าร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามสัญญาโครงการออกแบบก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น แต่กรมควบคุมมลพิษ ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน และกระทรวงการคลัง อ้างว่า มีคำพิพากษาในคดีอาญา ที่แสดงให้เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีการร่วมกันวางแผนและมีการเอื้อประโยชน์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในฐานะผู้แทนฝ่ายผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง จึงร้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีใหม่
ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า กระทรวงการคลังไม่ใช่คู่สัญญาและไม่ได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาโดยตรง จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่กรมควบคุมมลพิษเป็นผู้คัดค้าน จึงมีสิทธิขอพิจารณาคดีใหม่ได้ โดยศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า 1. บริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้นำโครงการของกิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี ได้กล่าวอ้างคุณสมบัติด้านการเงินของ บริษัท นอร์ทเวสต์ฯ โดยไม่มีหลักฐานใด ๆ ว่า บริษัทดังกล่าวจะเข้ามาร่วมรับผิดชอบในโครงการ การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษที่ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการร่วมค้าฯ ผู้รับจ้าง
2. เจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษ ได้มีประกาศจะขายที่ดินสำหรับใช้ในโครงการ ซึ่งห่างไปจากที่บริษัทที่ปรึกษาได้ศึกษาไว้กว่า 20 กิโลเมตร ส่งผลกระทบให้ราคาโครงการเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทคลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด เป็นผู้เสนอขายที่ดินบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทดังกล่าว ที่มีความสัมพันธ์ในเชิงบริหารและเชิงทุนกับบริษัทหนึ่งในกิจการร่วมค้าฯ
3. เจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษ ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อกำหนดการประกวดราคา(ทีโออาร์) ทำให้ที่ดินของกลุ่มบริษัท มารูเบนี่ คอเปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาอีกรายขาดคุณสมบัติ จึงเหลือที่ดินของบริษัท คลองด่านมารีนฯ ซึ่งเป็นที่ดินซึ่งอยู่ในการควบคุมของกิจการร่วมค้าฯ เพียงรายเดียว ทำให้บริษัทอีกรายไม่มีที่ดินที่จะใช้ดำเนินโครงการและขอถอนตัว
4. สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจร่างสัญญาและกำหนดให้กิจการร่วมค้าฯ และบริษัท นอร์ทเวสต์ฯ รับผิดร่วมกัน แต่เจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความ โดยตัดข้อความที่ให้บริษัท นอร์ทเวสต์ฯ ต้องรับผิดร่วมกันออก และการลงนามในสัญญา ได้ให้บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้ลงนามแทนกิจการร่วมค้าฯ และบริษัท นอร์ทเวสต์ฯ โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจที่ยื่นเมื่อครั้งประกวดราคา ซึ่งต่อมา บริษัทแม่ของบริษัทนอร์ทเวสต์ฯ ได้แจ้งขอถอนหนังสือมอบอำนาจเดิมต่อเจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีการตรวจสอบ โดยอ้างว่าเป็นปัญหาภายใน ที่ไม่เกี่ยวกับกรมควบคุมมลพิษ อันเป็นการช่วยเหลือกิจการร่วมค้า หลังจากนั้นได้มีการยินยอมให้บริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ่ง จำกัด ผู้ร้องที่ 6 ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เข้ามาเป็นคู่สัญญาแทนบริษัท นอร์ทเวสต์ฯ
ศาลปกครองเห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ ขัดต่อระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหาย โดยผู้ที่จะได้รับประโยชน์คือบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด และกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ดังนั้น สัญญาโครงการออกแบบก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งเกิดจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่มีผลผูกพันกรมควบคุมมลพิษผู้คัดค้าน คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงิน จึงมีเหตุให้เพิกถอนได้ เนื่องจากการบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าวเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลปกครองกลางจึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่มีคำชี้ขาดให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายจำนวนกว่า 9,000 ล้านบาท ให้แก่ 6 บริษัทดังกล่าว