ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายแก่เอกชนจำนวนกว่า 9 พันล้านบาท กรณียกเลิกโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ
วันนี้ (6 มี.ค.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายในโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ จำนวนกว่า 9 พันล้านบาท ให้แก่ 6 บริษัทร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี ที่มีบริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง เป็นแกนนำ โดยศาลเห็นว่าพฤติกรรมการทุจริตเอื้อประโยชน์ให้ใช้ที่ดินของบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ฟิชเชอรี่ จำกัด บริษัทในเครือการก่อสร้างโครงการ และเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี ให้ได้รับคัดเลือกเข้าทำสัญญาโครงการกับกรมควบคุมมลพิษ รวมทั้งให้ผ่านคุณสมบัติในการประกวดราคา และเพิ่มวงเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ของนายศิริธัญญ์ ไพโรจน์พิบูรณ์ อดีตรองอธิบดี คพ. และนางยุวรี อินนา ผอ.กองจัดการคุณภาพน้ำ เป็นผลทำให้ราชการเกิดความเสียหาย ดังนั้นการลงนามสัญญาของนายปกิต กิระวานิช อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จึงไม่มีผลผูกพันกรมควบคุมมลพิษ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชำระค่าเสียหายจึงมีเหตุให้เพิกถอนได้ ตามมาตรา 40 วรรค 3 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ เนื่องจากการบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าวเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ทั้งนี้ กรณีคดีดังกล่าวกระทรวงการคลังและกรมควบคุมมลพิษ ได้ยื่นร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จากที่ก่อนหน้านั้นเมื่อ 21 พ.ย. 2557 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการและไม่เกินคำขอของคู่พิพาทตามมาตรา 37 วรรคสอง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 จึงไม่มีเหตุให้เพิกถอน กรมควบคุมมลพิษจึงต่องจ่ายค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย โดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2558 ให้กรมควบคุมมลพิษแบ่งจ่ายค่าเสียหายเป็น 3 งวด และเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2558 ได้จ่ายชำระงวดแรกไปแล้วเป็นเงิน 3,174,581,566.04 บาท และ 21,713,855.40 บาท ส่วนงวดถัดๆ มายังไม่มีการจ่าย เนื่องจากศาลปกครองได้รับคำร้องขอให้รื้อคดีนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัยใหม่ และเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2560 ได้มีคำสั่งงดการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่รัฐต้องจ่ายค่าเสียหายไว้ก่อนจนกว่าคดีที่รื้อขึ้นพิจารณาใหม่นี้จะมีคำพิพากษาถึงที่สุด