“ตราบใดที่ไก่ยังกินข้าวเปลือก ตราบนั้นยังจะมีนักการเมืองคดโกงอยู่ร่ำไป” เป็นวาทะของนักการเมืองคนดัง นายเลียง ไชยกาล อดีต ส.ส.ตลอดกาลของจังหวัดอุบลราชธานี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง ที่ประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนในยุคที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งถือได้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีมือสะอาดคนหนึ่ง ครองเมืองด้วยอำนาจเผด็จการ แต่ “ไก่ก็ยังกินข้าวเปลือก”
จอมพลผิน ชุณหะวัณ บุคคลสำคัญคนหนึ่งในการครองอำนาจของจอมพล ป. ได้บันทึกถึงเบื้องหลังการทำรัฐประหารเมื่อปี ๒๔๙๐ เพื่อดึงจอมพล ป.กลับมาสู่อำนาจหลังหลุดพ้นคดี “อาชญากรสงคราม” ว่า
“...เหตุการณ์ที่ไม่สมควรเกิดขึ้น คือการซื้อผ้าสำหรับตัดเย็บเป็นเครื่องแบบทหาร ซึ่งทำการประมูลได้เมตรละ ๑๐ บาท ครั้นถึงเวลาส่งผ้ามาให้ พ่อค้าก็นำผ้าบางคล้ายผ้าเย็บมุ้งราคาเมตรละ ๔ บาทส่งมาให้ ข้าพเจ้าได้นำผ้าตัวอย่างครั้งแรกเก็บไว้ ๑ ชิ้นมาเปรียบเทียบดู นับว่าผิดกับตัวอย่างมาก จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่กรมพระธรรมนูญทำการสอบสวน ปรากฏว่าผ้าราคา ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถูกโกงไป ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยการโกงกินกันเป็นทีม ในที่สุดก็ลงโทษตามโทษานุโทษ ผู้เก็บผ้าตัวอย่างถูกจำคุก ๓ ปี
เรื่องที่ ๒ การซื้อเครื่องสนามของทหาร คณะกรรมการได้เสนอการประมูลของเจ้าหน้าที่ ราคาถูกที่สุดเครื่องละ ๑,๖๐๐ บาท ข้าพเจ้ายังไม่อนุมัติ ให้ผู้อำนวยการ อ.จ.ส.สืบราคาดูก่อนว่ามีราคาเท่าใดกันแน่ ได้ความว่าร้านแห่งเดียวกันในประเทศญี่ปุ่น บอกราคาเครื่องสนามชุดละ ๘๐๐ บาทเท่านั้น จึงให้ อ.จ.ส.ซื้อต่อไป ถ้าไม่รอบคอบอาจสูญเสียเลือดเนื้อทหารไป ๔๐ ล้านบาท ในจำนวนเครื่องสนาม ๕๐,๐๐๐ เครื่อง เรื่องนี้ภายหลังแม่ค้าผู้ส่งเครื่องร้องไห้มาหาข้าพเจ้าที่บ้าน ว่าให้เงินล่วงหน้าแก่กรรมการไปแล้ว ๓๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าคราวนี้ไม่ได้ส่งราคาเต็มต้องเป็นหนี้เขาแย่ ข้าพเจ้าได้ตอบไปว่า ที่ไม่นำเรื่องนี้ไปฟ้องศาลในฐานะให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ก็ดีแล้ว แกก็รู้สึกตกใจและลากลับทันที
เรื่องที่ ๓ การซื้อผ้าขาวม้าอาบน้ำทหาร ซึ่งพ่อค้าส่งมาไม่เหมือนตัวอย่างเช่นเดียวกัน แต่เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างไม่กล้าเปลี่ยน แต่พ่อค้านำผ้าขาวม้าอาบน้ำไปส่งยังคลังกรมยกกระบัตรหมดแล้ว แต่เห็นว่าราคาไม่มากนัก จึงสั่งให้ขนกลับคืนไป
เรื่องที่ ๔ การซื้อร่มชูชีพสำหรับนำสิ่งของไปทิ้งให้ทหารในสนามรบ ซึ่งคณะกรรมการสืบราคาและประมูลเสร็จแล้ว ได้ราคาชุดละ ๒๐๐ ดอลลาร์ ข้าพเจ้าให้ผู้อำนวยการ อ.จ.ส. สืบราคาใหม่ใน ๗ วัน ก็ทราบว่าเป็นร้านค้าเดียวกันในญี่ปุ่นขายในราคา ๔๗ ดอลลาร์ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดโทโส จึงตวาดออกไปอย่างแรงว่า จะโกงกินกันไปถึงไหน ตกลงซื้อได้ในราคาชุดละ ๔๘ ดอลลาร์ นับว่าได้ลดงบประมาณไป ๓๐๔,๐๐๐ ดอลลาร์ ในจำนวนที่กองทัพบกต้องซื้อ ๒,๐๐๐ ชุด...”
ในยุคเผด็จการทหารแท้ๆ ยังกล้าล้วงคองูเห่าถึงในกองทัพ
ในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นยุคของข้าวยากหมากแพง แม้ไทยจะรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม แต่อังกฤษก็เรียกร้องให้ไทยต้องส่งข้าวให้ ๑,๒๐๐,๐๐๐ ตันเป็นค่าชดใช้สงคราม และให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๒ เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ ทำให้ข้าวสารขาดตลาด ถึงมีเงินก็หาซื้อกรอกหม้อกันยาก พ่อค้าได้โอกาสเลยกักตุนข้าวสารไว้โก่งราคา รัฐบาล พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ จึงใช้มาตรการเด็ดขาดบังคับซื้อข้าวสารที่พ่อค้ากักตุนส่งไปขายให้ประชาชนทั่วประเทศในราคาถูก จังหวัดหนึ่งที่รัฐบาลให้พาณิชย์จังหวัดนำไปขายให้ประชาชนคือจังหวัดสงขลา ซึ่งอดอยากหนัก ชาวสงขลาต่างดีใจควักเงินไว้รอซื้อข้าว แต่ปรากฏว่าข้าวสารหาจังหวัดสงขลาไม่เจอ เลยไปถึงสิงคโปร์ซึ่งข้าวสารราคาแพงหนัก ผลการสอบสวนปรากฏว่าเป็นฝีมือพาณิชย์จังหวัดเอง เลยถูกไล่ออก
ดูเขาทำกัน!
ส่วนท่าน ส.ส.ผู้มีเกียรติก็มีวีรกรรมงามหน้าเหมือนกัน ตอนสงคราม ญี่ปุ่นกว้านซื้อจอบ เสียมไปเกลี้ยงตลาด เพื่อเอาไปใช้ทำทางรถไฟสายมรณะ หลังสงครามรัฐบาลจึงเอาจอบเอาเสียม รวมทั้งผ้าเวสป้อยส์ที่ทหารอเมริกันใช้ตัดเครื่องแบบ ส่งไปบรรเทาทุกข์ให้ประชาชน โดยมอบให้ ส.ส.ของแต่ละจังหวัดจัดการ โดยเชื่อในความเป็นผู้มีเกียรติที่ได้รับเลือกมาจากประชาชน แต่ท่านผู้มีเกือกกลับเอาไปขายให้พ่อค้า โก่งราคาขูดรีดผู้ยากไร้ จนเป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั้งประเทศ มีคนเอาไปแต่งเพลงนักการเมืองกินจอบกินเสียม ร้องกันสนั่นเมือง
คนอะไรกินได้แม้แต่จอบเสียม สมัยนี้เขาเป็นกว่าเยอะ กินข้าว!
เมื่อไม่กี่วันมานี้ได้เล่าเรื่อง “เสี่ยงตายถวายข้อตำหนิการปกครองสมัย ร.๕” คนหนุ่มกลุ่มนั้นได้เสนอทางรอดของประเทศที่สำคัญ ๒ ประการคือ ต้องมีรัฐธรรมนูญ และจะต้องขจัดการกินสินบนทุกๆทาง แสดงว่าการคอรัปชั่นในสมัยนั้นก็คงจะไม่ใช่น้อย ตอนนั้นกำลังมีการปรับปรุงกองทัพเป็นแบบยุโรป ขุนนางคนสำคัญส่งลูกหลานเข้ามาเป็นทหาร เพื่อแก้ภาพพจน์ทหารว่ามีแต่พวกถูกเกณฑ์เป็นที่รังเกียจ คนรวยเลยอยากให้ลูกหลานเป็นทหารกันมาก จนเกิดซื้อขายตำแหน่งกัน มีราคานายร้อยตรี ๔๐๐ บาท นายร้อยโท ๖๐๐ บาท นายร้อยเอก ๖๐๐ บาท ส่วนนายทหารบางคนก็ส่งทาสของตัวเข้ามาเป็นพลทหาร ซึ่งมีเงินเดือน ๑๐ บาท และเบี้ยเลี้ยงอีกวันละ ๔ อัฐหรือสตางค์ แล้วรับเงินไว้เอง จ่ายให้ทาสที่เป็นทหารเพียงเดือนละ ๔ บาทบ้าง ๒ บาทบ้าง
แบบนี้กองทัพจะมีสมรรถภาพได้ยังไง ฉะนั้นเมื่อ จมื่นไววรนาถ ซึ่งต่อมาก็คือ จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เข้ามาเป็นผู้บังคับการกรมทหารหน้า จึงสะสางเรื่องเหล่านี้ และให้ทหารทั้งหมดกล่าวคำปฏิญาณในพระบรมมหาราชวัง สาบานต่อพระแก้วมรกตและพระบรมฉายาลักษณ์ ว่าจะไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่เบียดบังเอาผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ละเลยการกระทำใดๆที่เห็นว่าเป็นสิ่งนำมาซึ่งความเจริญของกองทัพ ถ้ารู้ว่านายทหารคนใดกระทำการไม่สุจริตต่อกองทัพ ก็จะนำความไปแจ้งกับผู้บังคับกรมโดยด่วน หากไม่มีคำสัตย์จริงต่อคำปฏิญาณนี้ จะด้วยความพินาศฉิบหายชั่วโคตรและเสื่อมโทรมมาถึงวงศ์ตระกูล ผู้ปฏิญาณจะรับความพินาศนั้นไว้ทั้งสิ้น
ปรากฏว่าวิธีการนี้ได้ผล หลังจากนั้นก็มีทหารจำนวนมากที่ได้รู้ได้เห็นการคอรัปชั่นในกรมทหารหน้าไปแจ้งต่อจมื่นไวยวรนาถ อย่างพลาธิการในกรมทหารหน้า ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระมหากรุณาธิคุณจ่ายพระราชทรัพย์ให้ทำข้าวต้มเลี้ยงทหารทุกคืน พลาธิการกลับเลี้ยงเป็นบางคืนและนานๆครั้ง แต่เบิกเงินค่าข้าวต้มทุกคืน เมื่อตรวจสอบบัญชีก็พบว่า เบียดบังเงินไปถึง ๓๘๙ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ๑ บาท หรือ ๓๑,๑๖๑ บาท ซึ่งไม่น้อยสำหรับยุคนั้น ปรากฏว่าเอาไปปลูกบ้าน ๓๐๐ ชั่ง จึงยึดบ้านย้ายให้ไปนอนคุกแทน
นี่ก็เป็นเรื่องโกงกินกันในอดีต ในยุคที่ยังกินเล็กกินน้อย แต่คนเราเมื่อโกงได้ก็ต้องละโมบขึ้นทุกที รวยเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นก็หน้าด้านมากขึ้น โกงกันดื้อๆ และโกงกันอย่างมโหฬาร ซึ่งคนที่จะโกงแบบนี้ได้ก็ต้องมีอำนาจทางการเมือง และวิธีลัดที่จะเดินไปถึงจุดนั้นได้ก็คือ ทุ่มเงินซื้อเสียงในการเลือกตั้ง
เรื่องนี้เลยต้องนิมนต์หลวงพ่อคูณปริสุทโธมาแสดงธรรมอีกครั้ง เพราะท่านเคยตอบนักข่าวอย่างเห็นสัจธรรมแจ่มแจ้งไว้ว่า
“ผู้แทนทุกคนที่ไปประชุมในสภาน่ะ จะตั้งใจไปพัฒนาประเทศบ้านเมืองมันก็มี แต่มีน้อย คนที่หาช่องทางเข้าไปหาเงินน่ะมีมาก เข้าไปเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เข้าไปหาช่องทางหาเงิน หาความร่ำรวยมีมาก... ถ้าทำอย่างในปลิวโฆษณาหาเสียงตอนสมัครผู้แทน บ้านเมืองเราก็เจริญ แต่นี่มันไม่ทำตามใบปลิวโฆษณาตอนหาเสียง มึงก็ดูเอาเถอะมันจริงไหม แล้วทำไมไม่ทำตามใบปลิวหาเสียง ก็มันเข้าไปเพื่อหาช่องทางหาเงิน...”
ถ้าเราไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับกระสือดูดเลือดพวกนี้ ประเทศไทยก็ต้องมีสิ่งดีๆก้าวหน้าขึ้นอีกมากมาย ไม่เสียโอกาสสร้างความเจริญให้ประเทศไปกับนโยบายอุบาทว์ มุ่งไปที่การกอบโกยของนักการเมือง แต่สร้างความย่อยยับให้ประเทศ