ประชาชนทั้งจากต่างจังหวัด และกรุงเทพฯ ใช้โอกาสวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ เดินทางมาร่วมกราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
วันนี้ (3 ม.ค.) บรรยากาศการเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง นั้น เจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ในเวลา 04.50 น. ก่อนเปลี่ยนเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน เวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรี
ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนทั้งจากต่างจังหวัด และกรุงเทพฯ ที่ใช้โอกาสวันหยุดยาวในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ พากันสวมใส่ชุดสีดำมากันเป็นหมู่คณะและครอบครัว เพื่อมาสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
นางประพันธ์ โอฬาริ อายุ 62 ปี ชาวสวนยาง จ.สตูล เพิ่งมีโอกาสเดินทางมาเป็นครั้งแรก พร้อมกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง โดยเหมารถบัสโดยสารออกเดินทางจากบ้านมาตั้งแต่ 5 โมงเย็น และมาต่อแถวที่ท้องสนามหลวงเวลาตีสามของวันนี้ กล่าวด้วยความปลาบปลื้มใจว่า ตัวเองมีอาชีพกรีดยางเพิ่งว่างเดินทางมาสักการะพระบรมศพวันนี้ พร้อมกับเพื่อนๆ ก่อนมาลูกก็เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ เพราะว่าป่วยเป็นข้อเข่าเสื่อม มีอาการปวดเข่า ลูกดูข่าวจากทีวีเห็นคนเดินกันเร็วก็กลัวแม่จะก้าวไม่ทันคนอื่น แต่ก็ใจสู้ และน่าแปลกใจมากที่วันนี้ไม่ปวดหัวเข่าเลย
“ดิฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีโครงการพระราชดำริต่างๆ เพื่อชาวใต้และคนไทยมากมาย แม้จะไม่มีบุญได้เข้าเฝ้าฯ สักครั้ง แต่ก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณโดยไม่รู้ลืม สำหรับพระบรมฉายาลักษณ์พระราชทานเป็นที่ระลึกนี้ ตั้งใจจะเอาไปอัดกรอบเพื่อบูชา” นางประพันธ์ กล่าว
นางสัจจาภรณ์ สุทธิพงศ์เกียรติ อายุ 54 ปี เผยว่า เดินทางมาพร้อมสามีโดยรถยนต์ส่วนตัวจากจังหวัดอ่างทองตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้ถึงกรุงเทพฯเมื่อเวลาตี 2 ก่อนจะแวะที่บ้านคุณแม่ย่านสะพานใหม่เพื่อรับสมาชิกคนอื่นๆ รวม 7 คนแล้วเดินทางต่อมาที่ท้องสนามหลวงและต่อแถวรอเข้ากราบสักการะพระบรมศพเวลาประมาณตี 4 ถือเป็นครั้งแรกที่ได้กราบสักการะพระบรมศพ ที่เลือกช่วงนี้ เพราะเป็นวันหยุดยาวทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ถึงจะต้องรอนานแต่รู้สึกไม่เหนื่อยเลย เป็นความปลาบปลื้มและตื้นตันใจมากกว่า
“ท่านจากไปรู้สึกว่าเหมือนขาดร่มโพธิ์ร่มไทร แต่เชื่อว่าท่านพระโพธิสัตว์อยู่บนสวรรค์คอยแผ่เมตตาให้ลูกๆ ให้บ้านเมือง และประเทศชาติ ทรงเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ประเสริฐที่สุดแล้ว โชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาในแผ่นดินของท่าน นับจากนี้จะมัวแต่โศกเศร้าไม่ได้ต้องเดินหน้าด้วยการใช้ชีวิตตามรอยท่าน อยู่อย่างผู้ให้ รู้จักให้อภัย และแบ่งปัน สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ร่วมกันเพื่อชาติบ้านเมือง” นางสัจจาภรณ์ กล่าว
ด้านผู้เป็นแม่ นางบุญชู บุญยฤทธิ์ วัย 77 ปี กล่าวความรู้สึกหลังจากได้กราบสักการะพระบรมศพ ว่า ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว ดีใจที่ลูกๆ พามา เพราะถ้ามาเองคงไม่สะดวกนัก จำได้ว่าสมัยที่บ้านอยู่ใกล้ๆ วังสระปทุม มีโอกาสรับเสด็จฯ พระองค์ท่านขณะรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนผ่านสะพานหัวช้าง ทรงพาพระราชโอรส-ธิดาไปชมภาพยนตร์ที่โรงหนังแมคเคนน่า ย่านสยาม เป็นการส่วนพระองค์ พวกเรานั่งริมถนนใกล้ๆ เลย เห็นพระองค์ท่านลดกระจกลงและโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนด้วย ยังจำได้ติดตา ดีใจและปลาบปลื้มมาก
น.ส.นิรมล ศิวกรโสภณ อายุ 29 ปี ชาว กทม. อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ กล่าวว่า ตนเดินทางมาพร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนมัธยม จึงชวนกันมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเดินทางมาถึงท้องสนามหลวงประมาณตี 5 เพื่อมาเข้าคิวรอเดินทางเข้ากราบสักการะพระบรมศพด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถพระองค์ที่ทรงมีโครงการพระราชดำริต่างๆ อย่างมากมายเพื่อความสุขของประชาชน ในฐานะที่พวกตนเป็นพสกนิกรของพระองค์จะทำสิ่งใดก็จะคิดถึงในสิ่งที่พระองค์สั่งสอนมา ทั้งเรื่องการใช้จ่ายไม่ฟุ่มเฟือยพระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างที่ดี ความกตัญญูที่พระองค์ดูแลสมเด็จย่า ในฐานะที่พวกเราเป็นคนไทยก็จะขอนำมาเป็นแบบอย่างในการดูแลพ่อแม่พี่น้อง และทำหน้าที่ทุกอย่างของตนเองให้ดีที่สุด
“รักในหลวง ร.๙ เพราะพระองค์ท่านรักประชาชนทุกคน เหมือนพ่อดูแลลูก ท่านทำงานหนักพวกเราประชาชนก็รับรู้ได้ในสิ่งที่พระองค์ท่านทำ รู้สึกเสียใจมากที่พระองค์ท่านจากไป” น.ส.นิรมล กล่าว
ด้าน นางหลอดฟ้า ก่องแก้ว อายุ 45 ปี อาชีพทำนาชาว ต.บ้านค้อ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร กล่าวว่า เดินทางมาพร้อมกับพี่สาวและหลานสาว มาถึงท้องสนามหลวงช่วงตี 3 ดีใจและซาบซึ้งใจมากที่ได้เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พึ่งมาเป็นครั้งแรก ตนมีอาชีพทำนาเป็นเกษตรกร จึงได้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และความประหยัดในการใช้จ่าย มีการทำบัญชีครัวเรือนซึ่งมีประโยชน์มากทำให้รู้รายรับรายจ่ายของครอบครัวซึ่งรายจ่ายสำคัญคือการส่งเสียให้ลูกเรียน และมีการปลูกผักไว้กินเอง เลี้ยงสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ไว้กินและขาย
“รักพระองค์มากเสียใจที่พระองค์เสด็จสวรรคต รู้สึกซาบซึ้งใจที่เห็นพระองค์เสด็จฯไปทุกที่เพื่อไปช่วยเหลือราษฎร์โดยที่ท่านไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย” นางหลอดฟ้า กล่าว