MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live
“รัชกาลที่ ๑๐” พระราชทานอภัยโทษ - “ชูวิทย์” พ้นคุก ซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณ
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2559 เพื่อเป็นการแสดงพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป ทั้งนี้ จากการสำรวจเบื้องต้นผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษถึงขั้นปล่อยตัว มีนักโทษชั้นดี หรือดีเยี่ยม ตามหลักเกณฑ์ที่ได้วางไว้ และได้รับโทษมาแล้วเป็นส่วนใหญ่ มีประมาณ 3 หมื่นคน ส่วนผู้ได้รับการพระราชทานอภัยโทษด้วยการลดโทษลงมามีประมาณ 6 - 7 หมื่นคน
วันที่ 16 ธ.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้ต้องขังคดีรื้อบาร์เบียร์ ถูกปล่อยตัวจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อเวลา 17.00 น. เนื่องจากเข้าหลักเกณฑ์พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ โดยเจ้าตัวเปิดใจว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ ถ้าได้กลับเนื้อกลับตัวผมจะพึงสำนึกและระลึกอยู่เสมอว่า อิสรภาพ และเสรีภาพ ที่ผมได้กลับคืนมาครั้งนี้ เป็นเสมือนชีวิตใหม่ จะประพฤติตัว ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี เป็นพลเมืองดีให้กับสังคม และให้กับประเทศชาติ ขอให้สังคมให้อภัย ได้ให้โอกาสกับพี่น้องร่วมชาติที่ทำความผิดครั้งนี้ด้วย และในโอกาสมหามงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ทรงราชย์ สืบราชสันตติวงศ์ เป็นรัชกาลที่ ๑๐ ในมหาราชวงศ์จักรี ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
อันดับ 2 : สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว! ได้หมายค้น “ธรรมกาย” แต่ไม่ได้ค้น - วัดอ่วมรับเละ 158 คดี
หลังจากที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ขอหมายค้นจากศาล และได้อนุมัติในการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เป็นเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 - 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อจับกุม พระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน รับของโจร ในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ อ.ภูเรือ จ.เลย พบว่า ยังไม่มีการออกปฏิบัติการแต่อย่างใด ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของพระลูกวัด และคณะศิษยานุศิษย์ปิดล้อมวัด รักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา รวมทั้งมีการปฏิบัติการด้านข่าวสาร เช่น การแถลงข่าวคณะศิษยานุศิษย์ การปล่อยคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นของ พล.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธ
ด้านการดำเนินคดีแก่วัดพระธรรมกาย พบว่า ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเพิ่มข้อหาสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย และทางตำรวจสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง ได้แจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีแล้ว 158 คดี เช่น การสร้างสะพานข้ามคลอง การใช้ตู้คอนเทนเนอร์ แท่งซีเมนต์เสาเข็ม กีดขวางทางสาธารณะ การขับรถรับจ้างสาธารณะนอกเขตเส้นทางที่ได้รับอนุญาต การโรยตะปูเรือใบ การสร้างอาคารชุดในวัด ก่อสร้างกำแพงสูง 3 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต ขุดบ่อบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต การตั้งเสาวิทยุทาวเวอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังได้ออกหมายจับ นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย กับพวก ในความผิดฐานยุยง ปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2) ของตำรวจ 1 หมาย และของดีเอสไอ 1 หมาย รวมจำนวน 2 หมายจับ
อันดับ 3 : ผ่านฉลุย! ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ - เครือข่ายชาวเน็ตหวั่นแจ้งเกิด “ซิงเกิล เกตเวย์”
ความเคลื่อนไหวการคัดค้านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ... หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติรับหลักการเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขมาแล้ว ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการเคลื่อนไหวบนโลกโซเชียล เพื่อรณรงค์และล่ารายชื่อ กระทั่งวันที่ 15 ธ.ค. เครือข่ายพลเมืองเน็ต นำโดย น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นำรายชื่อประชาชนจากเว็บไซต์ change.org ยื่นหนังสือถึง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เพื่อขอให้ทบทวนและแก้ไข เนื่องจากจะกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน และละเมิดสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว และสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน พร้อมทั้งคัดค้านการจัดตั้งศูนย์บล็อกเว็บไซต์ เป็นการให้อำนาจรัฐปิดกั้นประชาชน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ประชุม สนช. มีมติ 168 ต่อ 0 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง ในการผ่านร่าง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ โดยเตรียมส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดย พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญฯ ยืนยันว่า มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ พร้อมย้ำว่า ที่ผ่านมาได้เปิดเวทีรับฟังความเห็นมาตลอด และไม่เชื่อมโยงเกี่ยวกับซิงเกิลเกตเวย์อย่างที่หลายฝ่ายกังวล อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันว่า การออกกฎหมาย พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดทำซิงเกิล เกตเวย์ และอธิบายว่า การออกกฎหมายดังกล่าวเพื่อปกป้องการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น มีเว็บไซต์ที่ไม่ถูกต้อง ขายของที่เป็นอันตรายต่อเด็กเท่านั้น
อันดับ 4 : ดังข้ามคืน “ตำรวจแต่งหญิง” ล่อโจรชิงทรัพย์ที่เปลี่ยว ยอมลงทุนแค้นใจแทนประชาชน
ผลงานด้านดีของตำรวจไทยที่สังคมชื่นชมเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่สถานีตรวจภูธรรัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ได้มีการแถลงข่าวจับกุมวัยรุ่น 2 คน ก่อเหตุชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่เป็นสุภาพสตรี บริเวณป้ายรถประจำทาง ละแวกถนนรัตนาธิเบศร์ ในช่วงเวลา 22.00 น. ของคืนวันที่ 7 ธ.ค. และทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหาย ต่อเนื่องไปถึงช่วงเวลา 04.00 น. ได้ชิงทรัพย์ประชาชนที่ออกไปทำงานช่วงเช้ามืดตามป้ายรถประจำทาง อีก 3 ราย ชุดสืบสวนของ สภ.รัตนาธิเบศร์ จึงได้ให้ ด.ต.วิเวก กมลวิบูลย์ ผบ.หมู่.สส.สภ.รัตนาธิเบศร์ ปลอมตัวเป็นผู้หญิง และได้ทำการซุ่มตกเบ็ดเหยื่อออกลาดตระเวน กระทั่งสามารถจับกุมคนร้ายรายนี้มาได้ อย่างไรก็ตาม พบว่า ด.ต.วิเวก กลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน มีสื่อมวลชนให้ความสนใจเชิญตัวมาออกอากาศจำนวนมาก
ด.ต.วิเวก เปิดใจว่า ตนเคยเป็นทหารนาวิกโยธินมาก่อน ประจำอยู่หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน ค่ายเทวาพิทักษ์ จ.จันทบุรี ก่อนลาออกมาสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจ จ.สระบุรี รุ่นที่ 4 เคยมีผลงานด้านปราบปราม วิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อปี 2556 คนร้ายก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จึงใช้วิธีปลอมตัวเป็นพนักงาน จับกุมคนร้ายได้ 2 - 3 ราย ส่วนที่ตนแต่งกายเป็นผู้หญิง เพราะเจ็บใจที่คนร้ายก่อเหตุ 4 ครั้งในคืนเดียว และยังใช้มีดแทงผู้เสียหายบาดเจ็บอีกด้วย โดยซื้อวิกผมปลอม ยืมเครื่องแต่งกายและกระเป๋าสะพายจากภรรยา ลิปสติกจากหลานสาวยืนล่อคนร้าย กระทั่งพบเห็นคนร้ายกำลังชะลอรถจักรยานยนต์เพื่อก่อเหตุ อาศัยจังหวะที่รถแท็กซี่จอดให้ผู้โดยสารลงพอดี แต่เมื่อก่อเหตุไม่ได้จึงขับออกไป ตำรวจชุดติดตามจึงไปจับกุมตัวได้ในที่สุด หลังเป็นข่าวภรรยาและลูกก็ตกใจ แต่ก็ต่างพากันหัวเราะชอบใจ พร้อมรู้สึกภูมิใจที่ทำเพื่อสังคมและประชาชน
อันดับ 5 : “ซีไอเอ็มบี ไทย” ผุด “ธนาคารในเซเว่นฯ” - ลือสนั่นห้องค้า “ซีพี” จะฮุบแบงก์!
เกิดเรื่องฮือฮาขึ้นในแวดวงการเงินการธนาคาร เมื่อธนาคารสัญชาติมาเลเซีย อย่าง “ซีไอเอ็มบี ไทย” ได้เปิดตัวสาขาย่อยสีตบุตร โดยเช่าพื้นที่ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาสีตบุตร 2 ย่านรองเมือง เป็นสาขาแรก เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. เปิดให้บริการเปิดบัญชี บริการโอนเงินด่วนระหว่างประเทศ สินเชื่อรายย่อย บัตรเดบิต และบัตรเครดิต ในเวลาทำการเดียวกับสาขาในห้างสรรพสินค้า 10.30 - 19.30 น. โดย นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ปิดท้ายสาขาไปประมาณ 30 แห่ง พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า โดยสาขาจะเน้นให้บริการลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง ที่ต้องใช้ระยะเวลา ขณะที่ลูกค้ารายย่อย ต้องการความสะดวกรวดเร็ว แต่ในบางกลุ่มก็ยังไม่สะดวกที่จะใช้โมบายแบงกิ้ง จึงมีแนวคิดที่จะเปิดช่องทางนี้ขึ้นมา ถือเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ตรงเป้ากว่าสาขารวม
หลังมีข่าวว่า ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย แถลงเปิดบริการในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มธุรกรรมทางการเงิน และขยายฐานลูกค้าได้อีกช่องทางหนึ่ง รวมทั้งได้มีนักลงทุนหลายรายเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า กลุ่มซีพี จะเข้าซื้อกิจการของธนาคาร หลังก่อนหน้านี้ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ เคยประกาศความร่วมมือกับ นายแจ็ค หม่า ประธานกลุ่มอาลีบาบาเพื่อลงทุนระบบเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) ก่อนหน้านี้ นักลงทุนจึงสนใจและเข้ามาลงทุนในหุ้นจำนวนมาก ทำให้ราคาหุ้นชนราคาชิลลิ่ง (Ceiling) หรือราคาซื้อขายสูงสุดของหุ้นที่สามารถเป็นได้ในวันนั้นๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 30% โดยพบว่าราคาหุ้นในวันนั้นอยู่ที่ 1.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.31 บาท หรือ 29.81% อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารธนาคารยืนยันว่า ความร่วมมือกับร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นเพียงการเช่าพื้นที่ภายในร้านเท่านั้น
อันดับ 6 : “ฟอร์บส์” ยก “ปูติน” ผู้ทรงอิทธิพลโลก 4 สมัยซ้อน - “ทรัมป์” รองลงมา “โอบามา” ตกกระป๋อง
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. นิตยสารฟอร์บส์ ซึ่งเป็นสื่อสิ่งพิมพ์สายธุรกิจการเงินของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่รายงานอันดับบุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกประจำปี 2016 จำนวน 74 คน พบว่า นายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย วัย 64 ปี เป็นผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ครองอันดับหนึ่งเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยให้เหตุผลว่า เป็นผู้นำที่แผ่ขยายอำนาจอิทธิพลของรัสเซียไปในเกือบทุกมุมของโลก ตั้งแต่ในรัสเซีย สงครามกลางเมืองในประเทศซีเรีย รวมไปถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และขยายอิทธิพลมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนอันดับ 2 ยกให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 วัย 70 ปี หลังก่อนหน้านี้ เคยอยู่ในอันดับที่ 72 เพราะมีภูมิคุ้มกันจากเรื่องอื้อฉาวที่ทำอะไรเขาไม่ได้ และได้แรงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา รวมทั้งมีทรัพย์สินส่วนตัวนับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อันดับ 3 ตกเป็นของ นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี วัย 62 ปี เป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหญ่ฝั่งยุโรปมากว่า 11 ปี และเพิ่งแถลงข่าวว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัยในปีหน้า อันดับ 4 เป็นของ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีนวัย 63 ปี และอันดับ 5 สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิส พระประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก พระชนมายุ 79 พรรษา ส่วนอันดับที่น่าสนใจ ได้แก่ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ วัย 55 ปี ที่ใกล้จะหมดวาระ หล่นจากอันดับ 2 ไปอยู่ที่อันดับที่ 48 ขณะที่ นายแจ็ค หม่า มหาเศรษฐีชาวจีน ประธานกลุ่มอาลีบาบา วัย 52 ปี ติดอันดับที่ 28, นายคิม จอง อึน ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ วัย 33 ปี ติดอันดับที่ 43 และ นายโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ที่มีผลงานทำสงครามกับยาเสพติดและขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกา ติดอันดับที่ 70 เป็นต้น
อันดับ 7 : “แอน - อังคณา ทิมดี” ป่วยหนัก ติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง หวั่นมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
หลังจากที่ในโลกออนไลน์มีการแชร์ภาพอดีตดาราสาวตัวแม่แห่งวงการ “แอน อังคณา ทิมดี” ที่อยู่ในสภาพซูบผอมมากจนเห็นหนังหุ้มกระดูก และหน้าตาหมองคล้ำ โดยเพื่อนสนิท “เฮเลน ปวรา” ออกมาโพสต์ภาพคู่สาวแอนผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว ทำเอาแฟนๆ ต่างส่งกำลังใจให้อดีตเซ็กซีสตาร์หายป่วยเร็วๆ แต่ก็พบว่า ล่าสุด “เฮเลน ปวรา” ได้อัปเดตอาการป่วยของ “แอน อังคณา” อีกครั้ง โดยระบุว่า แอนมีอาการป่วยหนัก และพบติดเชื้อในกระแสเลือดขั้นรุนแรง หากปล่อยไว้ก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ขณะนี้ไม่มีงานมานานตั้งแต่ล้มป่วย และไม่มีเงินในการรักษาตัว พร้อมกับฝากถึงเพื่อนๆ ว่า ต้องการช่วยเหลือแอนก็สามารถร่วมด้วยช่วยกันได้ตามโพสต์ที่เฮเลนแจ้งไว้ ซึ่ง พ.ต.ท.ดร วิระ บำรุงศรี อดีตหัวหน้าวงมะลิลา บราซิลเลี่ยน ได้หาทางช่วยเหลือแอน ในเบื้องต้นแล้ว และได้กล่าวขอบคุณผู้ได้ช่วยเหลือแอนในการรักษาพยาบาลมาในครั้งนี้ด้วย