ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาร่วมสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างเนืองแน่น ต่อเนื่องเป็นวันที่ 24
วันนี้ (21 พ.ย.) เป็นวันที่ 24 ในการพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตั้งแต่เวลา 05.00 - 21.00 น. อันเป็นเวลาที่สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนขึ้นสักการะพระบรมศพ โดยตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมามีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ เพื่อสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างเนืองแน่น อย่างไม่มีท้อถอยแม้แต่น้อย
นายสุดี มิดยอดดอย อายุ 47 ปี ชาวกะเหรี่ยงหัวหน้าหมู่บ้าน 18 บ้านแม่เตียน ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเดินทางมาพักกับน้องชายที่กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางมาสักการะพระบรมศพพร้อมภาพถ่ายความทรงจำในวัยเด็ก ซึ่งเคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อตอนอายุ 13 ปี เมื่อพระองค์เสด็จฯ ไปเยี่ยมชมไร่สลัดแก้วที่ปลูกไว้ส่งโครงการหลวง ทั้งยังได้นำเหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา มีรหัส ชม.175114 ซึ่งเป็นของตกทอดจากบิดามารดาพกติดตัวไว้มาให้ชม กล่าวว่า เคยมีโอกาสรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อตอนเล็กๆ โดยมีโอกาสเฝ้าฯแปลงผักสลัดแก้วของครอบครัว แต่ตอนนั้นยังสื่อสารภาษาไทยไม่ได้ ทำให้ต้องมีล่ามคอยแปลภาษาให้ และจดจำไม่ได้ว่าพระองค์มีรับสั่งใดกับตนบ้าง แต่เป็นความประทับใจไม่ลืมเลือน เมื่อทราบข่าวว่าพระองค์สวรรคตก็รู้สึกเสียใจมาก ที่แผ่นดินสูญเสียพ่อหลวงไป ชาวเขาในหมู่บ้านหลายคนอยากจะเดินทางมาด้วยแต่ระยะทางก็ไกล ลำบาก ทำได้แต่ลงนามแสดงความอาลัยที่อำเภอ ตนเองซื้อเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด เพื่อเข้าสักการะเพราะชุดชาวเขามีสีแดง เกรงว่าจะไม่สุภาพ
“ผมรักพ่อหลวงมาก ภูมิใจที่ได้เกิดในแผ่นดินท่าน ทุกวันนี้ชีวิตของคนบนยอดดอยดีขึ้นมาก แต่ก่อนมีแต่ความยากจน แต่เมื่อใช้ความพอเพียง ปลูกดอกไม้ เลี้ยงไก่ไว้กิน และปลูกผักส่งโครงการหลวงทำให้มีรายได้เดือนหนึ่งนับหมื่นบาท พ่อหลวงเหนื่อยมามากแล้ว อยากให้ท่านได้พัก ตลอดชีวิตได้เห็นพระองค์เสด็จฯ ไปทรงงานที่ต่างๆ ทุกวัน โดยเฉพาะบนยอดดอยที่ท่านไม่รังเกียจชาวเขา มีความรักให้พวกเรา ชีวิตเราจึงดีขึ้นมีโครงการพัฒนาต่างๆ มาก ถนนหนทางดีขึ้น นั่นเพราะความรักของพระองค์ และนี่เป็นสิ่งที่จะนำไปสอนคนในหมู่บ้านให้ทำความดีเช่นพระองค์” นายสุดี กล่าว
ส่วน นางสาลี หงส์ทอง หรือชื่อในภาษามอญว่า “รุ่งขะเจียง” อายุ 49 ปี ชาวมอญที่หนีความทุกข์ยากเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บนแผ่นดินไทย โดยตั้งรกรากทำไร่ทำนาอยู่ใน อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เล่าว่า เดินทางพร้อมเพื่อนบ้านรวม 4 คน มาพักบ้านญาติที่กรุงเทพฯ เมื่อหลายวันก่อน แล้วจึงเดินทางมารอบริเวณท้องสนามหลวงตอนตี 4 และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพในเวลา 10 โมง รู้สึกดีใจที่ใช้เวลารอไม่นานมาก เร็วกว่าครั้งก่อนที่มาถึงตี 3 และได้กราบพระบรมศพตอนบ่าย 2 ถึงจะเป็นคนมอญแต่ก็รักและเทิดทูนในหลวงไม่ต่างจากคนไทย ท่านเป็นคนดี ใจดี ถ้าไม่ได้ใบบุญจากท่านป่านนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะตอนที่อยู่ฝั่งพม่าชีวิตลำบากมาก อยู่เมืองไทยได้ทำไร่ทำนามีอยู่มีกิน นับเป็นบุญของตัวเองและชาวมอญทุกคน วันนี้ไม่มีท่านแล้วเสียใจมาก หากมีโอกาสตั้งใจจะเดินทางมากราบพระบรมศพท่านอีกเรื่อยๆ
ด้านสี่สาวพี่น้องนัดหมายกันมาจาก จ.กระบี่ พร้อมตั้งใจมาถวายสักการะพระบรมศพด้วยใจสู้ไม่หวั่นต่อสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว
นางยวนใจ ชนะกุล อายุ 55 ปี เป็นตัวแทนครอบครัว กล่าวว่า วางแผนการเดินทางโดยสารเครื่องบินมาถึงกรุงเทพฯ เวลาเย็นของเมื่อวาน แล้วไปพักอยู่กับหลานย่านรามคำแหง และตื่นแต่เช้าตรู่โบกรถแท็กซี่มาส่งบริเวณท้องสนามหลวง ได้ต่อแถวเวลาประมาณตีสาม ต้องขอชมเชยเจ้าหน้าที่ และจิตอาสามาก เพราะระหว่างรอนั้นจะมีคนเดินเสิร์ฟน้ำดื่ม อาหารว่าง จึงทำให้ไม่ค่อยหิว แม้อากาศจะร้อนบ้างแต่ใจสู้ กระทั่งเวลา 10.40 น. จึงได้เข้าถวายสักการะพระบรมศพตามที่ตั้งใจ
“เคยจำได้ว่าปี พ.ศ. 2520 ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จฯ มาเปิดสระมรกต แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดกระบี่ ตัวเองยังเป็นเด็กก็วิ่งมาเฝ้าฯ รับเสด็จฯพร้อมกับครอบครัว รู้สึกตื่นเต้นมากและปลาบปลื้มยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้ทูลเกล้าฯ ถวายผลไม้ป่าอย่างลูกหว้า เมื่อทราบข่าวการสวรรคตก็เสียใจไม่แตกต่างจากคนไทยทุกคน จึงตั้งใจจะมาถวายสักการะพระบรมศพด้วยตัวเอง ส่วนตัวน้อมนำปรัชญาด้านเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ นอกจากปลูกยางปลูกปาล์มเป็นรายได้หลักแล้ว ยังปลูกพืชผักสวนครัวเพิ่มเติม” นางยวนใจ กล่าว
ด้านสำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 21 พ.ย. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ไห้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.00 น. ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 34,490 คน รวม 24 วัน มี 750,298 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 3,634,051.50 บาท รวม 24 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 55,032,951.50 บาท