xs
xsm
sm
md
lg

พสกนิกรชาวไทย-ต่างชาติ ร่วมถวายสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นวันที่ 14

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


พสกนิกรจากทั่วทุกสารทิศทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เดินทางมาร่วมถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ต่อเนื่องเป็นวันที่ 14

วันนี้ (11 พ.ย.) บรรยากาศการถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00 น. อันเป็นวันที่ 14 ของการถวายสักการะพระบรมศพ ยังคงเนืองแน่นไปด้วยพสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดี มีประชาชนแต่งกายด้วยชุดสีดำไว้ทุกข์มารอต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันเป็นล้นพ้น

นายวีรายุทธ วชิราพิภพ อายุ 48 ปี ชาวอินเดีย ที่เดินทางมาพร้อมด้วยภรรยาชาวอินเดีย นางนวลีน กอร์ อายุ 44 ปี ประกอบอาชีพค้าขายที่ เทศบาลเมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ครอบครัวเป็นคนอินเดีย ที่มาอยู่อาศัยที่ประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยคุณปู่ การที่เดินทางสักการะในวันนี้ เป็นความรู้สึกที่อยากจะมา เหมือนเราเสียพ่อไปคนหนึ่ง ถ้าแลกชีวิตกับทั้งตระกูลเพื่อให้พระองค์ท่านกลับมาก็ยอม ไม่อยากให้พระองค์ท่านไปไหน

นายวีรายุทธ กล่าวด้วยว่า ตนเกิดมาก็เห็นในหลวง ร.๙ ทรงงานมาตลอด จำได้ว่าตั้งแต่เด็กไปโรงหนังจะมีเพลงสรรเสริญพระบารมี และตนก็จะร้องไห้ในทุกครั้ง เพราะรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ มีบุญที่ได้อยู่บนผืนแผ่นดินนี้ ครอบครัวตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย อยู่อย่างสุขสบาย จนเรารู้สึกว่าเราเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาและผิวพรรณจะไม่ใช่ก็ตาม อยากบอกว่าคนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้เกิดมาใต้ร่มโพธิสมภาร ส่วนตัวมีภาพความทรงจำที่ประทับใจในการเสด็จฯไปเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆ ชอบรอยพระสรวล และแววพระเนตรที่ทรงมีพระเมตตา

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเมตตาและให้โอกาสผู้พิการทางสายตา ในการที่ทรงรับโรงเรียนการศึกษาคนตาบอดและคนตาบอดพิการซ้ำซ้อน ลพบุรี ไว้ในพระราชูปถัมภ์

นางสาวอิสรีย์ วงศ์ทอง ผู้จัดการโรงเรียนฯ เผยด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจหลังลงจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ว่า แม้แทบจะไม่ได้นอนเลย เพราะต้องพาคณะตัวแทนนักเรียนผู้พิการทางสายตาจำนวน 7 คน พร้อมกับคณะบุคลากรอีก 7 คน ออกเดินทางจากจังหวัดลพบุรี มาตั้งแต่เวลา 02.00 น. เพื่อให้ทันเวลาถวายสักการะพระบรมศพ ในช่วงเช้า นอกจากไม่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อย หรือเพลียจากการอดนอนแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าปลื้มใจมากๆ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสถวายความอาลัยและส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสู่สวรรคาลัย

“ตั้งใจพานักเรียนและคณะบุคลากรมาขอบพระคุณพระองค์ท่านที่ทรงเมตตาให้การดูแลและให้โอกาสผู้พิการทางสายตา ไม่เฉพาะแค่ที่โรงเรียนเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วประเทศ ทุกคนได้รับโอกาสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และแนวพระราชดำริต่างๆ ในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งโรงเรียนเองก็ได้น้อมนำเอามาปฏิบัติด้วยการจัดทำสวนเกษตรพอเพียงในโรงเรียนให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมและเรียนรู้ เพื่อว่าเมื่อเด็กๆ เหล่านี้กลับไปอยู่บ้าน หรืออยู่ในชุมชนของตัวเอง จะได้นำเอาหลักดังกล่าวไปใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไปตามที่ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงสอนเอาไว้" นางสาวอิสรีย์ กล่าว

หนึ่งในตัวแทนนักเรียนผู้พิการทางสายตา นางสาวเพชรไพรินทร์ ลักษณะพอ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เผยด้วยน้ำเสียงไม่คลายความตื่นเต้น ว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จฯ แต่พอทราบว่าพระองค์เสด็จสวรรคตก็รู้สึกเสียใจมากที่พระองค์ท่านทรงจากพวกเราไปแล้ว อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ได้แต่ระบายความรู้สึกออกมาผ่านการร้องเพลง และถึงจะมองไม่เห็นว่าพระองค์ทรงงานอะไรบ้าง แต่ก็รับรู้ผ่านการฟังมาโดยตลอดว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงทำงานหนักมาถึง 70 ปี ทั้งลุยน้ำลุยโคลน เพื่อให้ประชาชนคนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น และแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็ยอมรับว่าตื้นตันใจมาก ตอนที่กราบพระบรมศพพระองค์ท่านนั้น ตนเองได้พูดในใจว่า ถึงพระองค์จะจากพวกเราไปแล้ว แต่ท่านก็จะอยู่ในใจหนูและประชาชนคนไทยทุกคนไปตลอดกาล

ด้าน น.ส.กัญญาภัค ฉิมพันธุ์ อายุ 31 ปี อาชีพพนักงานบัญชี บริษัทเอกชน จ.ระยอง พร้อมด้วย น.ส.กัลยารัตน์ แก้วเทศ อายุ 36 ปี พนักงานบัญชี บริษัทเอกชน จ.ระยอง กล่าวพร้อมกันว่า หลังจากเลิกงานเมื่อวานนี้ (10 พ.ย.) ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ และมาถึงท้องสนามหลวงในเวลา 03.30 น. เมื่อเดินทางมาถึงก็มีประชาชนเข้าคิวรออยู่แล้วจึงได้มาต่อแถวเข้าคิวรอ ตั้งใจมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รู้สึกตื้นตันใจที่อย่างน้อยได้มีโอกาสมากราบครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเกิดมายังไม่เคยรับเสด็จฯเลยสักครั้งเดียว ได้ขึ้นไปกราบเห็นท่านแล้วน้ำตาไหล ในวันที่พระองค์ท่านสิ้นก็เสียใจมาก เลิกงานรีบกลับบ้านไปฟังข่าว พอมีแถลงการณ์ชัดเจนแล้วเหมือนใจสลายร้องไห้ กินข้าวไม่ลง เสียใจมาก พระองค์ทำสิ่งที่ดีไว้มากมายบางอย่างก็ไม่สามารถพูดได้หมด คำสอนของพระองค์ที่นำมาใช้ได้ในชีวิตจริงที่ดีที่สุด คือ หลักเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เราใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น รู้จักเก็บออม และยิ้มสู้กับปัญหา ก็ขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย อย่างไรก็ตาม พวกตนจะเดินทางมาอีกอย่างแน่นอนโดยจะพาพ่อกับแม่ และญาติๆ มาด้วย เพราะท่านอยากจะมากราบสักการะพระบรมศพด้วยเช่นกัน














































กำลังโหลดความคิดเห็น