ประชาชนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ กราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ขอน้อมนำพระราชดำรัส เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
สำหรับบรรยากาศบริเวณพระบรมมหาราชวัง หลังจากมีพระราชานุญาตให้ประชาชนสามารถถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ภายหลังพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวาร (15 วัน) ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2559 เป็นต้นไป ในเวลา 08.00 น. ถึง 21.00 น. ทุกวัน เว้นแต่ช่วงที่มีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
สำหรับวันนี้ (31 ต.ค.) ซึ่งเป็นวันที่สาม เมื่อเวลา 05.00 น. สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกที่ตั้งแถวรอที่หน้าประตูวิเศษไชยศรี ได้ขึ้นไปถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เบื้องหน้าพระบรมโกศ บรรยากาศของการถวายสักการะเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
ด้าน นางสุเพ็ญ เชื้อกุลชาติ อายุ 60 ปี อาชีพเกษตรกร ชาวบ้านจากอำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า เดินทางมาตั้งแต่เย็นวันเสาร์ที่ 29 ต.ค. ถึงกรุงเทพมหานคร เช้าวันอาทิตย์ ก่อนมาพักหนึ่งคืนแล้วตั้งใจมาถวายสักการะพระบรมศพในวันจันทร์ เผยว่า เพราะดูจากข่าวเห็นว่าประชาชนเดินทางมากันเยอะมาก คิดว่า หากมาวันนี้ได้เข้ามาถวายสักการะแน่นอน เลยเดินทางมาเข้าแถวตั้งแต่ 04.00 น. และได้เข้ามาสักการะเวลา 07.00 น. นับว่าเป็นบุญมากที่ได้มา ตั้งใจอยากจะมาหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยการเดินทางที่ลำบากและไกล จำได้ว่าเคยเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จฯพระองค์ท่านตอนที่ตัวเองยังเด็ก พระองค์เสด็จฯ ยังอำเภอทุ่งใหญ่ สถานที่ที่ยังเป็นบ้านป่า ถนนลูกรัง เดินทางลำบาก ตอนนั้นเป็นช่วงค่ำ พระองค์ก็ยังเสด็จฯ มาเยี่ยมเยียนประชาชน จากที่ไม่มีน้ำใช้ บางครั้งก็น้ำท่วม ไม่มีไฟฟ้าใช้ พระองค์ก็ทรงสร้างอ่างเก็บน้ำ ทำให้สามารถปลูกพืชผัก ทำนาได้ โดยน้อมนำหลักคำสอนของพระองค์ที่ให้ปลูกผัก ทำสวน ปลูกข้าว เพื่อให้ได้มีกิน ถ้าเหลือก็แจกจ่ายและขาย อยู่อย่างพอเพียง มีเงินออมใช้เก็บไว้ในอนาคต ก่อนหน้าที่จะได้เรียนรู้หลักคำสอนของท่านชีวิตแย่มาก ทำสวนทำไร่ได้ผลผลิตไม่เต็มที่ จำหน่ายไม่ได้ ไม่มีเงินเก็บเลย จึงซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านมาก หากมีโอกาสอยากมาสักการะพระบรมศพอักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสนั้นอีกหรือไม่
ด้าน นางสาวปิยานัฐ เอิบอิ่มฤทธิ์ อายุ 42 ปี ชาวอำเภอพระประแดง ผู้มีความหลากหลายทางเพศ (ทอม) เผยว่า เดินทางออกมาจากบ้านตั้งแต่ 01.00 น. มีความตั้งใจมากที่จะมากราบสักการะพระบรมศพ ตอนเดินทางมาสวมใส่กางเกง แต่ตามกฎระเบียบผู้หญิงต้องสวมกระโปรงคลุมเข่า หรือผ้าถุง ระหว่างที่กำลังเดินเข้ามาทางประตูวิเศษไชยศรี มีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังแนะนำให้เปลี่ยนเป็นผ้าถุง ซึ่งมีให้ประชาชนได้ยืมสวมใส่ เราก็เต็มใจที่จะทำตามกฎทุกอย่าง เพื่อให้ได้เข้ามาสักการะพระบรมศพ เมื่อได้เข้ามารู้สึกปลื้มปีติ น้ำตาจะไหลอยู่ตลอด พวกเราชาวไทยรักพระองค์ท่านมาก ท่านทรงเป็นแบบอย่างที่ดี หากเอ่ยถึงพระประแดงพระองค์ทรงทำ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริคลองลัดโพธิ์ ป้องกันการเกิดน้ำท่วม ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่อำเภอพระประแดง ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตประจำวันดีขึ้น นอกจากนี้ ได้นำหลักคำสอนความพอเพียงมาใช้ ปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง ทำให้ลดรายจ่ายได้บางส่วน รายได้จากการทำงานเก็บส่วนหนึ่ง ใช้จ่ายส่วนหนึ่ง รวมถึงต้องดูแลบิดามารดา มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณด้วย
ด้าน สามสาวหัวใจภักดิ์ นางอรทัย นวลปาน วัย 41 เด็กหญิงชุติมา สืบเพ็ง และ นางรุ่งทิพย์ ยานรัมย์ อายุ 41 ปี เดินทางมาตั้งแต่ตี 3 ของวันนี้ และได้เข้าสักการะพระบรมศพในเวลา 8 โมงเช้า เผยด้วยความรู้สึกตื้นตันใจที่ได้เห็นคนมากมายมีหัวใจเดียวกัน เดินทางมารอ อดทน เพื่อเข้ามาถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศกันอย่างเนืองแน่น
นางรุ่งทิพย์ เผยว่า เป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน แม้จะมาในตอนที่ทรงเสด็จสวรรคตไปแล้ว แต่ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ พร้อมกับอาลัยรักอย่างสุดซึ้ง
“เลือกมาวันนี้เพราะเพื่อนแนะนำว่าวันธรรมดาคนน่าจะน้อยกว่าวันที่ผ่านมา แต่ก็มารอตั้งแต่ 03.00 น. ให้มั่นใจว่า จะได้เข้ามาแน่นอน อยากมากราบขอบคุณที่ทรงไม่ละทิ้งประชาชนตลอดพระชนม์ชีพ ทรงทำงานให้เราอยู่ดี กินดี มีความภาคภูมิใจที่เกิดในแผ่นดินไทย ตอนนี้คิดถึงพระองค์ท่านมาก จะพยายามนำคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติ บอกเด็ก ๆ รุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่ให้ลืมบุญคุณพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๙” นางรุ่งทิพย์ กล่าว
ส่วน นางอรทัย เผยว่า พา เด็กหญิงชุติมา ลูกสาว เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศเป็นครั้งที่ 2 ด้วยความคิดถึง และเป็นตัวแทนของแม่ที่เป็นอัมพาต มาร่วมถวายสักการะพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย
“หลังจากที่ได้ข่าวว่าพระองค์สวรรคต จากที่จะกลับบ้าน จ.หนองบัวลำภู ในคืนวันนั้นก็ยกเลิกไม่กลับ พาลูกมาที่ท้องสนามหลวงแทน มาไหว้พระองค์ท่านที่หน้าวัดพระแก้วเกือบทุกวัน เพราะอาลัยรักและอยากให้ลูกได้ซึมซับบรรยากาศที่มีแต่คนรักพระองค์ท่านด้วย เราสอนเขามาตลอดว่าทรงเป็นคนดี ทรงทำงานเพื่อพวกเรา เป็นพ่อของคนไทยทุกคน เขาจะได้เห็นว่าความรักยี่งใหญ่ขนาดไหน ตอนวันแรก (29 ต.ค.) ที่เปิดให้เข้าก็พามารอเข้าแถวตอน 03.00 น. ได้เข้ามาประมาณ 17.00 น. ส่วนวันนี้มาในตัวแทนของแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต ขยับร่างกายไม่ได้ แต่แม่รับรู้ทุกอย่าง ฟังวิทยุก็ร้องไห้ ตอนโทร.บอกแม่ว่าว่าเราได้เข้ามาสักการะในหลวงนะ แม่ก็ร้องไห้บอกว่าอยากมามากแต่ร่างกายไม่ไหว เลยบอกเเม่ว่าวัยนี้เราจะไปอีกให้แม่นะ เขาก็ดีใจใหญ่เดี๋ยวหลังจากนี้จะโทร.บอกแม่ว่าเรามาหาพระองค์ท่านแทนแม่แล้ว” นางอรทัย น้ำตาคลอ
ขณะเดียวกัน ในการเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นวันทีสาม ช่วงเช้า เวลาประมาณ 07.00 น. ระหว่างที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงถวายภัตตาหารแด่พระพิธีธรรม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ยังคงมีพสกนิกรยืนต่อแถวรอขึ้นสักการะพระบรมศพ อยู่หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรที่ต่อแถวรออยู่ สามารถขึ้นถวายสักการะพระบรมศพ ได้ในขณะที่ยังทรงประทับอยู่ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สร้างความปลาบปลื้มปีติใจให้กับพสกนิกรเป็นล้นพ้น
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ได้ตระเตรียมความพร้อม และทำความสะอาดเส้นทางใหม่ ที่จะเปิดให้ประชาชนทั่วไป ใช้เป็นทางเดินเข้าไปสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในวันที่ 1 พ.ย. เริ่มจากบริเวณประตูมณีนพรัตน์ ประตูพระบรมมหาราชวัง ฝั่งเหนือทางเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ที่ติดถนนหน้าพระลาน ขนาบข้างด้วยป้อมเผด็จดัสกร และป้อมขันธ์เขื่อนเพชร ทั้งนี้เมื่อแถวของพสกนิกรผ่านเข้ามาในพระบรมมหาราชวัง ฝั่งทิศเหนือสถานที่ตั้งของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทั้งหมดจะได้เข้าไปตั้งแถวอยู่ในร่มเงาของพระระเบียงคด ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยสำนักพระราชวังอำนวยความสะดวกให้ด้วยการนำเชือกสีแดงสองเส้น มากั้นไว้แสดงสัญลักษณ์ ตลอดเส้นทาง พร้อมป้ายข้อความเป็นภาษาไทย จีน และอังกฤษ ว่า “สำหรับผู้ที่เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ” มาติดไว้เพื่อไม่ให้ปะปนกับนักท่องเที่ยวที่เข้าชมวัดพระแก้ว เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังระบุว่า นอกจากทำให้ผู้ที่มาสักการะพระบรมศพ ได้มีร่มบังแดดฝนแล้ว ระหว่างรอยังสามารถชมความวิจิตรงดงามของจิตรกรรมฝาผนังรามเกียรติ์ ตลอดแนวพระระเบียงคด ทั้งนี้เมื่อถึงประตูศรีรัตนศาสดารามทางเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน ก็จะให้เลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนอมรวิถี หน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน แล้วเลี้ยวขวาตั้งแถว หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เพื่อเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สถานที่ประดิษฐานพระบรมศพ ทางประตูกำแพงแก้วฝั่งตะวันออก
ขณะเดียวกัน สำนักพระราชวังก็จะเริ่มการเปิดจำหน่ายบัตรให้นักท่องเที่ยว เข้าเที่ยวชมความงามของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้ตามปรกติหลังยุติการให้เข้าชมมาตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. โดยจะแยกให้นักท่องเที่ยวเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในเส้นทางเดิมที่ประชาชนเข้าสักการะพระบรมศพ คือฝั่งประตูวิเศษไชยศรี