ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ เดินทางมาปักหลักค้างคืนบริเวณใกล้เคียงพระบรมมหาราชวัง เพื่อรอรับบัตรคิวแต่เช้ามืด ก่อนที่สำนักพระราชวังจะเปิดให้ขึ้นสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ บรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าโศก มีเสียงสะอื้นไห้พร้อมคราบน้ำตา พสกนิกรหลายคนนำพระบรมฉายาลักษณ์มาถือไว้แนบอก พร้อมตั้งจิตอธิษฐานขอได้เป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
ตามที่มีพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายหลังพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 15 วัน ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2559 เป็นต้นไป เวลา 08.00 - 21.00 น.ทุกวัน (ยกว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) นั้น
วันนี้ (29 ต.ค.) ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มีประชาชนจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาจองบัตรคิว เพื่อให้ได้เข้าไปสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้เป็นที่รักและศรัทธายิ่งของปวงชนชาวไทย บางคนนอนกลางดิน ทนหนาวเย็นจากน้ำฝนมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่อุปสรรคเหล่านี้หาได้มาขวางกั้นศรัทธาอันแรงกล้าผนวกกับความจงรักภักดีของปวงพสกนิกรชาวไทยทีมีต่อพ่อแห่งแผ่นดิน
ต่อมาเวลาสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนขึ้นสักการะพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท บรรยากาศของการสักการะพระบรมศพเป็นไปด้วยความเศร้าโศก ยังคงมีเสียงสะอื้นไห้พร้อมคราบน้ำตาของความโศกเศร้า พสกนิกรหลายคนนำพระบรมฉายาลักษณ์ ในพระอิริยาบถต่าง ๆ มาถือไว้แนบอก พร้อมตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าดวงพระวิญญาณว่าหากเกิดชาติหน้าขอได้เป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
นายดาว บุญแจ่ม พสกนิกรชาวจังหวัดพิษณุโลก หนึ่งในประชาชนกลุ่มแรก ที่ได้ขึ้นไปสักการะพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิต ได้เดินทางมาจากบ้านเกิดที่ จ.พิษณุโลก พร้อมกับครอบครัวพ่อแม่ลูกอีก 8 คน ตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวานนี้ ถึงแม้จะเจอกับสายฝนที่โหมกระหน่ำมาอย่างหนัก ก็ไม่เคยหวั่นเกรง ด้วยจิตแห่งความภักดีหนุ่มใหญ่วัย 40 เศษพร้อมลูกน้อยก็ผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ด้วยดี
นายดาว กล่าวว่า รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จากนี้ต่อไปจะไม่มีพระองค์ท่านอีกแล้ว แต่ลึก ๆ ในใจก็คิดว่าพ่อจะได้พักผ่อนไม่ต้องเหนื่อยเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เพราะอย่างน้อยพระองค์ท่านก็ยังสถิตอยู่ในใจพวกเราปวงพสกนิกรชาวไทย
“ตอนแรกก็เหมือนผมจะทำใจกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่พอได้ดูทีวีแล้วเห็นภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านที่ทรงงานหนักตลอดเวลา ไม่เคยทรงหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว พระองค์ท่านทรงทำงานหนักเพื่อคนอื่นตลอดเวลา มิเคยย่อท้อต่ออุปสรรค และปัญหาที่ขวางอยู่ด้านหน้า สิ่งเหล่านี้เองล้วนเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมไม่เคยกลัวและหวั่นเกรงกับปัญหาใด ๆ พร้อมที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสติเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า”
นอกจากนี้ นายดาว ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมน้ำตาคลอสองเบ้า ว่า ถ้าแม้เลือกได้ผมขอแลกชีวิตของผม เพื่อให้พระองค์ท่านยังทรงอยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยตลอดไป และถ้าชาติหน้ามีจริงผมขอเกิดเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
ทางด้าน นายกล้า ลอดสันเที๊ย พร้อมด้วย นางยุพิน คำทองหลาย และลูกสาว เด็กหญิงกังสฎา คำทองหลาย วัย 10 ปี เดินทางมาจาก อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ได้เข้าถวายสักการะพระบรมศพ ในเวลา 05.15 น. โดยภายหลังถวายสักการะเสร็จแล้ว เจ้าตัวเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่ถือพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนที่เข้าถวายสักการะพระบรมศพ สำหรับให้ประชาชนเก็บไว้เป็นที่ระลึก เป็นภาพพระบรมโกศพระบรมศพสี่สี ขนาด 5X7 นิ้ว ว่าเดินทางมารอถวายสักการะถึงตั้งแต่เวลา 21.15 น. ของวันที่ 28 ตุลาคม 2559 ด้วยความตั้งใจแม้ว่าฝนตกหนักก็ไม่ท้อ เพราะเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่อยากเข้ามาแสดงความรักต่อพระองค์ท่าน เพราะทรงช่วยเหลือประชาชน ได้เห็นทุกคนได้รับความรักความช่วยเหลือโดยไม่เคยทรงคิดถึงพระองค์เองเลย ไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารทั้งขึ้นภูเขา ข้ามลำห้วย ลำบากเพียงใดก็ไม่ทรงท้อ ด้วยเหตุนี้ตนเองและครอบครัวจึงตั้งใจอยากมาร่วมส่งพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย
อีกหนึ่งคนที่ตั้งใจมาร่วมถวายสักการะหน้าพระบรมศพเป็นกลุ่มแรกของวันนี้ นางกมลวรรณ สุขเขียว อายุ 59 ปี ซึ่งเดินทางมาจากศาลายาตั้งแต่ 17.00 น. โดยมาคนเดียว เล่าว่า ก่อนหน้านี้ ได้มาลงนามถวายความอาลัยต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล ที่ศาลาสหทัย 4 ครั้ง และเมื่อได้ทราบว่า วันที่ 29 ตุลาคมนี้ สำนักพระราชวังเปิดให้เข้าสักการะหน้าพระบรมศพ จึงตั้งใจมาอีกครั้ง แม้ว่าเพื่อน ๆ จะชวนให้รอมาวันหลังแต่ตนเองไม่อยากรอแม้เพียงวันเดียว เพราะอยากมาแสดงความรักต่อพระองค์ท่าน ถึงจะต้องรอนานแค่ไหน หรือต้องตากฝนตากแดดก็ไม่ท้อ เพราะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงลำบากที่ทรงทำเพื่อประชาชนมากกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า ทั้งนี้ นางกมลวรรณ เล่าพร้อมกับน้ำตา ว่า ทั้งที่พระองค์สวรรคตไปแล้ว 16 วันแต่ตอนที่ขึ้นไปกราบใกล้ ๆ รู้สึกใจหาย น้ำตาไหล ไม่อยากให้ทรงสวรรคต อยากให้พระองค์ท่านอยู่กับประชาชนไปนาน ๆ อย่างที่ทรงสัญญาไว้ว่าจะทรงอยู่ถึง 120 ปี เมื่อถามถึงส่ิงที่น้อมนำพระราชดำริใดมาใช้ในการดำเนินชีวิต เจ้าตัวเผยว่า เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง อยู่อย่างพอกินพอใจ รู้จักประมาณตนเอง
สำหรับบรรยากาศโดยรอบพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้มีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างพร้อมใจกันนำยาดมสมุนไพร น้าดื่ม มาบริการประชาชนที่มาถวายสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง อาทิ มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 21 แห่ง ได้นำยาดมสมุนไพร สูตรผ่อนคลาย แห่งละ 10,000 หลอด สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี จำนวน 80 แห่ง แห่งละ 2,200 หลอด และมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จำนวน 20,000 หลอด แจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่มาสักการะพระบรมศพ เช่นเดียวกับ บริษัท ดอยคำ จำกัด ได้นำน้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรจากโครงการหลวง อาทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะตูม และน้ำเก๊กฮวย มาบริการประชาชน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพพระบรมโกศ พระบรมศพ แก่พสกนิกรทุกคนที่เข้าถวายสักการะพระบรมศพ เพื่อให้ประชาชนเก็บไว้เป็นที่ระลึกต่อไป โดยภาพพระบรมโกศพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สี่สี ขนาด 5 X 7 นิ้ว ด้านหลังของภาพจะพิมพ์ตัวหนังสือมีข้อความหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพรบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร (7 วัน) ระหว่างวันที่ 19 - 20 ตุลาคม 2559 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวาร (15 วัน) ระหว่างวันที่ 27 - 28 ตุลาคม 2559