พสกนิกรจำนวนมากต่อแถวตั้งแต่เช้าตรู่ รอเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สาวใหญ่จากสงขลา และครูจากสมุทรปราการ มาจองคิวตั้งแต่ช่วงเช้าเมื่อวาน แต่คิวแน่นไม่ทันได้เข้าสักการะในวันแรก ไม่ท้อปักหลักนอนสนามหลวงจนได้เข้าถวายสักการะพระบรมศพเป็นกลุ่มแรกในวันนี้
วันนี้ 30 ต.ค. 59 วันที่ 2 ที่ได้พระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
บรรยกาศการภวายสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้าตรู่ที่ผ่านมา มีพสกนิกรเป็นจำนวนมากจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศต่างมาปักหลักเพื่อรอต่อแถวเข้าไปถวายสักการะ บางคนมารอตั้งแต่ช่วงสายของเช้าวานนี้ ถึงแม้จะต้องเจอพายุฝนโหมกระหน่ำเทลงมาอย่างหนักเมื่อช่วงค่ำ แต่ทุกคนก็มิได้หวั่นเกรง บางคนก็นำร่มและเสื้อกันฝนที่เตรียมมาเอาออกมาใช้เป็นเครื่องกันฝน แถมยังเผื่อแผ่ร่มให้แก่เพื่อนที่ไม่มีอุปกรณ์กันฝน บ้างก็อาศัยเต็นท์ที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้เป็นที่หลบฝนชั่วคราวอย่างไม่มีปริปากบ่น เพราะพวกเขาทุกคนต่างพร้อมใจกันมาถวายสักการะพระบรมศพมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ในใจของปวงชนชาวไทย ด้วยใจรักและภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ต่อมาเมื่อเวลา 05.15 น. สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกที่ตั้งแถวรอที่หน้าประตูวิเศษไชยศรี ได้ขึ้นไปสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ บรรยากาศของการถวายสักการะเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ประชาชนส่วนใหญ่ที่เข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แนบพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ที่อกตลอดเวลา บางคนหลังจากที่ถวายสักการะเสร็จแล้วมยังคงมีเสียงร่ำไห้ บางคนยังรับต่อการสูญเสียในครั้งนี้ไม่ได้ เศร้าเสียใจจนไม่สามารถประคองร่างของตัวเองลงมาได้เพียงลำพังจากบนพระที่นั่งดุสิตมหาปาสาท
นางวรรณา เอียดพระพาย สาวใหญ่วัย 50 ปี ชาวจังหวัดสงขลา อดีตพนักงานบัญชี ที่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นแม่บ้านดูแลลูกๆ และสามี เธอเล่าว่าได้เดินทางมาจากจังหวัดสงขลาตั้งแต่เย็นวันที่ 28 เพื่อให้ได้สักการะพระบรมศพเป็นวันแรก แต่ด้วยการเดินทางอันแสนไกลหลายร้อยกิโลเมตร จึงทำให้เธอมาถึงท้องสนามหลวงอันเป็นจุดรวมพลเป็นเวล 10 โมงเช้า เธอจึงไม่ทันได้เข้าสักการะพระบรมศพเป็นวันแรก แต่ความตั้งใจและความภักดีก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ถึงแม้สภาพอากาศเมื่อวานนี้จะเจอทั้งแดดและลมฝนจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าใดนัก แต่เธอก็ยืนยันที่จะปักหลักอยู่ท้องสนามหลวงเพื่อให้ได้ถวายสักการะพระบรมศพในวันถัดมาให้จนได้
“เมื่อคืนอาศัยนอนที่เต็นท์ในสนามหลวง คิดเพียงอย่างเดียวว่าคงไม่ถอยแล้ว จะรอจนกว่าได้ขึ้นไปสักการะพระบรมศพ สิ่งที่เราได้พบเจอเมื่อวานนี้เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงทำเพื่อคนไทย พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกาย ทนแดดทนฝน ทุกที่ที่กันดารไกลปืนเที่ยง หรือแม้แต่พื้นที่เสี่ยงภัยพระองค์ก็มิได้ทรงหวั่นเกรง เสด็จฯ ไปทุกที่เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรของตัวเองให้อยู่ดีกินดี เพราะฉะนั้นเมื่อนึกถึงพระราชจริยวัตรเหล่านี้ของพระองค์ท่านแล้ว แดดฝนแค่นี้ที่เราเจอล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย” นางวรรณาเล่าทั้งน้ำตา
เช่นเดียวกับ อุไรวรรณ ไผทฉันท์ และ สาธิตา กวินนิธิปรีดา คุณครูจากโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ที่เดินทางมาถึงสนามหลวงตั้งแต่ช่วง 11 โมงของเมื่อวานนี้ แต่ด้วยมีคิวประชาชนเป็นจำนวนมาก เธอและเพื่อนครูด้วยกันจึงไม่ได้ขึ้นไปสักการะพระบรมศพ แต่วันนี้เธอก็ดีใจที่ได้เป็นกลุ่มแรกของวันที่ได้ขึ้นไปถวายสักการะพระบรมศพสมดังที่ตั้งใจ ทั้งคู่กล่าวว่าเคยมีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพรปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถึง 2 ครั้งด้วยกัน แต่ครั้งที่เธอประทับใจที่สุดและมิเคยลืมเลือน คือ ตอนที่ชีวิตของตัวเองกำลังเผชิญเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่พอได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่หัว ความทุกข์โศกก็พลันมลายหายไป
“พระองค์ท่านทรงเป็นเหมือนแสงทองส่องใจและนำทางให้เราพบแสงสว่าง วันนั้นมีเรื่องทุกข์ใจเป็นอย่างมาก และเราก็ได้มีโอกาสไปเฝ้าฯ รับเสด็จพระองค์ท่าน ตอนนั้นเราก็ชูพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านขึ้นมา และบังเอิญพระองค์หันมาทอดพระเนตรเห็นพอดี ท่านแย้มพระสรวลมาทางเรา นาทีนั้นรู้สึกว่าความทุกข์ทั้งหมดในชีวิตมันหายไปทันที” สาธิตาเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
นอกจากนี้ สองคุณครูในฐานะแม่พิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่าจะน้อมนำพระราชจริยวัตรของประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไปสอนลูกศิษย์ทุกคนให้ประพฤติและเดินตามรอยเศรษฐกิตพอเพียง ใช้ชีวิตบนความเพียงพ่อ ตามรอยพ่อหลวงต่อไป