MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่นประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทุกวันศุกร์ ทาง www.manager.co.th และเฟซบุ๊ก MGROnline Live
อันดับ 1 : ผูกคอตายทะลุถึงตับแตก? “ที่ดินพังงา” มือเซ็นโฉนดรุกป่าสงวนหมื่นล้านดับปริศนา
การเสียชีวิตอย่างปริศนาของผู้ต้องหาที่ทุจริตออกโฉนดที่ดินเกิดขึ้นภายหลังจากที่ นายธวัชชัย อนุกุล อดีตเจ้าหน้าที่ดินพังงา ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จับกุมได้ที่ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ในคดีทุจริตออกโฉนดที่ดินใน จ.ภูเก็ต และ จ.พังงา ทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 1 พันแปลง มูลค่า 10,500 ล้านบาท ก่อนที่จะนำมาควบคุมที่ห้องขังบริเวณชั้น 6 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อรอนำตัวส่งฝากขังต่อศาลในเช้าวันต่อมา แต่กลับเสียชีวิตลงเสียก่อน
โดยดีเอสไอชี้แจงว่า นายธวัชชัย วิตกกังวล เครียด กระสับกระส่าย เจ้าหน้าที่ได้นำอาหารมาให้ แต่ทานได้เล็กน้อย เดินไปเดินมาก่อนล้มตัวลงนอน กระทั่งเวลา 01.00 น. นายธวัชชัย แจ้งว่า แสงในห้องควบคุมสว่างทำให้นอนไม่หลับ ขอให้ปิดไฟ แต่เจ้าหน้าที่อธิบายว่าไม่สามารถทำได้ นายธวัชชัย จึงนอนโดยใช้ผ้าคลุมหน้าและนอนตะแคง กระทั่งเวลาประมาณ 02.00 น. ผู้ต้องหานั่งหันหลังพิงประตู จึงได้เคาะประตูเรียก แต่ผู้ต้องหาไม่ตอบ ก่อนเปิดประตูแล้วพบว่านายธวัชชัยใช้ถุงเท้ายาวผูกคอกับขอบบานพับประตูห้องควบคุม แต่ยังมีลมหายใจอยู่ จึงพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิต และรีบนำส่ง รพ.มงกุฎวัฒนะ แต่ก็เสียชีวิตลงเมื่อเวลาประมาณ 04.45 น.
ต่อมาวันที่ 31 ส.ค. แพทย์จากสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากมีเลือดออกในช่องท้อง ตับแตก เนื่องจากถูกของแข็งไม่มีคมกระแทก และขาดอากาศหายใจ ทำให้ญาติของนายธวัชชัยตัดสินใจไม่ประกอบพิธีฌาปนกิจ มีเพียงประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น จากเดิมที่มีกำหนดสวดพระอภิธรรมคืนเดียวแล้วเผาที่วัดใน จ.ปทุมธานี ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษสั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับวิธีการปั๊มหัวใจอาจเกิดข้อผิดพลาดทำให้ไปกดทับได้ส่งผลให้เลือดออกในช่องท้อง
ด้าน พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ชี้แจงว่า วันเกิดเหตุเวลา 01.10 น. โรงพยาบาลได้รับแจ้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า มีคนเป็นลมหมดสติ จึงส่งชุดแพทย์ฉุกเฉินไปยังที่เกิดเหตุ พบว่า นายธวัชชัย อยู่ในภาวะวิกฤต ต้องทำการช่วยฟื้นคืนชีพในทันที จากนั้นได้รีบนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล พยายามทำการรักษาแต่ก็ยังไม่พ้นวิกฤต สุดท้ายไม่สามารถช่วยชีวิตได้ ยืนยันว่า โรงพยาบาลมีหน้าที่กู้ชีพคนไข้เท่านั้น ไม่มีหน้าที่ชันสูตรถึงสาเหตุการเสียชีวิต และทางทีมแพทย์ไม่ได้รับแจ้งมาก่อนว่าผู้ป่วยผูกคอตัวเอง พร้อมยืนยันว่า การฟื้นคืนชีพ ไม่เคยทำให้คนไข้ตับแตก มีแค่ซี่โครงหัก ซึ่งไม่สามารถอันตรายต่อชีวิตได้
อันดับ 2 : “ตุ๊กตุ่น” ร่ำไห้! ถูก “ตั้ม เดอะสตาร์” อ้างหมดรัก ยืนหยัดซิงเกิลมัม - กำลังใจล้น
คู่รักคนบันเทิงที่เลิกรากันรายล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ส.ค. เมื่ออินสตาแกรม @tuk_toon ของ “ตุ๊กตุ่น รจเรข สุรกานต์โกศล” ผู้ประกาศข่าวกีฬา สถานีโทรทัศน์นิวส์วัน ภรรยาของนักแสดง “ตั้ม เดอะสตาร์ 9 - สุธน บู่สามสาย” ที่แต่งงานไปเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2558 ที่ผ่านมา โพสต์ภาพพร้อมข้อความทำนองว่าตนเองถูกสามีทิ้ง แต่จะพยายามเข้มแข็งเลี้ยงลูกที่มีอยู่สองคน ได้แก่ “น้องเฌอตาร์” และ “น้องมาร์ติน” ต่อไป ท่ามกลางความสงสัยของชาวเน็ตว่า เจ้าตัวนอกใจภรรยา หันไปคบหาพริตตี้ ทิ้งลูกเมียให้อยู่กับบ้าน
ต่อมาวันที่ 31 ส.ค. ตั้ม เดอะสตาร์ ออกมาแถลงข่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องวัน ระบุสาเหตุที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะความรักของตนที่มีต่อตุ๊กตุ่นเจือจางลง ตนไม่ดีเอง ซึ่งมีปัญหามานานแล้ว ยืนยันว่า มีคนอื่นจริงแต่ไม่บอกว่าใคร พร้อมถามหาว่าจะให้กลับไปหาเพื่อลูกได้หรือไม่ ก่อนจะกล่าวทั้งน้ำตาว่าตนพร้อมดูแลลูก แม้จะทำหน้าที่สามีได้ไม่ดี แต่ก็อยากทำหน้าที่พ่อที่ดี ซึ่งตนยังรักตุ๊กตุ่นในฐานะแม่ของลูก และขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวของตน
ด้าน ตุ๊กตุ่น หลังฟังการแถลงข่าวก็ถึงกับทรุดทั้งน้ำตา ยอมรับในเหตุผลของอีกฝ่าย ระบุว่า ตั้ม เปลี่ยนไปหลังคลอดน้องมาร์ตินเมื่อ 4 เดือนก่อน ยืนยันว่า หากรักของตั้มที่มีต่อตนจืดจางลงก็น้อมรับ เพราะตนประคับประคองมาตลอด เมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องเข้มแข็งเพื่อลูก แต่ยืนยันว่า จะให้เป็นแม่ของลูกหรือเพื่อนคู่คิดไม่สามารถเปลี่ยนได้ในเร็ววัน อย่าเพิ่งบังคับให้เปลี่ยนตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นให้อภัย แต่เจ็บที่ทำไมตั้มและมือที่สามต้องมาทำให้ลูกกลายเป็นเด็กบ้านแตก พร้อมขอบคุณที่หลายฝ่ายส่งกำลังใจให้เข้มแข็ง ให้ผ่านพ้นไป ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาคนทั้งวงการข่าวและวงการบันเทิงต่างให้กำลังใจ และประณาม “ตั้ม” ที่นอกใจผู้อื่นไปพร้อมกันด้วย
อันดับ 3 : มหากาพย์แอบอ้างเบื้องสูง “กิมเอ็ง” พ้นคุกแล้วยังทำแบบเดิม ตามรอย “หญิงไก่”
หลังจากผู้เสียหายในคดีค้ามนุษย์และแอบอ้างเบื้องสูง กรณี นางมณตา หยกรัตนกาญ หรือ หญิงไก่ ร้องเรียนต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ข้อมูลว่า พี่สาวต่างมารดาของหญิงไก่ มีพฤติการณ์แบบเดียวกัน และเคยถูกจำคุก 6 ปี กลับมาก่อเหตุซ้ำด้วยการออกสารคดีเฉลิมพระเกียรติ ให้สัมภาษณ์อ้างว่า เคยตามเสด็จฯ ใกล้ชิดบุคคลชั้นสูง เป็นผู้ปรุงอาหารถวายในสำนักพระราชวัง ก่อนสร้างภาพทางสังคมให้ผู้อื่นหลงเชื่อบริจาคเงินเพื่อแลกกับเครื่องราชฯ และยังปลอมแปลงหนังสือที่อ้างว่าออกโดยสำนักพระราชวังไปมอบให้ ก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 2.9 ล้านบาท
กองปราบปรามจึงเข้าจับกุม นางกมนทรรศน์ ธนธรณ์โฆษิตจิร หรือ นางกิมเอ็ง แซ่เตีย อายุ 62 ปี ได้ที่ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา จากการสอบสวนพบว่า นางกิมเอ็ง แอบอ้างเกี่ยวกับการทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติ แถลงข่าวโดยใช้สโมสรนายทหาร จ.ราชบุรี และเปิดรับสมัครคัดเลือกนักแสดงที่ห้างสรรพสินค้าใน จ.ราชบุรี ซึ่งนางกิมเอ็งไปร่วมงานด้วย อีกทั้งยังมีนายทหารยศพลตรี และพันเอก มาร่วมงาน ภายหลังกองทัพบกชี้แจงว่า การขอใช้บริการสโมสรภายในหน่วยทหารทุกหน่วยสามารถมาขอใช้บริการได้ และนายทหารอีกนายหนึ่งที่สื่อได้กล่าวถึงก็เป็นเพียงบุคคลหนึ่งที่ได้รับเชิญเพื่อให้ไปร่วมคัดเลือกเป็นนักแสดงเท่านั้น
ต่อมาวันที่ 30 ส.ค. ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ จับกุม นายถาวร พวงประทุม อดีตพนักงานสำนักพระราชวังพิเศษ ขณะที่ นายสมศักดิ์ สิริยาคม ยังคงหลบหนี โดยมีการแต่งตัวให้คล้ายกับเจ้าหน้าที่ของสำนักพระราชวัง ร่วมกันหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับบุคคลชั้นสูง และบางโอกาสยังได้รับสิ่งของพระราชทาน
ด้าน พล.ต.ต่อคุณ ภักดีชนก นายทหารช่วยราชการ กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี และเจ้าของ หจก.ภักดีชนก พร้อมด้วย นายน้อม พงศ์กาญจนานุกูร หัวหน้าช่างภาพส่วนพระองค์ ทีมงานผู้ผลิตสารคดี เข้าพบพนักงานสอบสวน ระบุว่ารู้จักนางกิมเอ็ง ระหว่างลงนามถวายพระพร ก่อนอาสาเข้ามาสมัครเป็นนักแสดง ระหว่างนั้นก็สร้างความน่าเชื่อถือด้วยวิธีการต่างๆ และเมื่อนางกิมเอ็งถูกจับกุม ผู้ผลิตวิดีทัศน์เฉลิมพระเกียรติก็ได้รับความเสียหายไปด้วย เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ประธาน หจก.ภักดีชนก เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อนางกิมเอ็ง ระบุว่าจากโปร์ไฟล์ไม่คาดคิดว่าจะมาหลอกลวง
อันดับ 4 : เป็นเสืออย่าร้องไห้! “บอลไทย” พ่าย “ซาอุดีอาระเบีย” กังขาผู้ตัดสินจีน
การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่ม B ซึ่งจัดโดยสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย เพื่อคัดเลือกทีมฟุตบอลเข้าแข่งขันฟุตบอลโลก เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียเปิดสนาม คิง ฟาฮัด อินเตอร์เนชันแนล สเตเดียม ต้อนรับทีมชาติไทย ปรากฏว่า แมตช์นี้เกิดความน่ากังขาขึ้น เมื่อนาทีที่ 84 สารัช อยู่เย็น พยายามแย่งบอล กลายเป็นขัดขา ฟาฮัด อัล มูวัลลัด ตัวสำรองของซาอุดีอาระเบีย ล้มลง ผู้ตัดสินเป่าจุดโทษ นาวาฟ อัล อาบิด เตะเข้าที่มุมขวามือ และเมื่อหลังจบเกม สารัชพยายามขอคำอธิบายจากผู้ตัดสิน จึงรับใบเหลืองที่ 2 ติดโทษแบนเกมพบ ญี่ปุ่น วันที่ 6 ก.ย. นี้ จบเกม ซาอุดิอาระเบีย ชนะไทย 1-0 เก็บ 3 แต้มจาก 1 นัด ส่วน ไทย ไม่มีคะแนน
อย่างไรก็ตาม แฟนบอลชาวไทยต่างกังขาถึงการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินชาวจีน ฟู หมิง โดยเฉพาะในช่วงที่สารัชแย่งบอลพลาดในนาทีที่ 81 ทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ทำหนังสือยื่นประท้วงต่อสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ในเรื่องการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน พร้อมหลักฐานวิดีโอ จังหวะที่ทำการตัดสินค้านสายตาแฟนบอล โดยมี 2 จังหวะสำคัญ ได้แก่ ปฏิเสธจุดโทษทีมชาติไทยในนาทีที่ 20 และเป่าให้ลูกจุดโทษ กับทีมซาอุดีอาระเบียในนาทีที่ 81 ถึงกระนั้น “ซิโก้ - เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ได้ปลอบใจลูกทีมว่า ภูมิใจในตัวทุกคน เป็นเสืออย่าร้องไห้ พร้อมขอโทษแฟนบอลชาวไทยด้วย
อันดับ 5 : เวอร์วังอลังการ! “ตึกมหานคร” จัดชุดใหญ่ไฟกะพริบ โค่น “ใบหยก 2” แชมป์สูงที่สุดในไทย
หลังจากที่อาคารใบหยก 2 ถนนราชเทวี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมใบหยกสกาย ถูกจัดให้เป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยมานานกว่า 19 ปี ในที่สุดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ก็เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ได้มีการฉลองเปิดตึกที่สูงที่สุดในไทยแห่งใหม่ “อาคารมหานคร” คอนโดมิเนียมและโรงแรม บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ด้วยความสูง 314 เมตร 77 ชั้น โค่นแชมป์เก่าที่ความสูง 304 เมตร 85 ชั้น
ด้วยรูปทรงเป็นอาคารแท่งตรง มีลวดลายเป็นริบบิ้น 3 มิติโอบล้อมตัวอาคาร และในแนวริบบิ้นมี Sky Box มองเห็นวิวกรุงเทพฯ ได้ 270 องศา ลิฟต์ขึ้นสู่งจุดชมวิวใช้เวลา 40 วินาที ออกแบบโดย โอเลอ เชเริน สถาปนิกชาวเยอรมัน โดยงานฉลองอาคารมีการแสดงแสง สี เสียง ในชื่อว่า “มหานคร แบงคอก ไรซ์ซิ่ง เดอะ ไนท์ ออฟ ไลท์” ท่ามกลางความสนใจของสังคมและสื่อจำนวนมาก ถึงการแสดงอย่างงดงามอลังการ และรูปทรงของตึกที่แปลกใหม่กว่าตึกระฟ้าอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ยังมีอาคารที่จ่อจะโค่นแชมป์ตึกสูงที่สุดในไทยอยู่ 3 อาคาร ได้แก่ คอนโดมิเนียม “แมคโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์” คอนโดมิเนียมความสูง 315 เมตร 73 ชั้น ในโครงการไอคอนสยาม ถนนเจริญนคร คาดว่า จะแล้วเสร็จปี 2560 ตามมาด้วย “โฟร์ซีซั่น ไพรเวท เรสซิเดนท์” คอนโดมิเนียมความสูง 385 เมตร 73 ชั้น ย่านถนนเจริญกรุง คาดว่า จะแล้วเสร็จปี 2561 และ “ซูเปอร์ ทาวเวอร์” อาคารสำนักงานและโรงแรมสูง 615 เมตร 125 ชั้น ย่านถนนพระราม 9 คาดว่า จะแล้วเสร็จปี 2563 ถึงกระนั้นในปัจจุบันตึกที่สูงที่สุดในโลก ได้แก่ อาคารบูร์จคาลิฟา ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ความสูง 828 เมตร 163 ชั้น แล้วเสร็จเมื่อปี 2553
อันดับ 6 : “เต้าหู้ไข่” จิตสำนึกเป็นพิษ! บีบนักเรียนขอขมาครูหน้าเสาธง อ้างทำให้โรงเรียนเสียหาย
เรื่องของผู้แพ้อาหารกลายเป็นเรื่องดรามาคราวนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ส.ค. มีวิดีโอคลิปความยาว 1.20 นาที นักเรียนหญิงรายหนึ่งนั่งคุกเข่า โดยครูได้กล่าวถึงกรณีที่นักเรียนคนดังกล่าวเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยอ้างว่า เป็นเพราะเต้าหู้ไข่ในอาหารกลางวัน แต่เมื่อทางโรงพยาบาลลงความเห็นว่าไม่ได้แพ้อาหาร ทำให้ครูและโรงเรียนเสียชื่อเสียง จึงให้แสดงออกด้วยการกราบครูเพื่อขอขมา แลกกับการที่ไม่ต้องไปตรวจเลือด กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างกว้างขวาง ถึงการนำนักเรียนไปประจานหน้าเสาธง ทำให้นักเรียนมีปมด้อยและรู้สึกอับอาย
สำหรับเรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนบ้านลำหาด ต.ทับทัน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ นางชื่นกมล จรดรัมย์ ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ รับผิดชอบงานฝ่ายปกครอง ชี้แจงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากครูรายหนึ่งบอกกับแม่ครัวว่ามีเด็กรับประทานแกงจืดเต้าหู้ไข่แล้วแพ้ และแม่เด็กไปพูดประจานที่โรงพยาบาลสังขะ ว่า ลูกกินอาหารกลางวันของโรงเรียน ต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้โรงเรียนเสียหาย จึงขอทดสอบนักเรียนคนดังกล่าว ปรากฏว่า ไม่มีอาการแพ้ วันต่อมาจึงให้นักเรียนมากราบขมาหน้าเสาธง พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ด้านนักเรียนระบุว่า หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ประมาณ 14.00 น. เริ่มมีอาการคันและผดผื่น ก่อนจะมากขึ้นในช่วงเย็น จึงไปหาหมอ ฉีดยาแก้แพ้ บอกว่าแพ้อาหาร ซึ่งตนคิดว่าคงแพ้เต้าหู้ไข่ แต่อยากให้เรื่องนี้จบ โดยไม่ต้องบอกว่าใครผิดใครถูก
อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นทำให้นักวิชาการอย่าง พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทยด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยายาลรามาธิบดี เจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” ระบุว่า เป็นความรุนแรงที่หน้าเสาธง การนำเด็กมาประจานส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจ เกิดความอับอาย ส่งผลร้ายต่อการพัฒนาเด็ก และไม่ได้ช่วยปรับพฤติกรรมเด็ก และการแพ้อาหารเป็นปัญหาส่วนบุคคล ขณะที่ผู้ใช้นามว่า “วสันต์ ป้อมลอย” ได้ตั้งแคมเปญล่ารายชื่อผ่านเว็บไซต์ Change.org เป้าหมาย 15,000 รายชื่อ เรียกร้องให้คุรุสภาตั้งคณะกรรมการสอบ อาจารย์ให้นักเรียนกราบขอขมากรณีแพ้เต้าหู้ไข่
อันดับ 7 : “แม่น้องการ์ตูน” ทรุด! นักซิ่งแค่ปล่อยให้ตัวเองล้มละลาย ทิ้งภาระหลักล้านให้ดูต่างหน้า
กรณีที่ “ร้านสเต็กลุงใหญ่” ปากซอยเอกชัย 119 เขตบางบอน กทม. ถูกรถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด ลักษณะแต่งซิ่งที่ขับด้วยความเร็วพุ่งชน ทำให้ นายภานุทัต ศักดิ์สิทธิพันธ์ เสียชีวิต และ ด.ญ.นราศิริ ศักดิ์สืบพันธ์ หรือ น้องการ์ตูน บาดเจ็บสาหัส เมื่อคืนวันที่ 19 ก.ย. 2557 โดยผู้ที่อยู่ในรถ คือ น.ส.น้ำผึ้ง ใจเสงี่ยม อ้างว่า เป็นคนขับ และ นายธงชัย ชื่นชัยแสงสุริยะ โดยความคืบหน้าก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2559 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา และชดใช้ค่าเสียหาย 6 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้โรงพยาบาล ค่าสินไหมทุกข์ทรมาน และค่ารักษาพยาบาลในอนาคต อย่างละ 2 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. เฟซบุ๊กร้านสเต็กคุณแม่การ์ตูน ของ น.ส.ศรัญญา ชำหนิ มารดาน้องการ์ตูน ได้โพสต์ข้อความเพื่อเป็นอุทาหรณ์ที่ครอบครัวต้องพังลง เพราะความคึกคะนองของคนที่แข่งรถบนถนนสาธารณะ ระบุว่า แม้ศาลตัดสินให้คู่กรณีจ่ายค่าเสียหาย แต่ศาลไม่มีอำนาจบังคับให้จ่ายได้ กรมบังคับคดีจะสืบทรัพย์ หากคู่กรณีมีทรัพย์สินถึงจะยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดเพื่อชดใช้ให้ แต่คู่กรณีไม่มีอะไรเลย แค่เป็นบุคคลล้มละลายเท่านั้น สรุปตนมีเพียงคำพิพากษาจากศาล พร้อมกับภาระที่ไม่ได้ก่อแต่ต้องแบกรับไว้คนเดียว แลกกับอีกฝ่ายที่กลายเป็นเพียงบุคคลล้มละลาย
ด้านโลกโซเชียลต่างแห่ให้กำลังใจ พร้อมกับโอนเงินช่วยเหลือเพื่อเป็นค่ารักษาน้องการ์ตูน ซึ่งปัจจุบันยังมีอาการสะโพกเคลื่อน ดวงตามองไม่เห็น รวมทั้งยังเป็นหนี้อยู่กับทางโรงพยาบาล 1.96 ล้านบาท โดยที่คู่กรณีจ่ายไปเพียงแค่ 1 แสนบาทเศษเท่านั้น ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กที่แชร์ต่อกัน เช่น Drama-addict สมาชิกยังประณามฝ่ายคู่กรณีว่าไม่มีสามัญสำนึก ทั้งที่ทำไปด้วยความประมาท โดยที่กฎหมายไทยทำอะไรไม่ได้