xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 31 ก.ค.-6 ส.ค.2559

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“บิ๊กตู่” ประกาศลงประชามติรับร่าง รธน.พร้อมคำถามพ่วง ด้าน “ยิ่งลักษณ์” ไม่รับร่างฯ ขณะที่ “ทักษิณ” ซัดร่าง รธน. “งี่เง่า”
(ซ้าย) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (กลาง) นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปี คดีซื้อที่รัชดาฯ (ขวา) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.
ความเคลื่อนไหวช่วงโค้งสุดท้ายก่อนลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 7 ส.ค. หลายฝ่ายยังคงทยอยเผยท่าทีต่อการออกเสียงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ขณะที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลข้อหนึ่งว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้กลไกในการปราบโกงอ่อนแอลง โดยนายมีชัยถามกลับว่า ตรงไหนที่อ่อนแอ พร้อมชี้แจงว่า ไม่เพียง ป.ป.ช.มีอำนาจปราบนักการเมือง แต่ยังมีอำนาจปราบข้าราชการมากขึ้นด้วย ส่วนการอุทธรณ์ในคดีทุจริตในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น มีที่มาจากความตกลงระหว่างประเทศที่ทำกันมาในปี 2539 ใช้ต่อมาถึงปี 2540 ต่อมาเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ออกมา เนื้อหาร่างฯ ฉบับนั้นก็เริ่มเขียนเหมือนอุทธรณ์ได้ แต่ความจริงไม่ใช่การอุทธรณ์ เพราะต้องหาพยานหลักฐานใหม่ เพื่อให้ศาลพิจารณาเพิ่มเติม

ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่า การให้มีการอุทธรณ์ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการบัญญัติแบบนี้กลุ่มแรกคือ จำเลยคดีจำนำข้าวนั้น นายมีชัยกล่าวว่า “การบัญญัติแบบนี้นั้น ไม่ได้คิดจะเล่นงานใครโดยเฉพาะ แต่เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล รัฐธรรมนูญในปี 2550 มีหลายคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินว่าไม่ผิด ก็หงายหลังกัน เพราะคนทั่วไปรู้สึกว่าน่าจะผิด คราวนี้ กรธ.จึงเขียนว่า ให้สามารถอุทธรณ์ได้ในชั้นศาลฎีกาฯ ที่ผ่านมาศาลฎีกาฯ เห็นว่า หลักฐานอ่อนก็ยกประโยชน์ให้จำเลย เรามีสิทธิ์อุทธรณ์ได้เพื่อให้พิจารณาได้อีกชั้นศาล ถือว่าเป็นไปตามระบบยุติธรรมตามหลักสากลที่ไปเซ็นกับเขาไว้...อย่านึกว่าคนที่เราไม่ชอบจะเป็นพวกเดียวที่ไปสู่ศาลได้ วันดีคืนดี คนที่เราชอบก็อาจไปที่ศาลนั้นได้เหมือนกัน ทุกคนในวงการเมืองก็มีโอกาสไปสู่ศาลนั้นได้ทั้งนั้น พอถึงวันนั้นอาจจะนั่งนึกขอบคุณ กรธ.ก็ได้ว่าเราได้คิดมาไกลเผื่อเขา”

สำหรับท่าทีของฝ่ายต่างๆ ต่อการออกเสียงประขามตินั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ประกาศแล้วว่า วันที่ 7 ส.ค.นี้ จะไปลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง “ในส่วนตัวผมก็จะไปร่วมลงประชามติในฐานะประชาชนคนหนึ่ง และจะลงเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงคำถามพ่วงประชามติ เพราะถ้าเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไปไม่ได้ ทุกอย่างจะกลับไปที่เดิม” พล.อ.ประยุทธ์ยังย้ำด้วยว่า ที่เผยท่าทีเรื่องลงประชามติไม่ถือว่าเป็นการโน้มน้าวเเละชักชวน แล้วเเต่ประชาชนจะตัดสินใจ ส่วนกรณีที่มีบางฝ่ายเรียกร้องให้ลาออก หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามตินั้น พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกัน จะอยู่ไปตามโรดแมป เพราะมีหน้าที่แก้ปัญหา หยุดความขัดแย้ง พร้อมเผยว่า วันที่ 9 ส.ค.จะมีการประชุมร่วม ครม.-คสช.เพื่อวางแผนหาวิธีการดำเนินการต่อไปว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ต้องทำอย่างไร และถ้าไม่ผ่าน ต้องทำอย่างไร

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ว่าจะไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันที่ 7 ส.ค.เช่นกัน โดยบอกว่า แม้ตนจะถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ยังเหลือสิทธิในการออกเสียงประชามติ โดยจะลงประชามติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง เพราะร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นไปตามแนวทางที่ตนวางไว้ ทั้งการกำหนดรูปแบบการปกครองประเทศ การให้สิทธิเสรีภาพและสิ่งที่ประชาชนพึงจะได้รับ และการถ่วงดุลระหว่างอำนาจต่างๆ

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้ส่งอีเมลคำแถลงถึงสำนักข่าวรอยเตอร์ วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีการทำประชามติว่า “งี่เง่า” พร้อมระบุตอนหนึ่งว่า เป็นฝันร้ายที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความสับสน คณะผู้ร่างได้จัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อความต่อเนื่องของอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของคณะผู้ก่อการรัฐประหารชุดปัจจุบันภายหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ฉบับนี้แล้ว และให้อำนาจมากมายไปอยู่ในกำมือขององค์กรต่างๆ ซึ่งมีภารกิจในการเป็นตัวถ่วงดุลรัฐบาล จนกระทั่งทำให้ไม่สามารถที่จะปกครองประเทศได้ “ผมขอพยากรณ์ว่า แม้กระทั่งรัฐบาลชุดใหม่ที่ได้รับการรับรองอย่างเต็มที่จากระบอบปกครองปัจจุบัน รัฐบาลนั้นก็จะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะจัดการเศรษฐกิจของไทย หรือบริหารประเทศภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ที่เสนอกันออกมาเหล่านี้”

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) ได้กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า ตนได้ติดตามข่าวนายทักษิณ ที่ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนี้ และต่อมา นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ก็ออกมาโพสต์เฟชบุ๊คยืนยันเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นการประกาศจุดยืนในวันเกิดของนายทักษิณ โดยมีบุคคลสำคัญของพรรคเพื่อไทยเข้าไปรับนโยบายหลายคน รวมทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เท่ากับว่าคนในระบอบทักษิณทำทุกอย่างเพื่อที่จะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญให้ได้ ทั้งที่นายทักษิณเป็นบุคคลต้องห้ามทางการเมืองตลอดชีวิต แต่ยังพยายามทำตัวเป็นผู้บงการประเทศไทย ถึงได้ส่งสัญญาณให้ลูกสมุนคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ “โอหังมาก มีการประกาศว่า ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่านประชามติในวันที่ 7 ส.ค. พวกเขาจะออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยอ้างว่าไม่มีความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีแผน มีความตั้งใจทำให้บ้านเมืองเกิดปัญหาวุ่นวายมากมายไม่รู้จบสิ้น เพราะยังอยากกลับมามีอำนาจในประเทศไทย และจากการที่พวกเขาเคลื่อนไหว ยิ่งทำให้คนอย่างผมมีพลัง มีความตั้งใจทำหน้าที่ประชาชนเพื่อกำหนดอนาคตไทยด้วยมือของเรา พาประเทศให้พ้นจากอำนาจนักการเมืองเลวในระบบทุนสามานย์ ไม่ให้ประเทศไทยอยู่ในวงจรอุบาทว์เหมือนที่ผ่านมา ผมจะรับร่างรัฐธรรมนูญนี้และรับคำถามพ่วง”

สำหรับผลประชามตินั้น นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.เผยว่า หลังปิดหีบลงคะแนนในเวลา 16.00 น. จะมีการนับคะแนนหน้าหน่วยออกเสียงทุกหน่วยทั่วประเทศเช่นเดียวกับการเลือกตั้ง ส.ส. และแต่ละหน่วยจะส่งผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการถึง กกต.กลาง คาดว่าจะทราบผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการได้ในเวลาไม่เกิน 21.00 น. ส่วนผลอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะทราบได้ภายใน 3 วัน

2.คกก.สอบข้อเท็จจริงฯ สรุปแล้ว “ยิ่งลักษณ์” จำนำข้าวเสียหายกว่า 2.86 แสนล้าน ด้านเจ้าตัวขึ้นศาลฯ แถลงเปิดคดีทุจริตจำนำข้าว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา!

 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำเลยคดีไม่ระงับยับยั้งการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว จนเกิดความเสียหายหลายแสนล้านบาท เดินทางมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักปลัดสำนักนายรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังนายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดจากโครงการรับจำนำข้าว เข้ารายงานตัวเลขความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวว่า ตนได้รับตัวเลขจากนายจิรชัยเพื่อจะรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ในวันที่ 3 ส.ค. แล้ว โดยตัวเลขที่ได้รับการยืนยันพบว่า ความเสียหายจากการบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ที่ 286,639 ล้านบาท ส่วนของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพวก อยู่ที่ 18,743 ล้านบาท ส่วนตัวเลขการระบายข้าวในสต๊อกของฝ่ายบริหารในอดีต มีการรับมอบข้าวเข้ามาจำนวน 13.3 ล้านตัน แต่ส่งออกไปยังต่างประเทศไม่ถึง 1 ล้านตัน คงค้างในคลัง 13 ล้านตัน

ด้านนายจิรชัยกล่าวถึงรายงานตัวเลขดังกล่าวว่า เป็นการรายงานสถานการณ์เรื่องข้าว โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ความเสียหายในส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำนวน 2 แสนกว่าล้านบาท ที่เคยให้การต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไป โดยเป็นตัวเลขที่ต้องรอคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง ที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน พิจารณาอีกรอบหนึ่ง และว่า ในส่วนของนายบุญทรงที่เป็นค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบจีทูจี จำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท แต่คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง พิจารณาแล้วเห็นว่าควรปรับเพิ่มเรียกค่าเสียหายกับผู้ที่เกี่ยวข้องเป็น 2 หมื่นล้านบาท และเรื่องการระบายข้าวในสต๊อกและข้าวคงเหลือในสต๊อกของรัฐบาลในอดีต โดยทั้งหมดจะมีการรายงานต่อที่ประชุม นบข.รับทราบ ในวันที่ 3 ส.ค.

ทั้งนี้ หลังประชุม นบข.เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตัวเลขความเสียหายทั้งหมดไม่ใช่ 2 แสนกว่าล้าน อาจจะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขายข้าวไม่ได้ ข้าวจะเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ และจะขายมากๆ ก็ไม่ได้ เพราะต้องดูราคาตลาดด้วย

วันเดียวกัน(3 ส.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กทำนองขอกำลังใจจากประชาชน โดยบอก ความรู้สึกก่อนขึ้นศาล(ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) วันที่ 5 ส.ค. เป็นช่วงยากลำบากสำหรับชีวิต บางครั้งรู้สึกเหนื่อย ท้อ แต่ก็บอกกับตัวเองว่าจะป่วย จะท้อ จะหมดกำลังใจไม่ได้ เพราะยังมีผู้คนอีกมากที่คอยให้กำลังใจ เหลือเวลาอีกเพียงสองวัน จะต้องขึ้นศาลฯ เพื่อแถลงเปิดคดีและตอบคำถามฝ่ายโจทก์ด้วยตัวเอง

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อถึงกำหนดขึ้นศาลฯ (5 ส.ค.) มีมวลชนไปรอให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ศาลฯ จำนวนหนึ่ง ส่วนการแถลงเปิดคดีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ กรณีละเลยไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว จนเกิดความเสียหายกว่า 4 แสนล้านบาทนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาตามฟ้องของโจทก์และสำนวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ใน 6 ประเด็น สรุปว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่คุ้มครองรักษาประโยชน์ให้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย และเมื่อได้แถลงนโยบายต่อสภาแล้ว ก็มีผลผูกพันที่ ครม.ต้องปฏิบัติตาม โดยคำนึงถึงประโยชน์ของเศรษฐกิจโดยรวม ไม่มุ่งแสวงหาผลกำไร และว่า ตามรายงานศึกษาของหน่วยงานทั้งไทยและต่างประเทศ โครงการนโยบายสาธารณะมีความคุ้มค่า ซึ่งไม่อาจใช้แนวคิดผลกำไรและขาดทุนแบบเอกชนมาเปรียบเทียบได้ พร้อมยืนยันว่า ข้อกล่าวหาและการแจ้งข้อกล่าวหานั้นไม่ถูกต้องและไม่ให้ความเป็นธรรม โดยไม่เปิดโอกาสไต่สวนพยานจำเลยในชั้น ป.ป.ช.

ทั้งนี้ ศาลได้ไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นพยานปากแรก โดยอัยการซักถามว่า เงินที่ใช้ในโครงการจำนำข้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ จำเลยมีมาตรการอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า อย่ามองว่าการจ่ายเงินให้ชาวนาเป็นการขาดทุน ไม่เช่นนั้นจะเป็นโครงการสาธารณะไม่ได้ อัยการถามว่า การระบายข้าวแบบจีทูจีเป็นลักษณะอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบว่า ได้มอบอำนาจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ ตนดูในระดับนโยบาย พร้อมอ้างว่า อัยการนำคำถามในระดับปฏิบัติมาถาม ไม่ถูกต้อง และเรื่องจีทูจีไม่ได้อยู่ในสำนวนตั้งแต่ต้น

3.กรมสรรพสามิตประเมินภาษีรถเบนซ์ “สมเด็จช่วง” แล้ว ต้องเรียกเก็บเพิ่ม 6.8 ล้าน พร้อมให้ดีเอสไอดำเนินคดีอาญาผู้ผลิต-ผู้จดประกอบ-ผู้ครอบครอง!

 (บน) สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กับรถเบนซ์โบราณผิดกฎหมาย (ล่าง) พระมหาศาสมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ  และเป็นเลขานุการของสมเด็จช่วง
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. นายสมศักดิ์ โตรักษา ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้แถลงถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ประชุมร่วมกับพนักงานอัยการคดีพิเศษ เกี่ยวกับรถเบนซ์โบราณที่อยู่ในความครอบครองของสมเด็จช่วง เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ว่าได้พิจารณาความผิดของกลุ่มผู้ครอบครองรถเบนซ์โบราณ โดยระบุว่า รถมีการชำระภาษีสรรพสามิตไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และผู้ครอบครองรถเสียภาษีไม่ครบถ้วนจะมีความผิดตามมาตรา 161(1) พ.ร.บ.สรรพสมิต พ.ศ.2527 แต่ไม่พบว่ามีชื่อของสมเด็จช่วงในคำแถลงแต่อย่างใด จึงขัดแย้งกับคำแถลงของอธิบดีและรองอธิบดีดีเอสไอที่แถลงก่อนหน้านี้ที่อ้างว่า ผู้ครอบครองทำผิดกฎหมาย เช่น แจ้งความเท็จ เสียภาษีไม่ครบ เป็นต้น การแถลงของอธิบดีและรองอธิบดีดีเอสไอจึงกระทบต่อสิทธิของสมเด็จช่วง เพราะทำให้ประชาชนเชื่อว่า สมเด็จช่วงมีความผิดตามที่กล่าวหา ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียและความวุ่นวายในคณะสงฆ์ และกระทบต่อการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชด้วย ทั้งที่ยังไม่มีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาส่งมายังผู้ถูกกล่าวหา จึงขอให้อธิบดีดีเอสไอชี้แจงความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้

นายสมศักดิ์กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้จะรักษาสิทธิให้สมเด็จช่วง โดยจะทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของสมเด็จช่วง ส่วนจะมีการฟ้องดีเอสไอข้อหาละเมิดสิทธิสมเด็จช่วงหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสมเด็จช่วงจะอนุมัติหรือไม่ พร้อมกันนี้ นายสมศักดิ์ยังปฏิเสธด้วยว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของพระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่เคลื่อนไหวเรื่องการสถาปนาพระสังฆราชแต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำตามขั้นตอนของกฎหมาย และว่า การประชุมครั้งที่ผ่านมา มีความชัดเจนว่า ดีเอสไอต้องรอการประเมินภาษีจากกรมสรรพสามิตก่อน จึงจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้

ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายสมเด็จช่วง เตรียมทำหนังสือชี้แจงถึงนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยอ้างว่าดีเอสไอแถลงคดีรถเบนซ์โบราณกระทบต่อสิทธิของสมเด็จช่วงว่า พนักงานสอบสวนเปิดเผยบางเรื่องไม่ได้ เพราะอยู่ในสำนวนสอบสวน และว่า คนเป็นทนายความของใคร ก็ต้องหาความเป็นธรรมให้กับลูกความของตัวเอง แต่ผู้ต้องหาต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วย “ผมพูดทุกครั้งว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาจะใช้กระบวนการยุติธรรมในเรื่องของการเรียกร้องความเป็นธรรมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ผู้ต้องหาต้องเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ไปฟ้องคนอื่น แต่ตัวเองไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”

ด้านนายธรรมศักดิ์ ลออเอี่ยม ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมฯ จะสรุปผลการตรวจสอบภาษีรถยนต์ของสมเด็จช่วงส่งให้ดีเอสไอดำเนินการต่อ และว่า การตรวจสอบแบ่งเป็น 2 กรณี คือคดีแพ่ง คือการประเมินภาษี กรมฯ ต้องเรียกเก็บจากผู้ผลิตหรือผู้ประกอบ เบื้องต้นรถยนต์คันดังกล่าวต้องเสียภาษีเพิ่ม 6 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 เสียภาษีไว้แล้ว 2 แสนบาท จากราคาประเมินรถยนต์ 5 แสนบาท ส่วนที่ 2 คือ คดีอาญา ต้องดำเนินการกับผู้ครอบครองรถยนต์ ซึ่งดีเอสไอจะเป็นผู้ดำเนินการ และว่า เบื้องต้นเรียกเก็บภาษีและค่าปรับจากผู้ครอบครองรถยนต์เพิ่มเติม 1.6 ล้านบาท “การตรวจสอบ กรมฯ ยึดตามเอกสารที่ดีเอสไอส่งมาให้ พบว่ารถยนต์คันดังกล่าวชำระภาษีไม่ครบถ้วน ก่อนหน้านี้การประเมินภาษียึดตามราคานำเข้าแจ้งมายังกรมศุลกากร ระบุว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีราคา 5 แสนบาท แต่ต่อมาดีเอสไอตรวจสอบราคาตลาดพบว่า รถยนต์คันดังกล่าวขายในตลาด 4 ล้านบาท จึงต้องเรียกเก็บภาษีเพิ่มพร้อมค่าปรับ มีโทษของการเสียภาษีไม่ครบคือปรับ 2-10 เท่าจากภาษีที่ขาด”

นายธรรมศักดิ์กล่าวอีกว่า หากผู้ประกอบรถยนต์ไม่มีข้อโต้แย้ง ต้องมาเสียภาษีในส่วนที่ขาดพร้อมค่าปรับภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้ง แต่ถ้ามีข้อโต้แย้ง ต้องใช้เวลานานกว่านั้น และถ้าตกลงกันไม่ได้ ต้องฟ้องร้องต่อศาลภาษี

ทั้งนี้ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เผยเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ว่า กรมสรรพสามิตได้ส่งหนังสือประเมินภาษีรถเบนซ์ของสมเด็จช่วงมาให้ดีเอสไอแล้ว มีการกระทำผิดจริงตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต ดังนั้นดีเอสไอจะสอบปากคำเจ้าหน้าที่สรรพสามิตเพื่อยืนยันคำให้การตามเอกสาร จากนั้นจะพิจารณาออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมารับทราบข้อหาต่อไป

มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ส.ค. กรมสรรพสามิตได้ทำหนังสือส่งมายังอธิบดีดีเอสไอ โดยแจ้งผลการตรวจสอบการชำระภาษีรถเบนซ์ของสมเด็จช่วง ตามที่ดีเอสไอขอให้กรมฯ ประเมินภาษีรถยนต์จากอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์เก่าของรถเบนซ์ดังกล่าว ปรากฏพยานหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายที่แท้จริง ณ โรงงานอุตสาหกรรม ราคา 4 ล้านบาท กรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบพบว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยังไม่ได้ชำระภาษีสรรพสามิต จึงประเมินภาษีสรรพสามิตผู้ผลิตรถยนต์รายนายวิชาญ รัษฐปานะ ดังนี้ ค่าภาษีสรรพสามิต 1,600,000 บาท เบี้ยปรับ 3,200,000 บาท เงินเพิ่ม 1,440,000 บาท ภาษีเก็บเพิ่มเพื่อมหาดไทย 624,000 บาท รวมเป็นภาษีทั้งสิ้น 6.864,000 บาท สำหรับความผิดทางอาญาของผู้ผลิต ผู้จดประกอบ ผู้ครอบครอง และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง กรมสรรพสามิตขอให้ดีเอสไอพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ส.ค. มีรายงานว่า พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน จะออกหมายเรียกพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งเป็นเลขานุการของสมเด็จช่วงด้วย เข้ารับทราบข้อกล่าวหามีรถยนต์ไว้ครอบครองโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วนตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ.2527 ในวันที่ 16 ส.ค. เวลา 10.00 น. ที่ดีเอสไอ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า หลวงพี่แป๊ะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดรถเบนซ์โบราณ ในฐานะเป็นผู้สั่งซื้อและประกอบรถดังกล่าว

ส่วนความคืบหน้ากรณีดีเอสไอออกหมายเรียกพระ 5 รูป หลังอัยการให้พนักงานสอบสวนสอบเพิ่มคดีพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กับพวกสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจรนั้น เมื่อวันที่ 2 ส.ค. พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร ดีเอสไอ กล่าวว่า พระ 5 รูปที่ออกหมายเรียก เป็นผู้บริหารวัดพระธรรมกาย และใกล้ชิดกับพระธัมมชโย และเมื่อวันที่ 2 ส.ค. เป็นวันครบกำหนดนัดตามที่พนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือแจ้งไปยังพระมหาบุญชัย จารุทัตโต ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี วัดพระธรรมกาย มาให้ปากคำเกี่ยวกับการใช้เงินของวัด แต่เมื่อถึงกำหนด พระมหาบุญชัยได้ประสานขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากเอกสารหลักฐานมีจำนวนมาก ทำให้ยังรวบรวมเอกสารทั้งหมดไม่แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนคดีพิเศษพร้อมด้วยอัยการฝ่ายคดีพิเศษและที่ปรึกษาคดีพิเศษ ประชุมร่วมกันและมีมติให้พนักงานสอบสวนเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษพระมหาบุญชัยที่ สน.ทุ่งสองห้อง ข้อหาขัดหมายเรียก เพราะก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือแจ้งแล้ว 3 ครั้ง แต่ก็เลื่อนการเข้าให้ปากคำมาโดยตลอด ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะเร่งสรุปสำนวนคดีพิเศษที่อัยการมีคำสั่งให้สอบเพิ่มส่งให้ทันวันที่ 11 ส.ค.นี้ ส่วนบุคคลที่ไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน จะได้รายงานให้อัยการทราบต่อไป

4.ศาลพิพากษาจำคุก “หมอเลี้ยบ” 1 ปี คดีแต่งตั้งบอร์ด ธปท.มิชอบ ลุ้นอีกคดี แปลงสัญญาสัมปทานเอื้อชินแซทฯ 25 ส.ค.นี้!

 นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือหมอเลี้ยบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

จากกรณีเมื่อปี 2551 นพ.สุรพงษ์ ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง ได้มีการแต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ หรือบอร์ดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมิชอบ ซึ่งมีการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ภายหลังวินิจฉัยว่าการคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด ธปท.เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากคณะกรรมการคัดเลือกฯ บางคนมีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 28/1 และได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาดำเนินการระงับการทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงแต่งตั้งประธานกรรมการ ธปท. และให้ รมว.คลังดำเนินการยกเลิกการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ ธปท.

องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากพิจารณาแล้วเห็นว่า การแต่งตั้งนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ นายวิจิตร สุพินิจ และนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ เข้าไปทำหน้าที่คณะกรรมการคัดเลือกคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ถือว่าบุคคลทั้งสามเป็นผู้มีผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสียที่ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามความหมายของ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 28/1 วรรคสาม เนื่องจากบุคคลทั้งสามต่างเป็นตัวแทนในสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อจำเลยแต่งตั้งบุคคลทั้งสามเป็นคณะกรรมการคัดเลือก จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำคุกเป็นเวลา 1 ปี และปรับ 2 หมื่นบาท แต่ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า หลังจากจำเลยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว แม้คณะกรรมการคัดเลือกจะได้คัดเลือกกรรมการผู้ทรงวุฒิในธนาคารแห่งประเทศไทยก็ตาม แต่ต่อมามีการยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าว จึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา

หลังฟังคำพิพากษา นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า น้อมรับคำพิพากษาและขอบคุณในความเมตตาของศาล และว่า เรื่องนี้ถือเป็นกฎหมายใหม่ที่เพิ่งบังคับใช้ ศาลก็ได้ให้ความชัดเจนและเป็นบรรทัดฐานให้รัฐมนตรีดำเนินการตามคำวินิจฉัยต่อไป นพ.สุรพงษ์กล่าวอีกว่า วันนี้ได้ยกภูเขาออกไปแล้ว 1 ลูก ส่วนอีก 1 ลูก คือคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบกรณีแปลงสัญญาสัมปทานเอื้อประโยชน์บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ที่ศาลจะมีคำพิพากษในวันที่ 25 ส.ค.นี้ เวลา 10.30 น.

5.“ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์” ฟ้องผู้ว่าฯ สตง.กรณีแถลงโครงการไฟประดับ กทม.ทุจริต ชี้ไม่ใช่หน้าที่ ด้าน “พิศิษฐ์” ยันเป็นหน้าที่!

(ซ้าย) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. (ขวา) นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าฯ สตง. (ล่าง) โครงการไฟประดับของ กทม.มูลค่ากว่า 39.5 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มอบอำนาจให้นายสัก กอแสงเรือง ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

ทั้งนี้ คำฟ้องโจทก์ระบุว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2559 จำเลยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เกี่ยวกับโครงการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งกรุงเทพมหานครจัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2558 - 31 ม.ค. 2559 ว่า คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินพิจารณาผลการตรวจสอบโครงการไฟประดับมูลค่า 39,500,000 บาท พบว่ามีพฤติการณ์ไม่สุจริต ฮั้วราคา ซึ่งเดิมสภากรุงเทพมหานครไม่อนุมัติให้ดำเนินการตามงบปกติ จึงใช้งบฉุกเฉินซึ่งมีไว้เฉพาะกรณีจำเป็นเร่งด่วน แม้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของผู้ว่าฯ กทม.ก็ใช้โดยไม่ชอบ เพราะไม่ได้ทำตามวิธีการงบประมาณตามปกติ น่าเชื่อว่ามีการทุจริตในความรับผิดชอบของผู้ว่าฯ กทม.กับผู้บริหารระดับสูง 2 คน รวมทั้งคณะกรรมการที่มีบทบาทหน้าที่กำหนดเรื่องทีโออาร์ จะรีบทำสำนวนส่ง ป.ป.ช.

ซึ่งถ้อยแถลงของจำเลย ทำให้ประชาชนเข้าใจและเชื่อว่าโครงการไฟประดับ โจทก์นำงบประมาณมาใช้ผิดประเภท และมีการนำงบฉุกเฉินมาใช้โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน มีการฮั้วประมูลโครงการ ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ และจะต้องดำเนินคดีอาญาต่อโจทก์ที่ทำผิดกฎหมาย ทั้งที่จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่ต้องออกมาแถลงข่าว ซึ่งจำเลยไม่มีอำนาจตามกฎหมายโดยตรงในการดำเนินการเรื่องทุจริต หรือความผิดต่อการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ซึ่งภายหลังจากที่ ป.ป.ช.รับเรื่องจากจำเลยแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการเอาผิดต่อโจทก์แต่อย่างใด แต่จำเลยกลับนำเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และไม่ใช่อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงของตนมาแถลงข่าวเป็นรายวัน การกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกดูหมิ่น โจทก์จึงขอให้ศาลไต่สวนมูลฟ้องพิจารณาพิพากษาตามกฎหมายต่อไป และขอให้ศาลสั่งจำเลยลงประกาศคำพิพากษาทั้งหมดลงในหนังสือพิมพ์รายวัน 11 ฉบับเป็นเวลา 30 วันติดต่อกัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ศาลรับคำฟ้องไว้ในสารบบเพื่อมีคำสั่งต่อไป

ด้านนายพิศิษฐ์ ลีลาวโรภาส ผู้ว่าฯ สตง.กล่าวว่า ทราบเบื้องต้นเท่านั้นว่ามีการฟ้อง แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด และว่า การฟ้องร้องถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ทำได้ คงไม่สามารถขอร้องหรือควบคุมใครว่าไม่ให้ฟ้องร้องได้ ยืนยันว่าได้ทำตามหน้าที่ โดยการตรวจสอบและการแถลงข่าวของตนก็ดำเนินการตามข้อเท็จจริง ไม่มีการใส่ร้ายแต่อย่างใด เพราะการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐต้องโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลอยู่แล้ว การบิดเบือนข้อเท็จจริงจึงทำไม่ได้ง่ายๆ ซึ่งการทำงานของ สตง. เพื่อตอบคำถามของสังคมที่มีความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องการใช้งบประมาณ เพราะหน่วยงานรัฐใช้เงินงบประมาณของแผ่นดินซึ่งมาจากประชาชน การใช้เงินจะต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่มีความลับ และการเปิดเผยข้อมูลของ สตง.เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
กำลังโหลดความคิดเห็น