ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยได้ ๘๒ ปีแล้ว ใช้รัฐธรรมนูญไป ๑๙ ฉบับ ซึ่งค่อนข้างจะเปลืองไปหน่อย อย่างสหรัฐอเมริกา เขาใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกมา ๒๐๐ กว่าปีก็ยังไม่เปลี่ยน
ที่รัฐธรรมนูญไทยถูกเลิกใช้ สาเหตุใหญ่ก็มาจากการทำรัฐประหาร บางครั้งครองอำนาจได้เต็มที่ แต่มีปัญหาถูกลูกพรรคตัวเองตีรวน แทนที่จะแก้ปัญหากันภายในพรรค กลับใช้รถถังออกมายึดอำนาจตัวเอง เพื่อฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วร่างฉบับใหม่กำหลาบลูกพรรคให้เชื่อง
การทำรัฐประหารแบบนี้แม้จะเหมือนเล่นลิเก แต่ก็ทำกันมาแล้วถึง ๓ ครั้ง โดยระดับจอมพลทั้ง ๓ คน การร่างรัฐธรรมนูญบางฉบับ ก็ร่างกันนานเพื่อยื้ออำนาจไว้ ฉบับที่สุดยอดก็คือ ฉบับที่ ๘ ซึ่งใช้คนร่างถึง ๒๔๐ คน ใช้เวลาร่าง ๙ ปี ๔ เดือน แต่ใช้อยู่ได้แค่ ๓ ปี ๔ เดือน ก็ถูกฉีกโดยคนที่ประกาศใช้เองนั่นแหละ
ตำนานการเมืองฉากนี้ เริ่มขึ้นเมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๐๐ แต่ยังไม่กล้าขึ้นครองอำนาจเอง เพราะที่กลัวกันมากในการทำรัฐประหารก็คือ จะไม่ได้รับการรับรองจากต่างประเทศ จึงเชิญ นายพจน์ สารสิน เลขาธิการองค์การซีโต้ ให้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ ปรากฏว่า พรรคสหภูมิของจอมพลสฤษดิ์ได้ ๔๕ ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ ๓๙ ที่นั่ง พรรคเศรษฐกรได้ ๖ ที่นั่ง นอกนั้นเป็นผู้ไม่สังกัดพรรคอีก ๕๘ ที่นั่ง เสียงของพรรคสหภูมิไม่พอจัดตั้งรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์จึงส่งคนไปทาบทามพรรคประชาธิปัตย์ให้เข้าร่วม แต่ได้รับการปฏิเสธ จึงตั้งพรรคใหม่ขึ้นในชื่อ “ชาติสังคม” เป็นหัวหน้าพรรคเอง มี พลโทประภาส จารุเสถียร เป็นเลขาธิการพรรค กวาด ส.ส.ส่วนใหญ่มารวมกับ ส.ส.ประเภท ๒ ที่ตั้งเองอีก ๒๐๒ คน ควบคุมสภาได้โดยเด็ดขาด ให้ พลโทถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะจอมพลสฤษดิ์มีปัญหาเรื่องสุขภาพ แต่ก็มีอำนาจเหนือรัฐบาล บงการอยู่เบื้องหลัง
ในระหว่างที่จอมพลสฤษดิ์ไปผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาลวอลเตอร์รีด สหรัฐอเมริกา พลโทถนอมซึ่งบารมีไม่ถึงที่จะควบคุมลูกพรรคได้ ส.ส.ที่ไปกว้านมาจากพรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป. ได้แยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่ชื่อประชาราษฎร์ และสมาชิกพรรคชาติสังคมเองก็คัดค้านการตัดงบการศึกษาไปเพิ่มงบการทหาร ที่สำคัญคือ ส.ส.รัฐบาลเองบีบให้ออกกฎหมายควบคุมการใช้เงินกองสลากกินแบ่ง หลังจากมีข่าวว่ากองสลากฯจ่ายเงินค่ารักษาตัวจอมพลสฤษดิ์ไป ๓ ล้านบาท และยังจะสอบสวนจอมพลสฤษดิ์เรื่องทุจริตในกองสลากด้วย ทำให้จอมพลสฤษดิ์โกรธมาก อีกทั้งศรัทธาประชาชนต่อทหารก็เสื่อมลงทุกวัน การเลือกตั้งซ่อม ๕ จังหวัดในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๐๑ ฝ่ายรัฐบาลแพ้ยับเยิน พล อ.อ.เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ซึ่งเข้ามาเป็นเลขาธิการพรรคชาติสังคม บินไปรายงานจอมพลสฤษดิ์ขณะพักรักษาตัวอยู่ที่อังกฤษเป็นประจำ ว่าลูกพรรคของท่านหิวกันไม่หยุดหย่อน หนังสือพิมพ์ก็ด่ากันป่นปี้ทุกวัน จอมพลสฤษดิ์จึงตัดสินใจที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่สถานการณ์จะสุกงอม
ในวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๐๑ จอมพลสฤษดิ์แอบบินกลับมาอย่างเงียบๆ แล้วให้พลเอกถนอม กิตติขจร ลาออกจากนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็ออกแถลงการณ์คณะปฏิวัติ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกสถาบันทางการเมืองทั้งหมด รวบอำนาจการปกครองเข้ามาอยู่ในกำมืออย่างสิ้นเชิง ประกาศกฎอัยการศึกโดยไม่มีกำหนดเวลาและขอบเขตพื้นที่ ปราบปรามนักการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ และห้ามมิให้มีการชุมนุมในทางการเมืองตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป
เมื่อนักข่าวถามจอมพลสฤษดิ์ว่า จะเลิกกฎอัยการศึกเมื่อใด จอมพลสฤษดิ์ก็จะตอบอย่างที่ทำให้คนถามและคนที่ได้ยินไม่กล้าถามต่อ ว่า
“แล้วลื้อเดือดร้อนอะไรด้วยล่ะ อั๊วไม่เห็นมันน่าจะเดือดร้อนอะไรนี่หว่า”
ต่อมาในระหว่างที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญ จอมพลสฤษดิ์ได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๐๒ มีเพียง ๒๐ มาตรา โดยถอดมาจากรัฐธรรมนูญของประธานาธิบดีเดอโกลแห่งฝรั่งเศส มาตราที่ลือลั่นคือมาตราที่ ๑๗ ซึ่งระบุให้นายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใดๆ ให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำนั้นเป็นคำสั่งหรือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
ด้วยมาตรานี้ ทำให้จอมพลสฤษดิ์มีอำนาจสั่งประหารชีวิตคนก็ยังได้ ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ได้สั่งประหารไปถึง ๑๑ คน ในจำนวนนี้ ๕ คนเจอข้อหาวางเพลิง อีก ๑ คนข้อหาผลิตเฮโรอีน ๔ คนข้อหาคอมมิวนิสต์ และ ๑ คนเป็นผีบุญจากอีสาน คนหลังนี้จอมพลสฤษดิ์ลองของสั่งให้อมกระโถนให้ดู เมื่ออมไม่ได้จึงให้เอาไปประหาร
หลังจากที่ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองนี้ในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๐๒ แล้ว จอมพลสฤษดิ์ก็ทำให้ประชาชนตายใจ แต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ มีจำนวน ๒๔๐ คน ให้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติด้วย อีกทั้งยังมีอำนาจให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญที่ตัวร่างเองได้ แต่กลับไม่มีอำนาจควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
จอมพลสฤษดิ์พูดให้รู้กันในวงในว่า ตราบที่มีชีวิตอยู่จะไม่ยอมให้มีสภาผู้แทนราษฎรอย่างเด็ดขาด เพราะเข็ดขยาดพฤติกรรมของสมาชิกพรรคชาติสังคม สมาชิกสภาชุดนี้จึงร่างรัฐธรรมนูญกันอย่างใจเย็น
ถ้านักข่าวไปถามจอมพลสฤษดิ์ว่ารัฐธรรมนูญจะเสร็จเมื่อไหร่ ยามอารมณ์ดีจอมพลสฤษดิ์ก็จะบอกว่า
“ไม่ต้องห่วง ผมตายไปแล้วเขาก็ร่างเสร็จเอง”
แต่ถ้าไปถามเอาตอนอารมณ์บ่จอย ก็จะได้คำตอบว่า
“เสร็จเมื่อไหร่มันเรื่องอะไรของลื้อวะ”
ตลอดเวลา ๕ ปีกับ ๑ เดือนเศษที่จอมพลสฤษดิ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยตกอยู่ใต้กฎอัยการศึก ไม่มีรัฐธรรมนูญ ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ห้ามชุมนุมทางการเมือง ประชาชนถูกยึดอำนาจโดยเด็ดขาด
เมื่อจอมพล สฤษดิ์ธนะรัชต์ อสัญกรรมในวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๐๖ จอมพลถนอม กิตติขจร ผู้สืบทอดอำนาจ กลับเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ประชาชนได้เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ร่างกันมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๒ แต่จอมพลถนอมก็ยังยื้อต่อได้อีก ๔ ปีกว่า จนต้องประกาศใช้ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๑
ซึ่งน่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาร่างยาวนานที่สุดในโลก และเสียค่าเบี้ยประชุมร่างมากที่สุดในโลกด้วย
เมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้วจึงมีการเลือกตั้ง และให้มีพรรคการเมืองได้ จอมพลถนอมได้ตั้ง “พรรคสหประชาไทย”ขึ้น มีตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค พลเอกประภาส จารุเสถียร เป็นรองหัวหน้าพรรค ผลการเลือกตั้งในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ พรรคสหประชาไทยได้รับเลือก ๗๖ ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ ๕๗ ที่นั่ง จอมพลถนอมจึงกว้านพรรคเล็กและผู้สมัครอิสระมารวมพรรคสหประชาไทยเป็น ๑๒๗ เสียง ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
แม้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เรียกกันว่า “ฉบับประชาธิปไตยครึ่งใบ” กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เลือกวุฒิสมาชิก รัฐบาลจึงมีเสียงสนับสนุนท่วมท้น แต่จอมพลถนอมก็ไม่สามารถควบคุม ส.ส.ลูกพรรคซึ่งมาจากร้อยพ่อพันแม่ได้ เกิดการตีรวนกันประจำ จอมพลถนอมจึงหาทางออกด้วยวิธีที่จอมพล ป.ริเริ่มไว้ และจอมพลสฤษดิ์เจริญรอยตามมาแล้ว คือ “ยึดอำนาจตัวเอง” เคลื่อนรถถังออกในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ แล้วยุบสภานิติบัญญัติ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ จัดตั้ง “สภาบริหารแห่งชาติ” ขึ้น โดยมีจอมพลถนอมเป็นประธานสภา
รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้เวลาร่างยาวนานถึง ๙ ปี ๔ เดือน ๑๗ วัน จึงมีอายุอยู่ได้แค่ ๓ ปี ๕ เดือน ๒๘ วัน ก็ถูกฉีกไป
แม้สัญญาว่าจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จภายใน ๓ ปี แต่ก็ไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน และเห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อจะยื้ออำนาจไว้ในกำมือของกลุ่ม “ถนอม-ประภาส” เท่านั้น จึงหมดความอดทน จนเกิดกรณี “๑๔ ตุลา” โดยมีขบวนการนักศึกษาเป็นตัวนำ
ร่างรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ แม้จะมี “สูตรแกงส้ม” หลายสูตร แต่ก็ยังไม่มีสูตรไหนแก้ปัญหาได้ยั่งยืน เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญไม่ว่าฉบับไหน การเมืองก็จะเริ่มต้นด้วยการซื้อเสียงเลือกตั้ง จนขยับขึ้นไปซื้อ ส.ส. “ยกเข่ง” เมื่อชิงอำนาจได้แล้ว ต่อไปก็มีการถอนทุนพร้อมกำไรมโหฬาร ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะกำหนดไว้อย่างไร ก็หาช่องทางเลี่ยงกันจนได้ การเมืองที่ผ่านมาจึงเห็นได้ชัดว่า รัฐบาลที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ใช้เงินคุมลูกพรรคให้เชื่องได้ยิ่งกว่ารัฐบาลเผด็จการทหารเสียอีก คำว่า “ประชาธิปไตย” จึงเป็นแค่เครื่องสำอางแต่งหน้าเท่านั้น
ความสำคัญของเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การตื่นตัวของประชาชน ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและประเทศชาติ รังเกียจการขายเสียง และต่อต้านการคอรัปชั่นทุกรูปแบบ ซึ่งนับเป็นปัญหาสำคัญที่สุดของการเมืองไทย โดยยึดตามพระราชดำรัสที่ว่า
“...ส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”