ฝิ่น เป็นยาเสพติดขนานดั้งเดิมของโลก เคยมีอิทธิฤทธิ์มหาศาล และเคยเป็นสาเหตุให้เกิดสงครามระหว่างจีนกับอังกฤษที่เรียกว่า “สงครามฝิ่น” เพราะฝ่ายหนึ่งต้องการจะเอาฝิ่นเข้าไปขายเพื่อความมั่งคั่งของตัวเอง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้เอายาเสพติดเข้าไปมอมเมาประชาชนของตน จึงต้องทำสงครามกัน ฝ่ายคนขายชนะ คนแพ้จึงต้องยอมซื้อฝิ่นไปสูบ
ไหนว่าธรรมะย่อมชนะอธรรม!
ไหนว่าเจริญกว่าด้วยอารยะธรรม!
ฝิ่นเป็นพืชพื้นเมืองแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน คนเอเซียตะวันตกเป็นพวกแรกที่รู้คุณสมบัติของฝิ่น นำยางดิบมาใช้บำบัดอาการเจ็บปวดและนอนไม่หลับกระสับกระส่ายเป็นทุกข์ เมื่อกินฝิ่นเข้าไปก็หลับสบาย จิตใจแจ่มใสปลอดโปร่ง จึงเกิดความนิยมฝิ่นขึ้น และแพร่กระจายไปสู่อียิปต์ เปอร์เซีย อินเดีย จนถึงจีน
แต่โทษของฝิ่นนั้นกลับมีมหาศาล เป็นยาเสพติดที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ผอมเหลืองซีดลงทุกที และเมื่อขาดฝิ่นก็จะเกิดอาการทุรนทุรายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง คนที่ติดฝิ่นหนักเมื่อขาดฝิ่นจะถึงขั้นมีเลือดออกมากับอุจาระ ที่เรียกว่า “ลงแดง” อาการนี้ถ้าไม่บำบัดด้วยฝิ่นก็ถึงตาย
ฝิ่นแพร่เข้ามาถึงเมืองไทยเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ก็เชื่อได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้ว เพราะตอนสถาปนากรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองตรากฎหมายลักษณะโจรเมื่อ พ.ศ.๑๙๐๓ ได้กล่าวถึงฝิ่นแล้ว มีข้อความว่า
“ผู้สูบฝิ่น กินฝิ่น ขายฝิ่นนั้น ให้ลงพระราชอาญาหนักหนา ริบราชบาตรให้สิ้นเชิง ทะเวนบก ๓ วัน ทะเวนเรือ ๓ วัน ให้จำใส่คุกไว้จนกว่าจะอดได้ ถ้าอดได้แล้วให้เรียกเอาทานบนแก่มัน ญาติพี่น้องไว้แล้ว จึงให้ปล่อยผู้สูบ ขาย กินฝิ่นออกจากโทษ”
แต่ตลอดเวลาที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ถึง ๔๑๗ ปี ก็ไม่สามารถปราบฝิ่นได้ มาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่า ไม่แต่ชาวจีนที่ขนฝิ่นเข้ามาสูบมาขายกันเอง ยังแพร่มาถึงข้าราชการและคนไทยด้วย จึงทรงมีประกาศห้ามปรามผู้ที่ขายฝิ่น สูบฝิ่น และกินฝิ่นอีกครั้ง แต่ก็ยังมีผู้ไม่เกรงกลัวพระราชอาญา เพราะกำหนดโทษไว้เบา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงออกพระราชกำหนดโทษใหม่ให้หนักขึ้น คือ
“...ห้ามอย่าให้ผู้ใดสูบฝิ่น กินฝิ่น ซื้อฝิ่น ขายฝิ่น และเป็นผู้สมซื้อสมขายเป็นอันขาดทีเดียว ถ้ามิฟังจับได้และมีผู้ฟ้องร้องพิจารณาเป็นสัจ ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๓ ยก ทะเวนบก ๓ วัน ทะเวนเรือ ๓ วัน ริบราชบาตร บุตรภรรยา และทรัพย์สิ่งของให้สิ้นเชิง ให้ส่งตัวไปตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้ที่รู้เห็นเป็นใจมิเอาความมาว่ากล่าว จะให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๖๐ ที...”
ถึงกระนั้นก็ยังหยุดฝิ่นไม่อยู่
มาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝิ่นยิ่งระบาดหนัก เพราะอังกฤษขนฝิ่นจากอินเดียมาถล่มเข้าจีนหลังสงครามฝิ่น ช่วงนั้นไทยมีการค้าขายทางสำเภากับจีนมาก คนจีนจึงขนฝิ่นเข้ามาด้วย แม้แต่พ่อค้าอังกฤษที่เข้ามาเปิดห้างในบางกอก ก็ลักลอบขนฝิ่นเข้ามาขาย
พ่อค้าจีนแอบเอาฝิ่นซุกซ่อนมากับสินค้า แล้วลักลอบขนขึ้นตามหัวเมืองชายทะเลรอบๆกรุงเทพฯ เช่น ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร ก่อนลำเลียงเข้ามากรุงเทพฯ ทั้งยังตั้งแก๊งอั้งยี่ต่อต้านการปราบปรามของทางราชการ จนต้องใช้ทหารปราบถึงขั้นนองเลือด เช่นการปราบปรามอั้งยี่ที่ฉะเชิงเทราในปี ๒๓๘๗
ส่วนอังกฤษที่ส่งสายลับเข้ามาเป็นพ่อค้าบังหน้า เปิด “ห้างมอร์แกนและฮันเตอร์” เป็นห้างแรกของชาวยุโรปในกรุงเทพฯ ก็แอบค้าฝิ่นเช่นกัน
ในการปราบฝิ่นของรัฐกาลที่ ๓ นั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงจ้างโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ บาทหลวงชาวอเมริกัน พิมพ์พระราชโองการห้ามสูบฝิ่นออกแจกจ่ายไปทั่วราชอาณาจักร เป็นจำนวน ๙,๐๐๐ แผ่น ซึ่งนับเป็นเอกสารทางราชการฉบับแรกของไทยที่ใช้พิมพ์
จากนั้นโปรดให้ จมื่นราชามาตย์ จมื่นรักษพิมานหลวง นายเสน่ห์รักษา ลงไปปราบฝิ่นภาคใต้ ตั้งแต่เมืองปราณลงไปจนถึงเมืองถลาง เมืองภูเก็ต ยึดฝิ่นดิบมาได้ ๓,๗๐๐ หาบเศษ ฝิ่นสุก ๒ หาบเศษ โปรดให้เผาฝิ่นของกลางนี้ที่หน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พร้อมทั้งทำพิธีอาราธนาเทวดา สาปแช่งผู้ขาย ผู้สูบ ผู้กินฝิ่นด้วย ดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า
“...ขอเชิญเทพเจ้าทั้งปวงแต่บรรดาซึ่งได้รับเครื่องพลีกรรมและทานาทิผลานิสงฆ์ซึ่งพระราชอุทิศให้ จงเข้าดลจิตชักนำผู้กระทำผิดไปสู่ที่อื่น อย่าให้ฝ่าฝืนพระราชอาณาจักรล่วงเขตแดนเข้ามาได้ ขอเทพยดาเจ้าจงช่วยบันดาลให้เกิดการวิบัติต่างๆในทางน้ำทางบก บุคคลผู้ใดอาจสามารถจะเอาฝิ่นซ่อนหนีบเข้ามาได้ด้วยอุบายถ่ายเทประการใดก็ดี ขอเทพยดาเจ้าเข้าดลจิตให้มีผู้ส่อเสียดจับกุมตัวบุคคลผู้นั้นให้จงได้ ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัยและสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ดังข้าพระพุทธเจ้าพรรณามานี้เถิด”
พระราชพิธีนี้นับเป็นการเผาฝิ่นและเผากล้องสูบฝิ่นครั้งแรกของประเทศไทย ก่อนที่จะมีการเผาใหญ่อีกครั้งในรัชกาลปัจจุบันสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการปิดฉากฝิ่นถูกกฎหมายในประเทศไทย
การปราบปรามฝิ่นในสมัยรัชกาลที่ ๓ ครั้งนั้น มีเจ้าเมืองหัวเมืองชายทะเลบางเมือง จับพ่อค้าฝิ่นมารีดเงินแล้วปล่อยให้ขายต่อ จนร่ำรวยก็จับมารีดอีก เลยโดนพระราชอาญาไปหลายราย
ส่วนกลักฝิ่นที่ทำจากตะกั่ว ซึ่งยึดมาได้จากการกวาดล้างฝิ่นในภาคใต้ครั้งนั้น โปรดเกล้าฯให้นำมาหลอมทำเป็นพระพุทธรูปได้องค์หนึ่ง มีหน้าตักกว้าง ๑ ศอก ๑ คืบ ๑ นิ้ว นำไปประดิษฐานไว้ในศาลาการเปรียญวัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้ถวายพระนามพระพุทธรูปกลักฝิ่นนี้ว่า “พระพุทธเสฏฐมุนี”
ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้ อังกฤษได้ส่ง เซอร์เจมส์ บรู๊ค เป็นทูตการค้าเข้ามาขอเจรจาลดภาษีขาเข้าและเปิดตลาดการค้าฝิ่นอย่างถูกกฎหมายในเมืองไทย แต่ได้รับการปฏิเสธจากรัชกาลที่ ๓ ทำให้อังกฤษไม่พอใจ จะเอาเรือรบเข้ามาบังคับ เผอิญเปลี่ยนรัชกาลเสียก่อน มิฉะนั้นไทยอาจจะมีสงครามฝิ่นแบบจีนก็ได้
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักว่าไม่อาจขัดขวางการเรียกร้องของอังกฤษได้ จึงมีพระราชสาส์นตอบรับข้อเรียกร้องทางภาษีของเซอร์เจมส์ บรู๊คทุกข้อ ส่วนเรื่องฝิ่นทรงเห็นว่าไม่อาจขัดขวางได้เช่นกัน เพราะเป็นผลประโยชน์มหาศาลของอังกฤษ จึงทรงมีเงื่อนไขว่าขอให้ขายกับรัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลจะเอาไปจำหน่ายต่อเอง เพื่อควบคุมได้
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในนิทานโบราณคดีว่า
“การจับฝิ่นเมื่อรัชกาลที่ ๓ แม้จับกุมอย่างกวดขันมาหลายปี ฝิ่นก็ยังเข้ามาได้เสมอ คนสูบฝิ่นก็ยังมีมากไม่หมดไป ซ้ำเป็นเหตุให้เกิดอั้งยี่ถึงต้องรบพุ่งฆ่ากันก็หลายครั้ง จะใช้วิธีจับฝิ่นอย่างนั้นต่อไปเห็นจะไม่เป็นประโยชน์อันใด จึงเปลี่ยนนโยบายเป็นตั้งภาษีฝิ่นผูกขาด คือเฉพาะแต่รัฐบาลซื้อฝิ่นเข้ามาต้มขายเอากำไร ให้จีนซื้อฝิ่นสูบได้ตามใจชอบ ห้ามแต่คนไทยมิให้สูบ”
พอเปิดช่องเช่นนี้ จึงมีคุณหลวงท่านขุนหลายคนพากันยื่นเสนอขอสัมปทานเป็นผู้ซื้อขายฝิ่น โดยเสนอภาษีเข้าหลวงปีละ ๒,๐๐๐ ชั่ง หรือ ๑๖๐,๐๐๐ บาท ถ้าครบปีมีกำไรก็จะนำภาษีทูลเกล้าฯ ถวายอีก ปรากฏว่าเก็บภาษีฝิ่นเข้าหลวงได้ถึงปีละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่มากมายมโหฬารในยุคนั้น
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ฝิ่นเถื่อนเกิดระบาดหนักและมีราคาถูกกว่าฝิ่นถูกกฎหมาย เจ้าภาษีฝิ่นที่ผูกขาดกับรัฐบาลจึงขาดทุนกันเป็นแถว ขอเลิกการผูกขาดไป รัฐบาลจึงต้องรวบรวมการค้าฝิ่นมาทำเสียเองตั้งแต่วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๔๑๔ เป็นต้นมา
นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยเป็นผู้ซื้อฝิ่น เคี่ยวฝิ่น และขายฝิ่นเสียเอง
แต่อย่างไรก็ตาม การสูบฝิ่นอนุญาตให้เฉพาะคนจีนเท่านั้น เพราะคนจีนติดฝิ่นมาจากเมืองจีน ส่วนคนไทย ญวน ลาว เขมร และชาวต่างชาติอื่นๆในประเทศไทยห้ามสูบฝิ่นเด็ดขาด โดยกำหนดโทษที่ฝ่าฝืนมีทั้งปรับและจำ
ในปี ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดให้ตราพระราชบัญญัติฝิ่นเพิ่มเติมขึ้นอีก ให้บางเมืองตั้งเจ้าภาษีผูกขาดฝิ่นได้ บางเมืองก็ให้เคี่ยวฝิ่นได้เอง แต่บางเมืองต้องรับฝิ่นสุกไปจากกรุงเทพฯ และเพิ่มโทษผู้ลักลอบค้าฝิ่นหนักขึ้นกว่าเดิม บรรดาผู้ค้าฝิ่นหัวใสจึงคิดแปรรูปฝิ่นมาในรูปแบบใหม่ ผสมสมุนไพรบางอย่างเข้ากับฝิ่น แล้วเรียกว่า “ยาอี๋” ครั้นทางราชการจับได้ว่า ยาอี๋นั้นที่แท้ก็คือฝิ่นแปลงโฉมนั่นเอง จึงได้ออกประกาศเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๔๔ ว่า
“ทุกวันนี้มีผู้นำยาเม็ดผสมฝิ่นต่างๆ ซึ่งเรียกกันว่า “ยาอี๋” เข้ามาจำหน่ายในพระราชอาณาเขตสยามเป็นอันมาก ผู้บรรทุกเข้ามายื่นต่อกรมศุลกากรว่าเป็นยาบำบัดโรคต่างๆ ครั้นเมื่อได้เอายาเหล่านี้ให้แพทย์และผู้ชำนาญตรวจสอบแยกธาตุดู แพทย์และผู้ชำนาญเหล่านั้นได้ยื่นรายงานว่า ยาอี๋เหล่านี้ได้ปนฝิ่นอยู่ด้วยเป็นอันมาก ซึ่งอาจจะทำอันตรายแก่ชีวิตของผู้อื่นซึ่งไม่ใช่คนเคยสูบฝิ่นบริโภคยานี้ได้ และเนื้อฝิ่นนั้นก็คลุกปนกับสิ่งของอื่นๆ ซึ่งเป็นฝิ่นไม่บริสุทธิ์สมควรจะใช้เป็นยาเพื่อบำบัดโรค และยาอี๋นี้ที่ซื้อขายกันอยู่ ก็ขายให้แก่ผู้สูบฝิ่นซื้อบริโภคแทนสูบฝิ่นอย่างเดียว เพราะราคาถูกด้วย ฝิ่นที่ปนอยู่ในยานั้นมิเสียภาษีตามอัตราเหมือนอย่างฝิ่นอื่นๆ
เพราะฉะนั้น จึงพระราชดำริเห็นว่าผู้ซึ่งบรรทุกยาอี๋เหล่านี้เข้ามาจำหน่าย มีประสงค์อย่างเดียวที่จะขายฝิ่นเถื่อนโดยอุบายในพระราชอาณาจักร”
นอกจากนี้ยังเพิ่มโทษผู้ค้า ผู้สูบฝิ่น ตามอัตราฝิ่นในครอบครอง โดยปรับเป็น ๓ เท่าของราคาฝิ่น และจำคุกตั้งแต่ ๘ วันจนถึง ๓ ปี ซึ่งโทษเก่าจำคุกสูงสุดแค่ ๑ ปีเท่านั้น
ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับฝิ่นใหม่ ให้เป็นไปตามอนุสัญญาสันนิบาติชาติที่กรุงเฮกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๗ โดยยกเลิกกฎหมายเก่าทั้งหมด
ตามกฎหมายใหม่ที่ประกาศใช้ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๖๔ อนุญาตให้มีการตั้งโรงยาฝิ่นและสูบฝิ่นได้ โดยจะต้องสูบแต่ในโรงฝิ่นเท่านั้น ห้ามนำออกไปภายนอก แม้แต่หลอดฝิ่นหรือมูลฝิ่นที่ติดอยู่ในกล้อง ก็ต้องคืนให้เจ้าของโรงยาฝิ่น ส่วนเจ้าของโรงฝิ่นก็ไม่สามารถนำฝิ่นไปขายข้างนอก หรือขายให้เอาไปสูบข้างนอกได้ อีกทั้งฝิ่นที่ถ่ายออกมาจากภาชนะที่รัฐบาลบรรจุขาย ไปใส่ในภาชนะอื่น ให้ถือว่าเป็นฝิ่นเถื่อนทันที
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ธุรกิจการค้าฝิ่นในเมืองไทยเกิดพลิกโฉม จากเป็นผู้นำเข้าฝิ่น กลับเปลี่ยนเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ มีการลำเลียงฝิ่นจากภาคเหนือสู่ชายทะเลไทยอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ต่อมาในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้อาศัยอำนาจคณะปฏิวัติออกประกาศในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๐๑ ให้ผู้สูบฝิ่นไปขึ้นทะเบียนขออนุญาตเสพย์ต่อได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม และจากวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๒ เป็นต้นไป การสูบฝิ่นจะเป็นการผิดกฎหมาย นอกจากผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ โดยให้ผู้ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรือขึ้นทะเบียนไว้ก็ตาม ขอเข้ารับการบำบัดได้จากสถานพยาบาลและสถานพักฟื้นที่กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขตั้งขึ้น ซึ่งสถานบำบัดนี้จะมีระยะเวลาเพียง ๓๐ วันเท่านั้น
จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๒ จึงให้เลิกโรงยาฝิ่นโดยเด็ดขาด
ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๒ จึงถือว่าเป็นวันที่ฝิ่นหมดไปจากประเทศไทย ไม่ว่าใครสูบฝิ่นจะมีความผิดตามกฎหมาย และเมื่อพ้นโทษแล้วจะต้องเข้าสถานบำบัดอีกตามระยะเวลาที่เห็นสมควร ซึ่งไม่เกิน ๙๐ วัน
ฉะนั้นในคืนวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๒ ก่อนจะถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ซึ่งเป็นเส้นตายให้เลิกโรงยาฝิ่นทั้งหมด มีประชาชนไปรอดูกันแน่นตามหน้าโรงยาฝิ่นทั้ง ๙๐ โรงในกรุงเทพฯ ซึ่งจะถูกปิดกิจการ มีการขนอุปกรณ์ทั้งหมดไปที่สนามหลวง จอมพลสฤษดิ์ก็ออกตระเวนดูตามหน้าโรงยาฝิ่นต่างๆด้วย
ก่อน ๑ นาฬิกาของวันที่ ๑ กรกฎาคม อุปกรณ์ของโรงยาฝิ่นทั่วกรุงเทพฯ ถูกขนมากองที่สนามหลวงเป็นภูเขาเลากา แล้วจุดไฟเผาโดยตำรวจดับเพลิง เป็นการปิดฉากฝิ่นถูกกฎหมายในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็ได้เห็นฤทธิ์เดชของฝิ่น เด็กส่งกาแฟตามโรงยาฝิ่นหรือคนที่ต้องเข้าออกโรงยาฝิ่นเป็นประจำ แม้ไม่เคยสูบฝิ่น ต่างก็เกิดอาการของคนติดฝิ่นไปด้วย ส่วนจิ้งจก ตุ๊กแกในโรงยาฝิ่น ต่างลงแดงตกลงมาตายกันเกลื่อน
การเลิกสูบฝิ่นในประเทศไทย กลับทำให้ธุรกิจการค้าฝิ่นใต้ดินคึกคักยิ่งขึ้น เพราะมีสินค้าเหลือมากสำหรับการส่งออก มีการสกัดเป็นมอร์ฟีนส่งไปขายฮ่องกงและยุโรป ซึ่งแปรรูปเป็นเฮโรอินต่อ ตอนนั้นโรงกลั่นเฮโรอินรอบชายแดนประเทศไทยยังไม่มีความสามารถที่จะกลั่นเฮโรอินเบอร์ ๔ สีขาวบริสุทธิ์ ๙๐-๙๙ เปอร์เซ็นต์ได้ คงกลั่นได้แต่เฮโรอินเบอร์ ๓ สีม่วง มีความบริสุทธิ์เพียง ๓-๖ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
เมื่อสงครามเวียดนามเกิดขึ้น อเมริกาส่งทหารเข้าสู่สมรภูมิเป็นแสน ทหารอเมริกันเหล่านี้กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเฮโรอินจากฮ่องกงและยุโรป จนกระทั่งในปี ๒๕๑๒ โรงกลั่นย่านชายแดนไทย พม่า และลาว ได้ซื้อตัวผู้เชี่ยวชาญมาจากฮ่องกง กลั่นเฮโรอินเกรดสูงเข้าสู่ตลาดในเวียดนาม ทั้งยังส่งไปตีตลาดในอเมริกาและยุโรป
ในต้นปี ๒๕๑๓ กองบัญชาการทหารสหรัฐในไซ่ง่อน เริ่มได้รับรายงานว่ามีทหารอเมริกันติดเฮโรอินกันมาก ถึงขั้นสามารถหาซื้อเฮโรอินในหน่วยทหารอเมริกันที่เวียดนามได้ทุกหน่วย
ต่อมาก็พบว่า ศพทหารอเมริกันที่ส่งกลับบ้าน มีเฮโรอินซุกอยู่ในศพ บางรายก็ผ่าท้องศพซุกเฮโรอินไว้ภายใน หน่วยปราบยาเสพติดของสหรัฐเริ่มสงสัยว่าฝิ่นซึ่งเป็นวัตถุดิบผลิตเฮโรอินเหล่านี้มาจากไหน ในเมื่อแหล่งปลูกฝิ่นใหญ่ที่สุดของโลก คือที่ราบสูงอนาโตเลียในตุรกี ถูกทำลายลงเกือบหมดแล้ว โดยสหรัฐเอาฝ้ายพันธุ์ที่ใช้ทำผ้ายีนส์ไปส่งเสริมให้ปลูกแทน
ต่อมาก็พบว่า เฮโรอินที่เข้าอเมริกาและยุโรปนั้น ล้วนแต่มาจากเอเซียอาคเนย์ จึงระดมออกหาข้อมูล และพบว่ามีโรงกลั่นเฮโรอินอยู่ตามชายแดนไทย ทั้งด้านพม่าและลาว หนึ่งในจำนวนนั้นอยู่ในฐานปฏิบัติการของ ซี.ไอ.เอ.ที่ล่องแจ้งในลาว ในความควบคุมของกองบัญชาการกองทัพลับของนายพลแม้ววังเปา และวัตถุดิบก็มาจากเทือกเขาในย่านนี้ ซึ่งครอบคลุมภาคเหนือของพม่า ภาคเหนือของไทย และถิ่นที่อยู่ของชาวแม้วในภาคเหนือของลาว มีอาณาบริเวณกว้างขวางถึง ๓๘๔.๐๐๐ ตารางกิโลเมตร เมื่อขีดเส้นรอบวงแหล่งปลูกฝิ่นแห่งใหม่นี้ จะปรากฏเป็นรูปสามเหลี่ยม โลกจึงให้ฉายาบริเวณนี้ว่า “สามเหลี่ยมทองคำ” (Golden Triangle)
การปราบปรามจึงหันมาทุ่มเทสู่บริเวณนี้ ประกอบกับทหารอเมริกันได้ถอนตัวออกจากเวียดนามใต้ในปี ๒๕๑๕ และขบวนการปเทดลาวได้เข้ายึดครองลาว โรงกลั่นในลาวจึงต้องปิดตัวลง
ส่วนทางภาคเหนือของไทย โครงการหลวงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้นำพืชเมืองหนาวมาส่งเสริมให้ชาวเขาที่เคยปลูกฝิ่นปลูก ทำให้มีรายได้มากกว่าการปลูกฝิ่นเสียอีก จึงทำให้การปลูกฝิ่นลดลงมาก ดอกฝิ่นจึงบานสะพรั่งแต่ในถิ่นทุรกันดาร หรือบนเทือกเขาสูงในพม่า
การปราบปรามการค้าฝิ่นอย่างหนักในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ทำให้ราชาเฮโรอีนหลายรายถูกจับ แม้แต่“ขุนส่า”หรือ จางซีฟู ผู้โด่งดังที่สุดในธุรกิจนี้ หลังจากถูกถล่มกองบัญชาการที่บ้านหินแตกในเขตไทย ถอยร่นไปอยู่ที่เมืองหมอกใหม่ในเขตพม่า ก็ต้องยอมยุติบทบาท และไปจบชีวิตที่ร่างกุ้ง แต่ทว่ากลับเกิดยาเสพติดพันธุ์ใหม่เข้าแทนที่ และมีเป้าหมายที่จะถล่มเข้าไทยที่เศรษฐกิจดีที่สุดในย่านนี้ อย่างเช่นยาบ้าและยาอี ซึ่งผลิตง่ายกว่าเฮโรอินมาก แม้แต่ในรถขณะเคลื่อนที่ก็เคยถูกจับกำลังผลิตยาบ้ามาแล้ว ปริมาณการจับยาบ้าจึงเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเป็นล้านๆเม็ด
แม้ทุกวันนี้ยาเสพติดจะหันจากฝิ่นไปใช้สารเคมีเป็นวัตถุดิบกันมาก ทำให้ฝิ่นดูจะหมดบทบาทไป คงมีใช้เฉพาะในทางการแพทย์เป็นมอร์ฟีนบำบัดอาการปวดอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย แต่บนเทือกเขาที่ห่างไกลและไม่ได้รับการเหลียวแล ชาวเขาไม่ได้รับการส่งเสริมชี้แนะให้ทำการเกษตรที่ถูกต้อง ฝิ่นก็ยังเป็นพืชไร่ที่ทำเงินให้ดีที่สุดสำหรับผู้ยากไร้เหล่านั้น ฝิ่นจึงพร้อมที่จะกลับมาได้เสมอเมื่อโลกมีความต้องการ