เปิดจิตอาสา เปิดใจอันสวย นิสิตทันตแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับกิจกรรมค่ายทันตอาสาพัฒนาชนบท เน้นถึงความสำคัญของการออกค่าย ปลูกจิตสำนึกแห่งการให้และช่วยเหลือแบ่งปัน เพื่อเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคม

ค่ายอาสา ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะทุกมหาวิทยาลัยก็คงจะมีชมรมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมนี้ เช่นเดียวกับคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ตั้งชมรมค่ายมานานหลายสิบปี กระทั่งทุกวันนี้ก็ส่งนิสิตในคณะรุ่นแล้วรุ่นเล่าออกไปใช้จ่ายวันเวลาที่หยุดพักจากการเรียน ช่วยเหลือสังคมตามความถนัดของตนเอง
และใน พ.ศ.นี้ นิสิตทุกชั้นปี กว่า 100 ชีวิต ก็ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยมุ่งหวังจะสรรค์สร้างสิ่งที่ดีตามเจตนารมณ์ของชมรมค่าย...


“ค่ายสร้างคน คนสร้างชาติ”
“เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังการมีจิตอาสาให้กับนิสิตทันตแพทย์ ซึ่งจิตอาสาดังกล่าวคือการเรียนรู้ในการร่วมมือร่วมใจทำประโยชน์แก่ส่วนรวม การให้และเสียสละโดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทน”
นทพ.ปณัฏฐธนี ประเสริฐพันธุ์ นิสิตคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งรับหน้าที่ประธานค่ายทันตอาสาพัฒนาชนบท ประจำปีการศึกษา 2558 บอกเล่ากล่าวถึงเจตนาแห่งค่ายอาสาซึ่งจัดมาหลายสิบปีและมีการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
“ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เราได้มีโอกาสไปเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วยค่ะ ฝึกการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างรู้คุณค่า นอกจากนี้กิจกรรมของค่ายนี้ยังมีการให้ความรู้และสร้างทัศนคติด้านการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีและถูกต้องให้แก่ชาวบ้านอีกด้วย”
โดยในปีนี้ ทีมค่ายอาสาของทันตะจุฬาฯ ได้ไปออกค่ายที่โรงเรียนบ้านซ่าเลือด ต.กงรถ อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา
“สำหรับการจัดค่ายในครั้งนี้ มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ที่มาค่าย และชุมชน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่มาค่ายจะต้องได้กลับไปก็คือ การมีจิตอาสา มีความคิดที่จะทำเพื่อส่วนรวมและสังคม ซึ่งเราจะมีการออกหน่วยทันตกรรม เพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนได้ตรวจสุขภาพช่องปาก และให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง อันเป็นการเสริมส่งเรื่องจิตอาสาด้วยส่วนหนึ่ง
“ในส่วนของชุมชน การมาออกค่ายในครั้งนี้หวังให้เกิดการพัฒนาในหลายส่วนได้แก่ การศึกษาของเด็กภายในชุมชน และส่งเสริมการมีสุขภาพช่องปากที่ดีของชาวบ้าน ในส่วนของการส่งเสริมการศึกษาของนักเรียนภายในชุมชนนั้น จะถ่ายทอดผ่านกิจกรรมภายในค่าย โดยเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กในชุมชนได้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต


“สำหรับการออกค่ายในครั้งนี้ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก”
ว่าที่ทันตแพทย์หญิง บอกเล่าด้วยรอยยิ้ม
“การทำงานต่างๆ ในส่วนของการปรับปรุงโรงเรียนสำเร็จในทุกงาน สำหรับการพัฒนาจิตใจของชาวค่ายให้มีจิตอาสาถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะชาวค่ายทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ทำให้งานทุกอย่างภายในค่ายเสร็จสมบูรณ์ และในส่วนของชุมชนนั้น พวกเราได้รับสิ่งตอบแทนจากชาวบ้านมากกว่าที่พวกเราให้ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ เนื่องด้วยความจริงใจและความรักจากชาวบ้านที่มีให้อย่างเปี่ยมล้น ก่อให้เกิดความสุขขึ้นภายในจิตใจของพวกเรา”
แน่นอนว่า การได้ออกไปอยู่ในชนบท แม้เป็นระยะเวลาไม่นานนัก ก็มีส่วนทำให้พวกเขาได้รู้จักกับความเป็นไปในชนบทไทย ทั้งในเชิงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนวัฒนธรรม ความคิดและจิตใจ
“การได้สัมผัสชีวิตชนบท ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตชนบท และชีวิตเมืองกรุง เนื่องจากชีวิตในชนบทเป็นชีวิตที่เรียบง่าย อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน แบบญาติพี่น้อง รู้จักกันหมดทั้งชุมชน ช่วยเหลือแบ่งปันซึ่งกันและกัน ทุกคนมีน้ำใจให้แก่กัน เมื่อมีงาน ชาวบ้านก็จะรวมตัวกันไปช่วยเหลือกันอย่างขยันขันแข็ง และในแต่ละพื้นที่ก็จะมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็เป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่งที่พบได้ในชีวิตชนบทค่ะ”
นทพ.ปณัฏฐธนี กล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านซ่าเลือด “ณัฐพงศ์ ฝอดสูงเนิน” กล่าวเสริมในมุมจิตอาสา
“จากประสบการณ์ของผมเองที่อยู่ค่ายอาสามา ทั้งตอนที่เป็นนักศึกษาและเป็นครู ก็ได้แนะนำลูกศิษย์ลูกหาเหมือนกันว่า ให้ลองเข้าค่ายอาสา แต่พูดสั้นๆ ว่า ค่ายอาสามันสร้างคน แล้วคนตรงนี้แหละที่จะไปสร้างชาติให้พัฒนา เพราะคนที่มาออกค่ายอาสา ก็มาจากการที่เขาเกิดความรักและศรัทธา และเขาก็ตอบได้เลยว่าค่ายให้อะไรกับเขา สรุปแล้วก็คือ ค่ายอาสาสร้างคน แล้วคนก็จะไปสร้างชาติสร้างสังคมที่ดีต่อไปครับ”


งานค่าย
งานคน
“เราไปทำอะไรบ้างในแต่ละครั้งที่ออกค่าย” เราโยนคำถามให้นิสิตจิตอาสาเป็นผู้ตอบ
“การออกค่ายอาสาจะมีการทำงานหลักๆ อยู่ 4 ส่วนค่ะ ประกอบไปด้วย หนึ่ง กิจกรรมที่เกี่ยวกับเด็ก เป็นกิจกรรมที่มุ่งหวังให้เด็กนักเรียนได้รับแรงบันดาลใจในการเรียน กิจกรรมที่ให้เด็กได้เรียนรู้การแปรงฟันเพื่อให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี และยังมีกิจกรรมที่สานสัมพันธ์กับเด็ก เช่น การทำขนม สอนน้องร้องเพลงภาษาอังกฤษ และประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ
“สอง กิจกรรมที่เกี่ยวกับโรงเรียน จะเป็นการปรับปรุงและซ่อมแซมในส่วนที่โรงเรียนต้องการ โดยโรงเรียนบ้านซ่าเลือดซึ่งเป็นโรงเรียนที่พวกเราไปออกค่ายในปีนี้ มีการสร้างอาคารอนุบาลหลังใหม่ขึ้นมาซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พวกเราจึงไปทาสีทั้งในและนอกอาคาร เทปูนหน้าโรงเรียน และปูกระเบื้องภายในอาคาร เพื่อให้อาคารอนุบาลหลังนี้สามารถใช้งานได้ อีกทั้งยังมีการทาสีรั้วล้อยางสนามเด็กเล่น และทาสีที่ถนนเพื่อให้ความรู้แก่เด็ก นอกจากนี้ยังมีการทำบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และสุขภาพช่องปาก ติดไว้ที่บอร์ดหน้าห้องเรียนด้วย”
และในฐานะของนักศึกษาด้านทันตแพทย์ อีกหนึ่งภารกิจก็คือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับสุขภาพ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกันสุขภาพช่องปากโดยแบ่งเป็น 2 กิจกรรมคือ ศาลาสุขภาพ และการออกหน่วยทันตกรรม
“ศาลาสุขภาพจะเป็นการให้ความรู้ทางด้านสุขภาพ ได้แก่สุขภาพโดยรวมทั้งร่างกาย และสุขภาพช่องปาก โดยให้ความรู้ผ่านการเล่นเกมที่สนุกสนาน และยังมีการพุดคุยกับชาวบ้านที่ดูแลสุขภาพตนเองได้เป็นอย่างดีเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับชาวบ้านในชุมชน ในส่วนของการออกหน่วยทันตกรรม จะเป็นการตรวจสุขภาพช่องปาก และให้คำแนะนำในการรักษาสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง กิจกรรมนี้ นอกจากจะส่งเสริมสุขภาพช่องปากของชาวบ้านแล้ว ยังได้ประโยชน์กับนิสิตปี 1 โดยเป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียน เนื่องจากได้สัมผัสการทำงานของทันตแพทย์ ทำให้ได้รู้ว่าการทำงานของทันตแพทย์เป็นอย่างไร
“และกิจกรรมที่ 4 จะเกี่ยวกับชุมชน ชาวค่ายจะไปเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนโดยการไปค้างบ้านชาวบ้าน ฝากตัวเป็นลูกกับชาวบ้าน โดยพวกเราจะเรียกว่าพ่อๆ แม่ๆ ชาวค่ายจะไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ช่วยงานพ่อๆ แม่ๆ เพื่อให้รู้ว่าการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างไร และยังมีกีฬาเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านและชาวค่ายอีกด้วย”



ค่ายทันตอาสาพัฒนาชนบทในครั้งนี้จะสำเสร็จลุล่วงไปไม่ได้ ถ้าขาดความร่วมมือร่วมใจจากคณะทำงานที่ร่วมกันคิดวางแผนและทำงานอย่างแข็งขัน รวมถึงชาวค่ายที่ตั้งใจมาเข้าร่วมกิจกรรมทำให้ประสบผลสำเร็จไปด้วยดี และอีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญไม่แพ้กันในการออกค่ายอาสาแต่ละครั้ง คือความร่วมมือของชุมชน เพราะหากมีสิ่งนี้ ภารกิจทั้งหมดก็จะเป็นเช่นที่หวังตั้งใจ
“การออกค่ายอาสาเป็นค่ายที่ต้องได้รับความร่วมมือจากชุมชนมาก เนื่องจากต้องประสานงานในหลายๆ ส่วน อย่างชุมชนบ้านซ่าเลือดที่นี่ ก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งทางโรงเรียนและชุมชนที่ช่วยประสานงานและช่วยเหลือกิจกรรมภายในค่ายในทุกๆ ด้าน อีกทั้งชาวบ้านยังเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้น ทำให้กิจกรรมดำเนินจนประสบผลสำเร็จ”
เจตนารมณ์คงเดิม
เพิ่มเติม คือประสบการณ์
สำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งเคยผ่านสถาบันการศึกษา อย่างน้อยที่สุดน่าจะเคยพบเห็น หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสามาด้วยตนเอง และสิ่งนี้ก็คล้ายสายธารที่ไม่มีวันขาดสาย ส่งผ่านจากรุ่นหนึ่งไปยังน้องๆ รุ่นต่อไป



O เราอยากบอกน้องๆ รุ่นต่อไปในสถาบันการศึกษาว่าอย่างไรบ้างเกี่ยวกับความดีความงาม หรือแม้แต่ความสนุกของการออกค่ายอาสา
ค่ายอาสาเป็นค่ายที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ผู้ที่ได้ไปค่ายอาสาจะชอบและไปเป็นประจำทุกปี และได้รับความสุขกลับมาในทุกๆ ครั้ง อย่างหนึ่งก็คือการได้ไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัดที่ต่างจากเมืองกรุงโดยสิ้นเชิง เรียนรู้การอยู่ร่วมกันระหว่างชาวค่ายทำให้ได้รู้จักเพื่อนพี่และน้องในคณะมากขึ้น ได้ทำหลายอย่างที่ไม่เคยทำ เช่น ผสมปูน ทาสี ปูกระเบื้อง ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตของชาวบ้านในชนบท นอกจากนี้พวกเรายังได้รับความสุข ผ่านความมีน้ำใจ และความจริงใจของชาวบ้าน
ค่ายอาสาเป็นค่ายที่หวังในเรื่องของการพัฒนาจิตใจของชาวค่าย พัฒนาชุมชน และการทำประโยชน์เพื่อสังคม ดังนั้นจึงอยากให้มีการสานต่อแนวคิดดังกล่าวไว้และดำเนินค่ายให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี
O สิ่งที่อาจต้องเตรียมใจไป สำหรับการออกค่ายแต่ละครั้ง
การออกค่ายแต่ละครั้ง สิ่งที่อยากให้เตรียมไปมากที่สุดคือ ความคิดที่พร้อมจะให้ เพราะค่ายอาสาเป็นค่ายที่เกิดขึ้นเพื่อให้ชนบทได้รับการพัฒนามากยิ่งขึ้น ทั้งด้านการศึกษา และด้านสุขภาพ ดังนั้น การให้จึงเป็นแนวคิดที่สำคัญในการดำเนินให้ค่ายเกิดขึ้น และประสบความสำเร็จได้
O สุดท้าย มองในระดับกว้างออกไป คิดว่าการออกค่ายอาสา จะส่งผลดีอย่างไรต่อสังคมในวงกว้าง หรือประเทศชาติ
การออกค่ายอาสาเป็นการพัฒนาชุมชน โดยพวกเราได้ไปเป็นแรงกระตุ้นเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเกิดการพัฒนามากยิ่งขึ้น และยังส่งผลถึงการพัฒนาคนด้วย โดยพัฒนาทั้งตัวนิสิตที่ไปออกค่าย และพัฒนาเด็กนักเรียนในโรงเรียนให้มีแนวคิดในการเรียนหนังสือเพื่อให้มีชีวิตที่ดีในอนาคต ซึ่งการพัฒนาคนจะเป็นการทำให้ประเทศชาติเจริญมากขึ้นด้วยค่ะ









ภาพประกอบ : เฟซบุ๊ก ชมรมค่าย dentcu
ค่ายอาสา ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะทุกมหาวิทยาลัยก็คงจะมีชมรมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมนี้ เช่นเดียวกับคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ตั้งชมรมค่ายมานานหลายสิบปี กระทั่งทุกวันนี้ก็ส่งนิสิตในคณะรุ่นแล้วรุ่นเล่าออกไปใช้จ่ายวันเวลาที่หยุดพักจากการเรียน ช่วยเหลือสังคมตามความถนัดของตนเอง
และใน พ.ศ.นี้ นิสิตทุกชั้นปี กว่า 100 ชีวิต ก็ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยมุ่งหวังจะสรรค์สร้างสิ่งที่ดีตามเจตนารมณ์ของชมรมค่าย...
“ค่ายสร้างคน คนสร้างชาติ”
“เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังการมีจิตอาสาให้กับนิสิตทันตแพทย์ ซึ่งจิตอาสาดังกล่าวคือการเรียนรู้ในการร่วมมือร่วมใจทำประโยชน์แก่ส่วนรวม การให้และเสียสละโดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทน”
นทพ.ปณัฏฐธนี ประเสริฐพันธุ์ นิสิตคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งรับหน้าที่ประธานค่ายทันตอาสาพัฒนาชนบท ประจำปีการศึกษา 2558 บอกเล่ากล่าวถึงเจตนาแห่งค่ายอาสาซึ่งจัดมาหลายสิบปีและมีการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
“ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เราได้มีโอกาสไปเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วยค่ะ ฝึกการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างรู้คุณค่า นอกจากนี้กิจกรรมของค่ายนี้ยังมีการให้ความรู้และสร้างทัศนคติด้านการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีและถูกต้องให้แก่ชาวบ้านอีกด้วย”
โดยในปีนี้ ทีมค่ายอาสาของทันตะจุฬาฯ ได้ไปออกค่ายที่โรงเรียนบ้านซ่าเลือด ต.กงรถ อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา
“สำหรับการจัดค่ายในครั้งนี้ มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ที่มาค่าย และชุมชน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่มาค่ายจะต้องได้กลับไปก็คือ การมีจิตอาสา มีความคิดที่จะทำเพื่อส่วนรวมและสังคม ซึ่งเราจะมีการออกหน่วยทันตกรรม เพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนได้ตรวจสุขภาพช่องปาก และให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง อันเป็นการเสริมส่งเรื่องจิตอาสาด้วยส่วนหนึ่ง
“ในส่วนของชุมชน การมาออกค่ายในครั้งนี้หวังให้เกิดการพัฒนาในหลายส่วนได้แก่ การศึกษาของเด็กภายในชุมชน และส่งเสริมการมีสุขภาพช่องปากที่ดีของชาวบ้าน ในส่วนของการส่งเสริมการศึกษาของนักเรียนภายในชุมชนนั้น จะถ่ายทอดผ่านกิจกรรมภายในค่าย โดยเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กในชุมชนได้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต
“สำหรับการออกค่ายในครั้งนี้ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก”
ว่าที่ทันตแพทย์หญิง บอกเล่าด้วยรอยยิ้ม
“การทำงานต่างๆ ในส่วนของการปรับปรุงโรงเรียนสำเร็จในทุกงาน สำหรับการพัฒนาจิตใจของชาวค่ายให้มีจิตอาสาถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะชาวค่ายทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ทำให้งานทุกอย่างภายในค่ายเสร็จสมบูรณ์ และในส่วนของชุมชนนั้น พวกเราได้รับสิ่งตอบแทนจากชาวบ้านมากกว่าที่พวกเราให้ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ เนื่องด้วยความจริงใจและความรักจากชาวบ้านที่มีให้อย่างเปี่ยมล้น ก่อให้เกิดความสุขขึ้นภายในจิตใจของพวกเรา”
แน่นอนว่า การได้ออกไปอยู่ในชนบท แม้เป็นระยะเวลาไม่นานนัก ก็มีส่วนทำให้พวกเขาได้รู้จักกับความเป็นไปในชนบทไทย ทั้งในเชิงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนวัฒนธรรม ความคิดและจิตใจ
“การได้สัมผัสชีวิตชนบท ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตชนบท และชีวิตเมืองกรุง เนื่องจากชีวิตในชนบทเป็นชีวิตที่เรียบง่าย อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน แบบญาติพี่น้อง รู้จักกันหมดทั้งชุมชน ช่วยเหลือแบ่งปันซึ่งกันและกัน ทุกคนมีน้ำใจให้แก่กัน เมื่อมีงาน ชาวบ้านก็จะรวมตัวกันไปช่วยเหลือกันอย่างขยันขันแข็ง และในแต่ละพื้นที่ก็จะมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็เป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่งที่พบได้ในชีวิตชนบทค่ะ”
นทพ.ปณัฏฐธนี กล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านซ่าเลือด “ณัฐพงศ์ ฝอดสูงเนิน” กล่าวเสริมในมุมจิตอาสา
“จากประสบการณ์ของผมเองที่อยู่ค่ายอาสามา ทั้งตอนที่เป็นนักศึกษาและเป็นครู ก็ได้แนะนำลูกศิษย์ลูกหาเหมือนกันว่า ให้ลองเข้าค่ายอาสา แต่พูดสั้นๆ ว่า ค่ายอาสามันสร้างคน แล้วคนตรงนี้แหละที่จะไปสร้างชาติให้พัฒนา เพราะคนที่มาออกค่ายอาสา ก็มาจากการที่เขาเกิดความรักและศรัทธา และเขาก็ตอบได้เลยว่าค่ายให้อะไรกับเขา สรุปแล้วก็คือ ค่ายอาสาสร้างคน แล้วคนก็จะไปสร้างชาติสร้างสังคมที่ดีต่อไปครับ”
งานค่าย
งานคน
“เราไปทำอะไรบ้างในแต่ละครั้งที่ออกค่าย” เราโยนคำถามให้นิสิตจิตอาสาเป็นผู้ตอบ
“การออกค่ายอาสาจะมีการทำงานหลักๆ อยู่ 4 ส่วนค่ะ ประกอบไปด้วย หนึ่ง กิจกรรมที่เกี่ยวกับเด็ก เป็นกิจกรรมที่มุ่งหวังให้เด็กนักเรียนได้รับแรงบันดาลใจในการเรียน กิจกรรมที่ให้เด็กได้เรียนรู้การแปรงฟันเพื่อให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี และยังมีกิจกรรมที่สานสัมพันธ์กับเด็ก เช่น การทำขนม สอนน้องร้องเพลงภาษาอังกฤษ และประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ
“สอง กิจกรรมที่เกี่ยวกับโรงเรียน จะเป็นการปรับปรุงและซ่อมแซมในส่วนที่โรงเรียนต้องการ โดยโรงเรียนบ้านซ่าเลือดซึ่งเป็นโรงเรียนที่พวกเราไปออกค่ายในปีนี้ มีการสร้างอาคารอนุบาลหลังใหม่ขึ้นมาซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พวกเราจึงไปทาสีทั้งในและนอกอาคาร เทปูนหน้าโรงเรียน และปูกระเบื้องภายในอาคาร เพื่อให้อาคารอนุบาลหลังนี้สามารถใช้งานได้ อีกทั้งยังมีการทาสีรั้วล้อยางสนามเด็กเล่น และทาสีที่ถนนเพื่อให้ความรู้แก่เด็ก นอกจากนี้ยังมีการทำบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และสุขภาพช่องปาก ติดไว้ที่บอร์ดหน้าห้องเรียนด้วย”
และในฐานะของนักศึกษาด้านทันตแพทย์ อีกหนึ่งภารกิจก็คือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับสุขภาพ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกันสุขภาพช่องปากโดยแบ่งเป็น 2 กิจกรรมคือ ศาลาสุขภาพ และการออกหน่วยทันตกรรม
“ศาลาสุขภาพจะเป็นการให้ความรู้ทางด้านสุขภาพ ได้แก่สุขภาพโดยรวมทั้งร่างกาย และสุขภาพช่องปาก โดยให้ความรู้ผ่านการเล่นเกมที่สนุกสนาน และยังมีการพุดคุยกับชาวบ้านที่ดูแลสุขภาพตนเองได้เป็นอย่างดีเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับชาวบ้านในชุมชน ในส่วนของการออกหน่วยทันตกรรม จะเป็นการตรวจสุขภาพช่องปาก และให้คำแนะนำในการรักษาสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง กิจกรรมนี้ นอกจากจะส่งเสริมสุขภาพช่องปากของชาวบ้านแล้ว ยังได้ประโยชน์กับนิสิตปี 1 โดยเป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียน เนื่องจากได้สัมผัสการทำงานของทันตแพทย์ ทำให้ได้รู้ว่าการทำงานของทันตแพทย์เป็นอย่างไร
“และกิจกรรมที่ 4 จะเกี่ยวกับชุมชน ชาวค่ายจะไปเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนโดยการไปค้างบ้านชาวบ้าน ฝากตัวเป็นลูกกับชาวบ้าน โดยพวกเราจะเรียกว่าพ่อๆ แม่ๆ ชาวค่ายจะไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ช่วยงานพ่อๆ แม่ๆ เพื่อให้รู้ว่าการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างไร และยังมีกีฬาเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านและชาวค่ายอีกด้วย”
ค่ายทันตอาสาพัฒนาชนบทในครั้งนี้จะสำเสร็จลุล่วงไปไม่ได้ ถ้าขาดความร่วมมือร่วมใจจากคณะทำงานที่ร่วมกันคิดวางแผนและทำงานอย่างแข็งขัน รวมถึงชาวค่ายที่ตั้งใจมาเข้าร่วมกิจกรรมทำให้ประสบผลสำเร็จไปด้วยดี และอีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญไม่แพ้กันในการออกค่ายอาสาแต่ละครั้ง คือความร่วมมือของชุมชน เพราะหากมีสิ่งนี้ ภารกิจทั้งหมดก็จะเป็นเช่นที่หวังตั้งใจ
“การออกค่ายอาสาเป็นค่ายที่ต้องได้รับความร่วมมือจากชุมชนมาก เนื่องจากต้องประสานงานในหลายๆ ส่วน อย่างชุมชนบ้านซ่าเลือดที่นี่ ก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งทางโรงเรียนและชุมชนที่ช่วยประสานงานและช่วยเหลือกิจกรรมภายในค่ายในทุกๆ ด้าน อีกทั้งชาวบ้านยังเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้น ทำให้กิจกรรมดำเนินจนประสบผลสำเร็จ”
เจตนารมณ์คงเดิม
เพิ่มเติม คือประสบการณ์
สำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งเคยผ่านสถาบันการศึกษา อย่างน้อยที่สุดน่าจะเคยพบเห็น หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสามาด้วยตนเอง และสิ่งนี้ก็คล้ายสายธารที่ไม่มีวันขาดสาย ส่งผ่านจากรุ่นหนึ่งไปยังน้องๆ รุ่นต่อไป
O เราอยากบอกน้องๆ รุ่นต่อไปในสถาบันการศึกษาว่าอย่างไรบ้างเกี่ยวกับความดีความงาม หรือแม้แต่ความสนุกของการออกค่ายอาสา
ค่ายอาสาเป็นค่ายที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ผู้ที่ได้ไปค่ายอาสาจะชอบและไปเป็นประจำทุกปี และได้รับความสุขกลับมาในทุกๆ ครั้ง อย่างหนึ่งก็คือการได้ไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัดที่ต่างจากเมืองกรุงโดยสิ้นเชิง เรียนรู้การอยู่ร่วมกันระหว่างชาวค่ายทำให้ได้รู้จักเพื่อนพี่และน้องในคณะมากขึ้น ได้ทำหลายอย่างที่ไม่เคยทำ เช่น ผสมปูน ทาสี ปูกระเบื้อง ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตของชาวบ้านในชนบท นอกจากนี้พวกเรายังได้รับความสุข ผ่านความมีน้ำใจ และความจริงใจของชาวบ้าน
ค่ายอาสาเป็นค่ายที่หวังในเรื่องของการพัฒนาจิตใจของชาวค่าย พัฒนาชุมชน และการทำประโยชน์เพื่อสังคม ดังนั้นจึงอยากให้มีการสานต่อแนวคิดดังกล่าวไว้และดำเนินค่ายให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี
O สิ่งที่อาจต้องเตรียมใจไป สำหรับการออกค่ายแต่ละครั้ง
การออกค่ายแต่ละครั้ง สิ่งที่อยากให้เตรียมไปมากที่สุดคือ ความคิดที่พร้อมจะให้ เพราะค่ายอาสาเป็นค่ายที่เกิดขึ้นเพื่อให้ชนบทได้รับการพัฒนามากยิ่งขึ้น ทั้งด้านการศึกษา และด้านสุขภาพ ดังนั้น การให้จึงเป็นแนวคิดที่สำคัญในการดำเนินให้ค่ายเกิดขึ้น และประสบความสำเร็จได้
O สุดท้าย มองในระดับกว้างออกไป คิดว่าการออกค่ายอาสา จะส่งผลดีอย่างไรต่อสังคมในวงกว้าง หรือประเทศชาติ
การออกค่ายอาสาเป็นการพัฒนาชุมชน โดยพวกเราได้ไปเป็นแรงกระตุ้นเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเกิดการพัฒนามากยิ่งขึ้น และยังส่งผลถึงการพัฒนาคนด้วย โดยพัฒนาทั้งตัวนิสิตที่ไปออกค่าย และพัฒนาเด็กนักเรียนในโรงเรียนให้มีแนวคิดในการเรียนหนังสือเพื่อให้มีชีวิตที่ดีในอนาคต ซึ่งการพัฒนาคนจะเป็นการทำให้ประเทศชาติเจริญมากขึ้นด้วยค่ะ
ภาพประกอบ : เฟซบุ๊ก ชมรมค่าย dentcu