xs
xsm
sm
md
lg

จากดินสู่ดาว...“แหงน” มอง “การเดินทาง” ของ “สุชาติ แซ่เห้ง” ศิลปินหนุ่มเจ้าของเพลงฮิต 100 กว่าล้านวิว!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หนุ่มนักร้องนักดนตรีประจำร้านเหล้าที่รักเสียงเพลงพอๆ กับรักชีวิต เขาคนนี้เสมือนดาวดวงใหม่ที่กำลังสว่างไสวบนทางสายศิลปิน กับบทเพลง “การเดินทาง” ที่ดุจดาวค้างฟ้า ยอดวิวมากกว่า 100 ล้านในช่วงเวลาไม่กี่เดือน...

“...การเดินทางของฉันและเธอคือการเรียนรู้
การเรียนรู้ของเราสองคนคือความเข้าใจ
เธอเข้าใจและฉันเข้าใจก็ทำให้เรามั่นใจ ในความรัก...”

ข้างบนนั้นคือท่อนฮุกท่อนฮิตของบทเพลงโดนจิตกินใจ ด้วยเนื้อหาและสำเนียงเสียงร้องของศิลปินหนุ่มที่ชวนให้หัวใจอ่อนไหวละมุนละไมไปในความรู้สึกรัก และเข้าใจ...

“สุชาติ แซ่เห้ง” เจ้าของบทเพลงดังกล่าว เริ่มย่างก้าวบนเส้นทางสายนี้มาตั้งแต่เรียน ป.6 เพียงเพราะรู้สึกอยากเท่ในสายตาสาวๆ แต่สุดท้าย จากความอยากเท่ ได้เปลี่ยนผ่านสู่ความรัก และร่วมเดินทางอย่างไม่เคยจากกันไปไหนกับบทเพลงและเสียงดนตรี...กระทั่งมีโอกาสเข้าประกวดในเวที The Voice Thailand Season 3 ที่ทำเอาโค้ชทั้งสี่คนต้องกดปุ่มหันมองเพราะเสียงร้องที่นุ่มทุ้ม ทรงพลัง และนั่นก็เป็นจุดแรกๆ ที่ทำให้คนหนุ่มจากจังหวัดสงขลา ได้แนะนำตนเองอย่างกว้างขวางบนเส้นทางสายดนตรี

จากวันนั้นถึงวันนี้ สุชาติได้เดินทางสู่การเป็นศิลปินภายใต้ชายคาสำนัก What The Duck ก่อนจะโชว์ทักษะการแต่งเพลงและขับร้องให้ก้องปฐพี ด้วยบทเพลง “การเดินทาง” ซึ่งไพเราะกินใจ มีจำนวนคนดูในยูทิวป์นับร้อยกว่าล้านวิว ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ขณะที่เพลงต่อมา อย่าง “แหงน” ก็เหมือนว่าแฟนๆ จะให้การต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง...

“...เพียงการเดินทางเพียงหนึ่งสัปดาห์
หนึ่งเดือน หนึ่งปี มันมีความหมาย
ทำให้เติบโตเรียนรู้เข้าใจได้มากกว่า...”

นั่นคือบางวรรคตอนของบทเพลง “การเดินทาง”
และถ้าเช่นนั้นแล้ว...
การเดินทางเพียงหนึ่งบทสนทนา
หนึ่งถ้อยคำ หรือหลายถ้อยคำ ก็มีความหมาย
ทำให้เราเติบโต เรียนรู้ และเข้าใจ ..ใครสักคน..ได้มากกว่า...

• การเดินทางสายดนตรีของ “สุชาติ”

ผมเริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่ ป.6 เป็นต้นมา แต่ถ้าถามว่าค้นพบตัวเองตอนนั้นเลยหรือเปล่า ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่นะครับ เพราะตอนนั้นมีความรู้สึกแค่ว่าเราอยากเล่นดนตรีเท่ๆ เพื่อจีบสาวเฉยๆ (หัวเราะ) แค่อารมณ์อยากเท่ตามคนในทีวีมากกว่า อยากจะเท่อย่างนั้นอย่างนี้ อยากจะร้องเพลงอย่างนั้นอย่างนี้ อยากเล่นกีตาร์ให้เก่ง ให้ดีที่สุด อะไรประมาณนี้ครับ

• แรกเริ่มคิดว่าเล่นเพราะอยากเท่ แล้วมาจริงจังตอนไหนคะ

ผมมาชอบจริงจังน่าจะประมาณช่วงมัธยมต้น จริงๆ ผมว่าคนที่เล่นดนตรีทุกคนจะเริ่มแบบนี้กันซะเยอะนะ ต้องเริ่มจากความอยากเท่ก่อน (หัวเราะ) เพราะมันต้องเห็นความเท่อะไรบางอย่างของงานนั้นๆ แล้วก็เริ่มทำมัน พอทำไปสักพัก ก็จะเริ่มรู้สึกว่าเฮ้ย มันถนัดว่ะ รักว่ะ แล้วเกิดความรักขึ้นมา ซึ่งมันต้องใช้เวลาครับ แต่ความอยากเท่มันส่งผลให้เราอยากเป็นศิลปิน

• พอเรารู้ตัวแล้วว่าตัวเองชอบดนตรี ตั้งแต่วันนั้น เราฝึกฝนพัฒนามายังไงบ้าง

ตื่นมาเห็นกีตาร์ เราก็หยิบขึ้นมาเล่น มันไม่ใช่ว่าเราต้องเล่น แต่มันเป็นเพราะเราอยากเล่นมากกว่า ผมว่ามันก็เป็นการฝึกฝนที่ดีที่สุดแล้วนะ เพราะใจเราไม่ได้อึดอัดว่าวันนี้ต้องหยิบกีตาร์มาเล่นนะ วันนี้ต้องร้องเพลงนะ แต่เราต้องการเล่นเอง ซึ่งพอได้หยิบมาเล่น หัวสมองเราจะโล่งไปหมด

• ประกวดร้องเพลงครั้งแรก

ผมประกวดครั้งแรกตอนที่เริ่มมีวงแล้ว เจอเพื่อนแล้วตั้งวงไปประกวด ตอนนั้นผมเป็นแค่มือกีตาร์ เพราะในวงมีนักร้องอยู่แล้ว แต่พอวันหนึ่ง เราบังเอิญได้ร้องเพลงเพราะเราต้องไปร้องแทนเพื่อน เนื่องจากเพื่อนไม่มาซ้อม สุดท้าย เราก็เลยได้มารับร้องเพลงแทน (หัวเราะ) ตั้งแต่ตอนนั้นผมจะมีไปประกวดบ้างประปราย เพราะที่โรงเรียนจะมีจัดประกวด ก็เคยได้รางวัลมานะ มันเหมือนไต่มาเรื่อยๆ ที่หนึ่งของมหาวิทยาลัย ที่หนึ่งของจังหวัด ที่หนึ่งของภาค แล้วก็ได้เป็นที่สี่ของประเทศ (ยิ้ม)

จริงๆ ผมไม่ใช่สายประกวดนะ ผมจะต้องดูด้วยว่างานประกวดเป็นยังไงเพราะส่วนหนึ่งเราก็จะค่อนข้างเลือกงานเหมือนกัน ส่วนตัวผมจะเป็นคนที่ไม่ได้ชอบประกวดอยู่แล้วด้วย ผมว่ามันตื่นเต้นไป มันรู้สึกไม่ดีเวลาขึ้นเวที ผมไม่ชอบการขึ้นเวทีเลยนะครับ ไม่ชอบ เพราะผมกลัวมากๆ ผมจะตื่นเวทีมากๆ ยิ่งการประกวดยิ่งไม่ใช่เลยครับ เพราะผมกลัวว่าขึ้นไปบนเวที ผมไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะทำได้ดีหรือเปล่า ไหนจะมีคนมาฟังอีก โอ๊ยยย..หลายอย่าง หลายองค์ประกอบเลยครับที่ทำให้ผมไม่ชอบเวทีประกวด เวทีมันทำให้ผมคิดมาก สมองไม่โฟกัสกับการทำงาน เราจะทำออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนนั้นผมคิดว่าผมเล่นอยู่บ้าน เล่นให้เพื่อน ให้พ่อแม่ฟังดีที่สุด

• The Voice Thailand เป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต

การมาเวที The Voice เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้มีความตั้งใจแม้แต่น้อยเลยจริงๆ นะ ตรงนี้เป็นเพราะรุ่นพี่ผมชวนให้ไปออดิชั่นที่จังหวัดภูเก็ต จำได้ว่าเป็นตอนตีสอง ตอนนั้นผมก็นั่งอยู่หน้าร้านตัวเองแหละ แล้วรุ่นพี่ก็มาชวน เหตุผลที่ผมตัดสินใจไปเพราะว่าเป็นจังหวัดภูเก็ต มันก็ต้องไปสิ มันคือการไปเที่ยวด้วย ซึ่งภูเก็ตเป็นเมืองที่น่าไปนะ แต่อีกใจผมก็คิดว่าเราต้องมาลองดู เพราะมันเป็นโอกาสอะไรบางอย่างซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเลยนะ รู้แต่ว่ามันเป็นโอกาสของเรา ตอนนั้นผมก็เลยเอากีตาร์ไปด้วยเพราะมันก็ไม่ได้ยากอะไร แค่เราไปเล่นให้เขาฟังสักเพลง

ตอนไปประกวด The Voice แปลกมากเลยนะที่เวทีนี้ผมไม่ตื่นเวทีเลย ตื่นน้อยมากๆ แต่มันพูดยากในเรื่องของดนตรี เพราะมันจะมีเรื่องซาวด์เรื่องอะไรมาเกี่ยวข้อง เรื่องซาวด์ดนตรีที่มันมาเข้าหัวแล้วมันเพราะ ซึ่งเวทีนี้ซาวด์ดนตรีดีมากๆ ผมไม่เคยได้ยินซาวด์ดนตรีที่ดีขนาดนี้มาก่อน ผมได้ยินเสียงตัวเองชัด ผมไม่เคยมั่นใจอะไรแบบนี้มาก่อน แปลกมากๆ ผมรู้สึกสนุกไปเลย สนุกมาก อาจจะเป็นเพราะผมโตขึ้นด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ

พูดตามตรงว่า The Voice เป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดแล้วนะเท่าที่ผมเคยประกวดมา ซึ่งพอผมได้เข้ารอบ ผมรู้สึกว่ามันดีมากนะ เพราะผมได้ทดลองตัวเอง ถ้าเราไม่ไป ก็น่าเสียดาย เสียอะไรบางอย่างไป การที่เราตัดสินใจไปทดลองครั้งนั้น มันทำให้เราได้รู้ว่ามันเป็นยังไง เราจะมีเรื่องกลับมาเล่าให้คนที่เขาไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นฟัง ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดีเลยนะครับ มันทำให้เราได้แชร์อะไรได้เยอะมาก

   • เราเลือกเรียนมาทางด้านดนตรีโดยตรงเลยหรือเปล่าคะ หรือเรียนจบอะไรมา

เอาจริงๆ ผมเรียนปริญญาตรีมาสามครั้งนะครับ เริ่มจากเรียนนิเทศศาสตร์ก่อน เพราะเราคิดเหมือนกับหลายๆ คนเลยนะว่าเราเล่นดนตรีได้แล้ว เราไม่ต้องไปเรียนสายตรงก็ได้ เราเลยเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ แต่พอเรียนไปแล้วมันไม่เวิร์ค ไม่ถูกโฉลกกับอาจารย์ซึ่งเป็นเหตุผลงี่เง่ามากครับ ตอนนั้นเลยเรียนอยู่ได้ปีเดียวแล้วเราก็เปลี่ยนมาเรียนอะไรที่ถนัดดีกว่า

จากคณะนิเทศศาสตร์ก็มาเรียนภาษา เพราะตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดว่าจะเรียนดนตรีเลยนะ เลยเลือกเรียนภาษาจีนธุรกิจ ตอนนั้นที่ผมเรียนมันโอเคเลยนะครับ เวิร์คมากๆ ผมทำได้ดีเลย แต่สุดท้าย ผมก็ลาออกแล้วก็มาเรียนดนตรี ผมมาเรียนดนตรีกับอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง เพราะเพื่อนผมมาบอกว่าผมชอบดนตรีแจ๊ส ทำไมไม่ไปเรียนล่ะเพราะเขามีสอนแจ๊สอยู่ ซึ่งจริงๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในสงขลามีคณะนี้ ตอนนั้นผมเลยออกจากมหาวิทยาลัยที่เรียนภาษาจีนธุรกิจเลย ผมให้เหตุผลว่าผมจะออกไปเรียนดนตรีแล้ว ผมก็เลยเรียนจบทางดนตรีมา (ยิ้ม)

   • ครอบครัวให้การสนับสนุนดีไหมคะ

สนับสนุนมากครับ เต็มร้อยสุดๆ เลย ตอนนั้นที่ผมอยากได้กีตาร์ พ่อแม่ก็ซื้อกีตาร์ให้ แถมยังส่งไปเรียนกีตาร์ ซื้อแผ่นเพลงเข้าบ้านบ่อยๆ อีกทั้งช่วยฟังเวลาผมเล่น มีวิจารณ์ให้ด้วยเวลาผมเล่น ที่บ้านจะเป็นแบบนี้ครับ แม่ผมจะเป็นฝ่ายชม ส่วนพ่อจะคอยด่า ที่บ้านจะไม่มีใครด่าทั้งคู่และชมทั้งคู่เลยนะ (หัวเราะ) เขาจะคอยบอกว่าเสียงเราเป็นแบบนั้นแบบนี้นะ

พ่อกับแม่จะไม่ใช่นักร้องนะครับ แต่เขาจะวิจารณ์ในฐานะคนฟังมากกว่า อย่างเวลามีงานอะไรที่ผมไปเล่น ตอนนั้นผมก็โตพอสมควรแล้วนะครับอยู่มัธยมต้นแล้วแหละ ช่วงนั้น ผมจะบอกว่าเด็กเกือบทุกคนแหละที่เวลามีพ่อแม่มาด้วย จะอายเพื่อนเหี้ยๆ เลย จะอายมาก แต่พ่อแม่เราไปทุกเวทีเลย (หัวเราะ) แต่พอเราโตขึ้นมาเรามานึกถึง เราก็จะคิดว่า เออเนอะ มันก็ดีเหมือนกันนะ เพราะว่าทุกครั้งที่พ่อกับแม่มานั่งดู เราจะฮึดมากเลยนะ เพราะต้องทำให้พ่อกับแม่ดูด้วย เราต้องทำออกมาให้ดีที่สุด เวลากลับไปที่บ้าน เราจะได้โดนพ่อวิจารณ์น้อยที่สุด (หัวเราะ)

   • แสดงว่าที่บ้านสนับสนุนให้ทำกิจกรรม

จริงๆ ทางบ้านผมจะบังคับให้เรียนนะครับ แต่พ่อกับแม่จะไม่ได้ห้ามให้เราเล่นดนตรี เพราะเขาคิดว่าการเล่นดนตรีไม่ได้มารบกวนเวลาเรียนอะไรของเรา แม่ผมเป็นคนดุนะครับ ที่ผมจำได้ แม่ผมเขี้ยวนะครับ เขี้ยวมากด้วย...พ่อแม่จะบังคับให้ผมอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก จะบังคับว่าเราควรจะอ่านหนังสือวันละกี่หน้าแล้วต้องอ่านดังๆ ให้เขาได้ยินด้วย หรือต้องท่องสูตรคูณก่อนออกไปเล่นกับเพื่อนนะ ให้คัดลายมือทุกภาษาเลย ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ก่อนออกไปเล่น ซึ่งผมจะโดนหนักมากๆ ตอนนั้นผมเรียนเก่งมากเลยนะครับ แต่จะเรียนเก่งมากจนถึงแค่ตอน ม.2 ตั้งแต่ ม.3 เป็นต้นมา ผมเริ่มดรอป ม.4 ม.5 ผมไปเรียนช่าง แล้วหลุดไปเลย ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งไปเลย เพราะผมคิดว่าถ้าผมยังอยู่ในกรอบเหมือนเดิม ผมจะไม่เป็นแบบนี้นะครับ ผมจะไปเป็นอีกคนหนึ่งเลย ซึ่งผมอาจจะใส่แว่นแล้วก็ไปเป็นวิศวะหรืออะไรก็ตาม

แต่ผมก็ไม่ได้ออกนอกกรอบขนาดนั้นนะครับ เพราะกลับบ้านไปผมก็ยังเป็นผมคนเดิม แต่เราจะมีวิธีคิดอย่างใหม่ เราสามารถเอาตัวรอดในสังคมได้มากขึ้น เราเจอโลกมากกว่าเดิม ไม่ได้อยู่แต่ในบ้าน มันก็ไม่ได้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้นเพราะเราก็มีความเรียนเก่งอยู่ แต่เราเลือกที่จะไม่เรียนมากกว่าอะไรทำนองนี้ เรามีความเรียบร้อย อยู่กับผู้ใหญ่ ไม่ได้โชว์พาวหรือเป็นบุคคลอันตรายขนาดนั้น คือที่ไม่เรียบร้อยจะเป็นตอนที่อยู่กับเพื่อนมากกว่า เพราะเพื่อนที่เราคบเป็นแบบนั้น เราก็ต้องทำตัวไม่เรียบร้อยตาม นักเลงเราก็ต้องนักเลงตาม เพราะไม่เช่นนั้น เราก็จะอยู่ไม่ได้ แต่เราจะไม่เลือกสังคมในเทคนิคที่เป็นกลุ่มเรียบร้อยเลยนะ เราจะเลือกไปอยู่กับกลุ่มนักเลงๆ ไปเลย เพราะเรารู้สึกว่ามันสนุกดี แต่อาจจะเป็นเพราะว่าตอนแรกเราก็ไม่ได้เป็นคนเรียบร้อยจริงๆ ด้วยมั้งครับ (หัวเราะ)

ผมเป็นคนที่เวลาอยู่กับเพื่อน จะไปไหนไปกัน จะเป็นแค่นั้นมากกว่า ตอนเรียนปวช.นั้น เป็นช่วงชีวิตที่เอะอะก็ดื่ม เอะอะเลิกเรียนปุ้บดื่มปั๊บเลย กี่โมงค่อยว่ากัน พรุ่งนี้เรียนกี่โมงวะ มึงว่าอาจารย์สอนไหมวะ เพื่อนก็แบบ..กูว่าไม่นะ เฮ่ย!! สักครั้งไม่เป็นไรหรอกมั้ง สุดท้ายก็เริ่มไม่เรียน ไปอยู่บ้านเพื่อนบ้าง บอกแม่ว่าออกมาเรียน แต่ไปบ้านเพื่อน ปีนรั้วโรงเรียน ตอนนั้นผมว่าผมไม่ได้เกเรนะครับ เพราะผมยังมีสิ่งที่แม่ให้มาอยู่ มีเหตุมีผลอยู่ แต่เรื่องใจร้อน ผมจะใจร้อนมากๆ จะใจร้อนไปตามสถานการณ์ เหมือนเพื่อนโดนต่อย ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ คงอารมณ์เหมือนอยากเท่มั้ง เราจะช่วยเขาทำไมก็ไม่รู้ แต่เราก็ต้องช่วย ผมว่ามันเป็นเรื่องของการตามเพื่อน เพื่อนมีอิทธิพลมากกับเรามากเลยนะ ผมว่าชีวิตผมครบรสดีนะ (หัวเราะ) แต่สิ่งที่ผมทำมาพ่อกับแม่ก็เข้าใจนะครับ คิดดูว่าผมย้ายมหาวิทยาลัยมาตั้งกี่ครั้งแล้วกว่าจะเจอตัวเอง ซึ่งเขาก็เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ (ยิ้ม)

   • เราเป็นสุชาติคนใหม่แบบนี้ ไม่ทำให้เราทิ้งดนตรีเหรอคะ

ไม่เลยนะครับ เพราะเรายังเล่นดนตรีเหมือนเดิมเลย (หัวเราะ) ผมก็ยังคิดถึงเรื่องดนตรีเป็นหลักอยู่เสมอนะ ซึ่งตอนที่ผมออกนอกกรอบมา ระยะเวลานั้น ดนตรีผมก็ไม่ทิ้ง ผมยังเล่นดนตรีมาตลอด และการเล่นดนตรีก็ฉุดให้พาเราเสียคนพอสมควร คือมันก็ทำให้เราไม่ดีจนเกินไปและไม่เลวร้ายจนเกินไป ผมว่ามันดีนะครับ และสิ่งที่แม่เคยบังคับ ผมว่ามันก็ดีนะครับ มันทำให้ผมอ่านหนังสือชัด (หัวเราะ)

   • มีจุดเปลี่ยนอะไรบ้างไหมในชีวิต อย่างเคยเล่นดนตรี ร้องเพลงมาแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ มีช่วงท้อบ้างหรือเปล่า

ผมไม่ค่อยมีอุปสรรคเท่าไหร่นะครับ ถ้าจะมีก็เรื่องความกลัวมากกว่า จะเป็นอุปสรรคประมาณว่าเวทีนั้นไม่ใช่ของผม เวทีนี้ผมขึ้นแล้วรู้สึกไม่ดี ผมทำให้เวทีนี้เป็นของผมไม่ได้ ผมรู้สึกว่าผมเอาคนกลุ่มนี้ไม่อยู่ แค่นี้เองครับ แต่ผมมีวิธีจัดการนะ คือถ้าผมจะไม่ไปสมัครร้านที่ผมไม่อยากเล่น ซึ่งแต่ก่อนตัวผมจะทำงานด้วยความที่เอาตัวเองเป็นหลักเสมอนะครับ ผมจะไม่ค่อยโหยหาเงินขนาดนั้น จะเอาที่ตัวเองมีความสุขมากกว่า ผมเลยจะเลือกร้านที่มันใช่เท่านั้น ซึ่งผมจะตัดปัญหาที่คิดว่าเป็นอุปสรรคของตัวเองออกไปก่อน มันอาจจะเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว เป็นความคิดที่ไม่ดีหรอก แต่ผมจะใช้ชีวิตอย่างนั้นมาตลอดเลยนะ มันเลยเกิดอุปสรรคค่อนข้างน้อยเพราะเวลาเจออะไร ผมจะแก้ปัญหาให้ได้ภายในตอนนั้นเลย ผมจะไม่ปล่อยให้เป็นปัญหาในระยะยาว เพราะตอนนั้นตัวผมทำงานโดยไม่มีเจ้านายด้วย เลยไม่รู้สึกถึงอุปสรรคเพราะเราเป็นนายตัวเองมาโดยตลอด

ผมไม่มีช่วงที่ท้อจนไม่อยากเล่นดนตรีเลยนะครับ เพราะผมจะไม่มีสำรองอะไรในชีวิตไว้เลย จะไม่มีแผนสอง ไม่มีเลย ซึ่งแผนสองของผม ยังไงก็ยังต้องเล่นดนตรีอยู่เหมือนเดิม ยังไงก็ดนตรี ดนตรีล้วนๆ อย่างน้อย ไม่ร้องเพลงก็ต้องอยู่ในห้องอัด หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับดนตรี อยากเล่น อยากได้ยินตลอด อีกอย่าง ผมมองว่าอุปสรรคมันอยู่ที่เราคิดด้วยนะ ซึ่งผมแทบมองไม่เห็นมันเลย จริงๆ มันอาจจะมีแหละ แต่เราไม่ได้ไปโฟกัสมันเท่าไหร่

   • ชีวิตไม่มีแผนสอง?

จริงๆ ที่ผมบอกว่าไม่มีแผนสำรองไว้เลยในชีวิต มันเป็นคำเปรียบเทียบนะครับแต่มันก็น่าจะมีแหละครับ เพียงแต่ผมจะมองตัวเองในด้านดนตรีเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ถ้าจะเป็นอะไรจริงๆ ผมก็คิดว่าแค่กลับบ้านไปเปิดร้านอาหารเหมือนเดิม กลับไปเล่นดนตรีเหมือนเดิม คืออะไรก็ได้ที่เป็นดนตรี ยังไงผมก็ต้องเล่นดนตรี แผนผมมีแค่นั้น

ตอนนั้นที่ผมเลือกเรียนภาษาจีนธุรกิจ มีเหตุผลหนึ่งเลย คือผมอยากเรียนไปเพื่อแค่ให้ผ่านไปได้สี่ปี โดยที่ผมเรียนอะไรก็ได้ เพราะส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อเรื่องใบปริญญาอยู่แล้ว ผมจะยึดตัวเองไว้อยู่แล้วว่าต่อให้เราเรียนอะไร เราก็จะเอาดนตรีเป็นหลักเหมือนเดิม อาจจะเป็นวิธีคิดที่ผิดนะครับ แต่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ มันแล้วแต่ว่าใครคิดยังไงและมีความสุขยังไงมากกว่า

แต่ในที่นี้เราต้องทำเพราะถ้าเราปักหมุดว่าเราจะไม่เรียนเลย ซึ่งในสังคมไทยผมมองว่ามันแปลกๆ วันๆ เราจะไปทำอะไร มันมีเหตุผลแค่นี้เอง อย่างน้อยก็เรียนเพื่อแม่ ต้องเพื่อแม่ด้วยนะ (หัวเราะ) ได้รู้ว่าเราเรียนจบแล้ว

แต่พอได้มาเรียนคณะดนตรี ตั้งแต่วันนั้นผมก็มารู้ตัวเองว่าถ้าเราอยากเรียนจริงๆ เราต้องเรียนในสิ่งที่เราชอบไปเลย เพราะไหนๆ ก็คิดที่จะไม่เรียนอยู่แล้วก็เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เพราะไหนๆ ก็คิดว่าใบปริญญามันไม่สำคัญอยู่แล้ว ก็เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบไปเลยดีกว่า อะไรทำนองนี้ครับ

   • เซ็นสัญญากับค่าย What the Duck

การที่ผมได้เลือกเซ็นสัญญากับทางค่ายนี้ จริงๆ ถ้าผมเข้ามาแล้วผมรู้สึกไม่ดีอย่างน้อยก็แค่ 3 ปี ซึ่ง 3 ปีนี้มันจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ถ้าไม่ดีมันก็แค่ 3 ปี เดี๋ยวสัญญาก็หมด เราก็ทำไปเถอะ เพราะเผื่อว่าถ้ามันโอเค เราก็จะได้ต่อสัญญา ผมมองว่ามันเป็นการทดลองนะครับ ดีกว่าเราไม่ได้ไปคว้ามันมา ไม่ได้ไปลองดู ซึ่งพอผมได้ลองทำ ผมก็ยังไม่เห็นข้อเสียของมันเลยนะครับ เพราะผมแฮปปี้กับงานของผมมาก ณ ตอนนี้

ตอนที่ยังไม่มีสังกัด ผมจะเล่นดนตรีตอนกลางคืน ซึ่งผมจะมีร้านประจำที่เล่นอยู่ แต่ตอนหลังๆ ผมมีร้านของตัวเองก็เล่นร้านตัวเองไป เพราะเราเป็นเจ้าของร้านด้วย ร้านอยู่ที่หาดใหญ่ครับ เอาจริงๆ ชีวิตแต่ก่อนผมไม่มีอะไรเลยนะ สนุกไปวันๆ เลย ผมชอบเที่ยว เอาเงินไปเที่ยว เก็บก็คือเก็บ เที่ยวก็คือเที่ยว เราจะไม่ค่อยหาความทุกข์มาใส่ตัวเองเท่าไหร่ (หัวเราะ) เป็นคนสบายๆ แต่สบายในที่นี้คือเราจะชอบผ่อนคลาย แต่เวลาเราอยู่คนเดียว เราก็จะเริ่มคิดเยอะเหมือนกัน เราจะชอบเครียดกับโลก เครียดกับสิ่งที่พบเจอ จะเป็นคนที่ไม่ค่อยเครียดเรื่องความรักเท่าไหร่ มันจะไปเครียดกับเรื่องที่เราเห็นมากกว่า เราจะชอบตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะไปเครียดเรื่องพวกนี้มากกว่า

   • เห็นว่าแต่งเพลงเองด้วย

ผมเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ตอนมัธยมต้นครับ หลังจากที่ร้องเพลงและเล่นกีตาร์ได้แล้ว มันเริ่มจากการแต่งเพลงที่โดนยัดเยียดให้แต่งซึ่งเป็นการประกวดดนตรีแล้วผมต้องแต่ง ตอนนั้นจำได้ว่าได้หัวข้อมาว่ารณรงค์ยาเสพติด เขียนอะไรก็ได้เกี่ยวกับยาเสพติดมา ให้โจทย์มาแล้วเอาไปแข่งดนตรี ซึ่งผมก็ต้องเขียน และนั่นก็คือการเขียนครั้งแรก

   • แล้วไปชื่นชอบการแต่งเพลงได้ยังไงคะ

อิทธิพลมาจากพี่บอย โกสิยพงศ์ ครัย ก่อนหน้านั้นผมฟังเพลงมาเยอะมากนะ ฟังเพลงของศิลปินทั่วๆ ไปเลย แล้วพอผมได้มาฟังเพลงของพี่บอย โกสิยพงศ์ ผมรู้สึกว่าเพลงพี่บอยในยุคนั้น ไม่เหมือนกับเพลงของคนอื่นนะครับ คำเขียนก็ไม่เหมือน อะไรก็ไม่เหมือน พอเราร้อง เราก็ได้เห็นเสน่ห์ของการเขียน ซึ่งจริงๆ ผมจำไม่ได้ว่าประมาณไหน แต่เราเริ่มไปเห็นเสน่ห์ของมัน เราก็เลยเขียน แล้วก็ได้มารู้ตัวเองว่าเราชอบการเขียนที่สุดด้วย ซึ่งส่วนตัวผมหลงใหลมาก การเขียนเป็นศิลปะที่ใช่มาก ทั้งตอนนั้นและตอนนี้

การเขียนมันสนุกนะครับ มันเหมือนได้ระบายอะไรบางอย่างแล้วมันโล่ง เราได้บอกอะไรบางอย่างกับคนที่เราอยากบอก ใครก็ได้ กับโลก กับมนุษย์ กับอะไรต่างๆ แต่การแต่งเพลง ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่ใช่จากการอ่านแน่นอนครับ เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าเราไม่ค่อยได้มาจากการอ่านหรอก แต่เราจะได้จากอะไรก็ไม่รู้ซึ่งมันเป็นฐานของมนุษย์คนหนึ่งซึ่งอยู่ดีๆ มันก็มี อยู่ดีๆ มันก็นึกคำแบบนี้ออก อยู่ดีๆ ก็เขียนได้ อะไรอย่างนี้ครับ

ทุกวันนี้ ผมจะแต่งเพลง 3 วันครั้งหนึ่ง เรียกว่าบ่อยไหม ก็บ่อยนะครับ มันค่อนข้างจะผุดขึ้นมาเองบ่อยครั้งซึ่งเราไม่ได้ไปนั่งเค้นมันออกมา อยู่ดีๆ นั่งๆ อยู่เราก็ได้คำนั้นคำนี้มา ซึ่งใส่คำนั้นคำนี้เข้าไปอีก ก็ได้เพลงหนึ่งซึ่งมันอาจจะดีหรือไม่ดี ค่อยว่ากัน แต่ว่าจะเก็บไว้ก่อน (ยิ้ม)

   • แหล่งที่มาของเนื้อหาเรื่องราวเพลง เราได้มาจากไหนอย่างไรบ้าง

ได้มาจากทั้งการคุยกับคนอื่นอะไรต่างๆ เพราะเรื่องราวประสบการณ์จริงมันสร้างพล็อต เราได้มาจากที่เราพูด จากที่เราคุยกับคนอื่นซะเยอะกว่า แค่เราเอาสิ่งที่พูดมาเป็นภาษาเขียน จริงๆ มีแค่นั้นเองครับ แล้วอีกอย่างหนึ่ง มันคือพล็อตเรื่องที่เราวางไว้ เช่น พล็อตเรื่องหนึ่งเรื่องมันต้องมีอะไรบ้าง เรื่องที่เราอยากเล่ามีคำว่าอะไรบ้าง เราต้องเล่ายังไง ก็เหมือนการเล่าเรื่องแหละครับ แต่ว่าชั้นเชิงมันคือภาษาซึ่งเรื่องภาษาผมจะได้จากแม่มาเต็มๆ ที่เขาให้ผมอ่านตอนเด็กๆ มันเหมือนสิ่งที่ตกค้างอยู่ในสมอง มันจะมีคำว่าอะไรบางอย่างผุดขึ้นมา แต่มันจะมายากตรงคำคล้องจองมากกว่า สำหรับคนที่เขียนเป็นก็จะง่ายไปเลย มันเหมือนเรามีฐานของอะไรบางอย่างมาอยู่แล้ว

อีกอย่าง ผมมองว่าการคุยกับตัวเองสำคัญมากนะครับ การคุยกับตัวเองกับการคุยกับเพื่อนจะไม่เหมือนกันนะครับ ซึ่งคุยกับตัวเองจะมีภาษา เราอยากให้ตัวเองกับอีกคนหนึ่งเป็นภาษาอะไร มันจะมี เพราะเราไม่มีเพื่อนที่จะคุยภาษานั้นได้ เราก็จะอาศัยคุยกับตัวเอง เอาจริงๆ มันพูดยากนะ ผมเป็นลูกคนเดียวด้วย มันอาจจะเป็นวิธีของลูกคนเดียวก็ได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไหม ผมก็พยายามวิเคราะห์ตัวเองอยู่นะว่าทำไมผมถึงเป็น แต่มันน่าจะมาจากที่ผมเป็นลูกคนเดียวแล้วแม่บังคับให้ทำนู่นทำนี่แล้วเราก็จะชอบเกิดคำถามในใจบ่อยๆ ประมาณทำไมต้องให้เราทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีใครตอบได้เพราะเราไม่มีน้อง ไม่มีพี่ แต่มันคือตัวเราอีกคนที่ต้องตอบตัวเอง ผมว่ามันเป็นเรื่องของความเคยชินมาอย่างนั้นมากกว่า ซึ่งภาษาอาจจะได้มาจากอะไรตรงนั้นด้วยหรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ

ส่วนเรื่องเทคนิคการเขียน ผมไม่มีเลยนะครับ ผมแทบจะไม่จดไดอารี่แต่ละวันเลยด้วยซ้ำ ผมจะร้อยตัวเองมาเลย เหมือนผมเจอเรื่องนี้มา ถ้ามันไม่มีอิทธิพล ผมจดเลย แต่ถ้ามันมีอิทธิพลกับเราบางเรื่องผมแทบไม่ต้องจดเลยนะครับ เพราะมันจะได้มาเองเลย ซึ่งบางคนเขาอาจจะมีวิธีการเขียนที่แตกต่างออกไปจากผมนะ เขาอาจจะนั่งเขียนหรือนั่งใช้เวลากับสิ่งๆ นั้นเลย เขาอาจจะอยากให้มีเรื่องราวใหม่ๆ แต่สำหรับผม ผมจะปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ เพราะผมไม่อยากทำแบบนั้น ส่วนตัวผมคิดว่ามันไม่จริง คุณต้องรู้สึกจริงๆ สิ ถึงจะเขียนออกมา

ส่วนเรื่องทักษะ ผมจะไปใส่ในเรื่องของการเรียงคำอีกทีมากกว่า เราจะเอาไปเกลาเพลงตัวเองอีกทีมากกว่า ไปดูประมาณว่าทำไมมันไม่คล้องจองกัน ทำไมเนื้อเพลงมันค่อนข้างแปลกๆ ถ้าแปลกก็ต้องแปลกให้สุด จะกวีหรือจะอะไรกันแน่ มันจะมีความไม่แน่ไม่นอนอยู่ ซึ่งตรงนี้เราจะต้องใช้ทักษะ แต่การเกลาของเราเรา ต้องไม่ให้เรื่องราวที่เราจะเล่าเสียด้วยนะ บางทีคำที่เราคิดออกมาแรกๆ ก็ไม่ได้ดีนะครับ มันคือคำลวกๆ ไป แต่เรามาทำให้คำมันดีขึ้น แต่บางทีสิ่งที่ออกมาตอนแรก เราคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว เราดูปุ้บไม่ต้องแก้อะไรแล้วมันก็มี ซึ่งเนื้อเพลงผมจะแต่งเองทั้งหมดเลย

ผมจะมีสมุด มีปากกา มีเครื่องอัดพกติดตัวอยู่แล้วด้วย พอนึกอะไรออกปุ๊บ ผมจะจดให้เราไม่ลืม เพราะผ่านไปแค่ 1 นาที เราก็สามารถลืมได้แล้ว มันจะทำให้เราลืมบางพยางค์ไป เพราะบางทีเรานึกออกมาเป็นเยอะๆ เลย กลุ่มวรรคเยอะๆ ซึ่งเป็นอันที่ลืมง่ายมาก เราก็ต้องรีบจด (ยิ้ม)

   • อย่างซิงเกิ้ลเพลง “การเดินทาง” ล่ะคะ มาจากประสบการณ์จริงหรือเปล่า

เพลงการเดินทางเกิดจากการที่ผมไปเที่ยวและเกิดจากความรักของตัวเองด้วย ตอนนั้นผมไปกับแฟน และเขียนขึ้นบนรถเลยครับ เพลงนี้ผมจะเขียนออกมาในมุมที่เรามองโลก แต่เราเขียนให้มันฟังง่ายขึ้น เป็นมุมมองของคนสองคน แต่จริงๆ มันก็คือเรื่องราวของมนุษย์กับมนุษย์ ใครก็ได้ที่เป็นมนุษย์กับมนุษย์ คุณต้องมีความเข้าใจให้แก่กัน

ส่วนใหญ่ผมจะเขียนเกี่ยวกับการมองโลก ซึ่งถ้าเอามาเปรียบกับความรักมันก็สามารถทำได้ สะกิดนิดเดียวมันก็สามารถทำได้แล้ว เพราะมันง่ายมาก แต่การมองแล้วความคิดแรกที่เราจะเขียนเพลงนี้คืออะไรมันสำคัญที่สุด ผมจะเขียนเรื่องการมองโลกตลอด เพราะผมไม่มีเรื่องเศร้าให้มอง ผมมีรูปแบบของแฟน ผมมีแฟน แต่ผมกับแฟนแฮปปี้ไง ผมจะไม่เห็นด้านอื่นเลยในเรื่องความรัก พอเราแฮปปี้ เราจะไม่มองเรื่องความรักเป็นเรื่องดาร์กๆ เราจะเขียนเรื่องดาร์กยากมาก ผมเลยจะมองในเรื่องของโลกที่ผมรู้สึกไม่ดีกับมันจริงๆ อย่างฟังเรื่องเพื่อนเล่าให้ฟังหรือเห็นข่าวมา จะเป็นอย่างนั้นมากกว่า แล้วถ้าเราเขียนแบบนั้น ก็อาจจะขายไม่ได้อีก ทีนี้ ทำยังไงมันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

   • ตอนนี้เห็นว่าเพลงการเดินทางได้ร้อยล้านกว่าวิวแล้ว คิดว่าอะไรคือปัจจัยที่จะทำให้เพลงยุคนี้ได้รับความนิยม มีเคล็ดลับไหมคะ

เรื่องนี้ผมตอบอะไรไม่ได้เลยนะ เพราะผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าผมทำยังไงถึงได้ร้อยกว่าล้านวิว (หัวเราะ) ผมไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย ผมมองว่าการทำเพลงมีสองรูปแบบนะ คือคนที่ทำเพื่อยอดวิวตั้งแต่แรก มันก็มีนะครับ แต่นั่นไม่ใช่ผม คือให้ผมทำเพลงเพื่อแลกกับยอดวิวเยอะๆ ผมทำไม่ได้ว่ะ ผมต้องมานั่งเขียนแบบเกร็งๆ แน่ๆ ถ้ามีโจทย์มาว่าเขียนยังไงก็ได้ให้ได้ร้อยล้านวิว (หัวเราะ) แต่ผมมองว่าคุณต้องเขียนในสิ่งที่คุณชอบที่สุด แคร์คนฟัง ให้คนฟังฟังง่ายที่สุด เล่าเรื่องให้มันดี ทำในสิ่งที่เราเป็นผม ทำได้แค่นั้น

   • ถามถึงวัฒนธรรมของคนทำเพลงยุคใหม่หน่อยค่ะ เรามองการทำเพลงยุคนี้อย่างไรบ้างคะ

การทำเพลงยุคนี้ผมว่ามันมั่วๆ นะครับ ผมยังมองไม่เห็นศิลปินที่ชัดเจนเท่าไหร่ ศิลปินที่เป็นศิลปินชัดเจน ผมมองเห็นน้อยมาก เอาจริงๆ ตอนนี้ ผมจำศิลปินในประเทศไทยได้ไม่หมดเลยนะ ผมจำได้แต่อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมดเลย ลูกทุ่งก็ไม่ใช่ลูกทุ่งอีกแล้ว ลูกทุ่งคืออะไรแล้วก็ไม่รู้ตอนนี้ มันคือแนวแดนซ์หรือเปล่าเพราะมีการเต้น มันเป็นลูกทุ่งที่มีภาษาเขียนที่ศัพท์สมัยใหม่ ไม่ใช่ภาษาลูกทุ่งบ้านๆ ที่มีความสวยงามในตัวเอง แต่ผมไม่ได้ไปว่าเขานะครับ เพราะมันอาจจะโดนใจคนยุคนี้ก็ได้ แต่ส่วนตัวผมก็รู้สึกแปลกๆ เพราะคิดว่าลูกทุ่งน่าจะเป็นลูกทุ่งกว่านี้ ส่วนเพลงสตริงทั้งหลาย ผมว่าดีนะ เพราะผมได้เห็นจินตนาการของหลายๆ วง จินตนาการที่ล้ำไปเลยก็มีอย่างวง Polycat วง 25 hours ผมชอบนะ ผมว่าเขามีจินตนาการ

   • แล้วในฐานะคนทำเพลง เราอยากเห็นวงการเพลงพัฒนาไปทางไหนอย่างไร

ผมอยากให้มันพัฒนา ไม่ใช่เพื่อยอดวิว แต่ทุกวันนี้ฟังดูก็รู้แล้วนะครับ อย่างบางเพลงทำออกมาเพื่อขายชัดๆ เลย ทำออกมาเพื่อกูต้องขาย แล้วเพลงที่เป็นเพลงขายจริงๆ เพลงจะเป็นบล็อกเดียวกันหมดเลยนะ บล็อกจะคล้ายกัน เมโลดี้ต้องเป็นแบบนี้ การร้องเพลงต้องหล่อๆ คำเขียนต้องมีพล็อตเรื่องแค่นั้น ก็ต้องมีแค่นั้นจริงๆ บางครั้งมันไม่ได้ให้ประโยชน์ เพราะมันจำเจเกินไป ลองมาเปลี่ยนกันทั้งหมดไหมว่าเพลงจะดังได้ ก็ต่อเมื่อไม่ใช่เรื่องของความรักบ้าง เพลงจะดังได้ก็ต่อเมื่อไม่ใช่เมโลดี้แบบนั้นบ้าง แต่ตอนนี้กำลังฮิตเหมือนกันอยู่ คือเพลงจะดังต้องเมโลดี้แบบนี้ เสียงแบบนี้ เซตผมอย่างนั้น แต่งหน้าอย่างนั้น ต้องแต่งตัวแบบนั้น อันนี้สมมุตินะครับ ทุกอย่างเป็นการตลาดไปหมดแล้ววางไว้หมดว่าทำยังไงถึงดัง นั่นคือไม่ใช่ศิลปะนะครับ มันคือธุรกิจมากกว่า

การทำเพลง ผมว่าต้องมีศิลปะในตัวผู้เขียน ส่วนเรื่องธุรกิจก็ให้คนทำในเรื่องของธุรกิจเอาไปทำต่อ แต่ผมก็เข้าใจนะว่าเขาอาจจะโดนบีบมาจากนักธุรกิจอีกที ผมไม่อยากให้เป็น แต่ผมเข้าใจนะ เข้าใจในเขา เพราะบางทีเขาอาจจะมีความคิดที่อยากจะทำเพลงดีๆ ก็ได้ แต่ส่งไปปุ๊บมันอาจจะไม่ได้ ไม่ดัง ก็แล้วแต่

   • จะบอกว่าเราไม่ได้ยึดหลักว่าเราต้องได้เงิน ได้ชื่อเสียงใช่ไหม

ผมว่าเราอย่าเพิ่งไปยึดมันเลยดีกว่าครับ แต่จริงๆ ผมก็ยังตอบไม่ถูกหรอกว่าอนาคตผมจะยึดมันไหม เพราะผมอาจจะมีปัญหาทางบ้านที่ผมจำเป็นต้องใช้เงินก็ได้แต่ตอนนี้ยังไม่มี ผมเลยพูดได้ ส่วนคนที่เขามีปัญหาก็มีนะครับ ซึ่งเขาก็อาจจะทำทุกวิถีทางให้ได้เงินมา มันมีหมดแหละครับ ส่วนตัวผมอยากทำเพลงให้คนที่เสพผมจริงๆ ผมอยากสร้างให้ตัวผมชัดเจนว่าผมไม่ได้ทำเพลงขึ้นมาเพื่อขาย ไม่ใช่ผมไม่อยากขายนะ แต่ผมไม่ได้อยากขายขนาดนั้น ผมอยากให้คนจดจำมากกว่าว่าผมเป็นคนเขียนเพลงยังไง ซึ่งผมจะซีเรียสกับการเขียนมาก แล้วผมก็อยากให้เขาได้รู้จักผมในรูปแบบการเขียนว่าผมเป็นคนเขียนเพลงแบบนี้ คำประมาณนี้ เหมือนมีลายเซ็นเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้น เราก็จะซีเรียสหน่อย ให้มันเป็นคาแร็กเตอร์ของเรา ผมอยากให้คนเห็นถึงคาร์แร็กเตอร์การเขียนของผมจริงๆ ก็เลยอยากให้คนได้รู้ในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของการร้องเพลงด้วย

ผมว่าการเล่นดนตรีแล้วมีคนฟังคือมัน จบแล้ว ผมว่ามันประสบความสำเร็จแล้วนะ บางคนอาจจะมองว่าชื่อเสียง เงินทองคือสิ่งที่ประสบความสำเร็จ เขาก็จะวางคำว่าประสบความสำเร็จไว้อีกที่หนึ่ง ผมว่าอยู่ที่คนมองนะครับ สมมุติผมมองว่าตอนนี้กูมีชื่อเสียงพอสมควรแล้ว กูประสบความสำเร็จแล้ว แล้วอีกด้านหนึ่ง ผมจะฉุกคิดขึ้นมาว่ามึงคิดผิดนะ ไม่ใช่ว่ะ เราประสบความสำเร็จนานแล้ว มันขึ้นอยู่กับที่ว่าเราเถียงตัวเองยังไง ซึ่งบางครั้ง วันหนึ่งผมอาจกลับไปคิดเรื่องชื่อเสียงก็ได้ ผมอาจจะไปหลงกับมันก็ได้ในวันหนึ่ง แต่วันนี้มันไม่ใช่ เพราะวันนี้ผมคิดว่ามันคือการเล่นให้คนฟัง แล้วเรารู้ตัวอยู่ไหมว่าเราเล่นเพราะหรือเปล่า ถ้าเราเล่นไม่เพราะ แต่เราดัง ผมว่าอย่าเรียกว่าตัวเองประสบความสำเร็จเลย มันต้องเล่นให้เพราะจริงๆ แล้วต้องคู่ควรกับสิ่งที่ให้มาด้วย มันต้องมีฝีมือด้วย

   • แล้วจากจุดเริ่มต้นที่เป็นนักร้องไม่มีสังกัดจนตอนนี้มีสังกัดแล้วถึงขั้นที่ว่าเพลงเรามีคนดูร้อยล้านกว่าวิว มองย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นเรารู้สึกอย่างไรบ้างคะ

เวลามองย้อนกลับไปในวันนั้นแล้วหันกลับมามองวันนี้ ผมได้ทุกอย่างเลยนะ เพราะทุกอย่างในอดีตหล่อหลอมมาให้เป็นปัจจุบัน มันดีทุกอย่างเลยนะ ต่อให้อยู่ในจุดที่แย่ที่สุด จุดที่เคยอันธพาลอะไรก็ตาม ผมก็ยังมองว่ามันดีหมดเลย หรืออย่างการที่เคยทะเลาะกับแม่ ผมก็ว่าดี ผมไม่อยากกลับไปแก้อะไรเลย เพราะมันทำให้เราเรียนรู้ ผมมองว่าทุกอย่างในชีวิตมนุษย์ หล่อหลอมมาดีหมด ดีทั้งหมดต่องาน ต่อความคิดในปัจจุบัน ทุกอย่างเลย ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตเหมือนเดิมเลยนะ แค่อาจจะมีคนมาขอถ่ายรูปมากขึ้น แต่เราก็ไม่เคยคิดว่าการที่ถ่ายรูปกับคนอื่นจะลำบากอะไร ผมไม่ซีเรียสในเรื่องนี้เลย ผมจะให้ตลอด (หัวเราะ)

เมื่อก่อนผมมีอีโก้มากกว่านี้อีกนะ ตอนที่ผมยังไม่เข้าใจชีวิต อีโก้ผมจะสูงมาก ผมจะเป็นพวกมนุษย์อุดมการณ์ ถ้าไม่อยู่ในหัวสมอง จะไม่เอาเลย ประมาณว่าทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ทำไมไม่คิดแบบนี้กันวะ อะไรประมาณนี้ มีอีโก้สูงมาก เล่นดนตรีก็จะเล่นเฉพาะแนว ตอนนี้ผมว่าผมไม่อีโก้เลย เวลาเห็นคนที่อีโก้เยอะๆ ผมจะมองว่าอะไรของมึงเนี่ย เป็นเหี้ยอะไรมากเปล่า (หัวเราะ) การมีชื่อเสียงไม่ได้ทำให้ผมเหลิงหรือหลงตัวเองนะ คนละอย่างกันเลย อาจเป็นเพราะผมมาอยู่จุดนี้ตอนนี้ด้วยแหละมั้ง เพราะถ้าอยู่จุดนี้ก่อนหน้านี้ ผมคงเหลิงไปแล้ว เหลิงแน่นอน (หัวเราะ)

   • อนาคตมีความฝันกับเส้นทางตรงนี้อย่างไรบ้างคะ แล้วจะมีผลงานอะไรออกมาอีกบ้างไหม

ตอนนี้ก็มีเพลงสองซิงเกิ้ล จะมีซิงเกิลที่สาม ที่สี่ ตามมาแน่ๆ ครับ อาจจะเป็นอัลบั้มนะครับ ก็มีคุยๆ ไว้บ้างแล้ว ซึ่งตัวผมก็อยากทำนะครับ เพราะผมก็มีเพลงในสต็อกค่อนข้างเยอะ มันมีพร้อมให้ปล่อยอยู่แล้ว ส่วนระยะเวลานี้ ผมคงจะทดลองไปเรื่อยๆ ตอนนี้ที่สังกัดกับค่าย What The Duck ผมโอเคนะ ผมยังแฮปปี้ ผมจะมองแค่ตรงนี้เลยเพราะว่าอนาคตผมยังไม่รู้เลยว่าเราจะทำอะไรดี แล้วมันจะดีอยู่หรือเปล่า ค่อยว่ากัน ผมเอาความสุขเป็นหลัก สุขกับอะไรก็ทำไป ซึ่งตอนนี้ทางค่ายให้เราเขียนเพลงเอง เราก็แฮปปี้ที่สุดแล้ว (ยิ้ม)

   • ท้ายนี้ถ้าคนมีความฝันว่าอยากทำเพลงอยากเป็นนักดนตรีแบบเราบ้าง เราอยากแนะนำเขาอย่างไรบ้างคะ

เริ่มจากการไม่หยุดครับ เขาต้องไม่หยุด เพราะความหมายของคำว่าหยุดก็คือหยุดเลย ถ้าไม่หยุดก็ลองดูว่าดีขึ้นไหม ซึ่งผมเชื่อว่ามันดีขึ้นแน่นอน แต่ไม่หยุดในที่นี้หมายความว่าไม่ใช่ว่าอาทิตย์ละครั้งนะครับ อาทิตย์ละครั้งแล้วจับแบบงูๆ ปลาๆ นานๆ ครั้งเล่น ผมว่ามันก็ไม่น่าใช่ความรัก ซึ่งพูดยาก ต้องไม่หยุด ต้องรักมันจริงๆ ถามตัวเองให้ดีว่าชอบจริงๆ หรือเปล่า ชอบเสียงเพลงจริงๆ หรือเปล่า แค่นั้นจริงๆ ดนตรีมีแค่นี้

แล้วจะบอกว่าไม่ต้องจบมาทางสายดนตรีด้วยซ้ำนะครับ ไม่ต้องคิดแบบนั้นเลย ไปเรียนเถอะ จะเรียนวิศวกรรม ไปเรียนนิติศาสตร์ เรียนหมอ เรียนคณะอะไรไปเรียนเถอะ เรียนได้หมดจริงๆ เพราะมันไม่เกี่ยวกันเลย ดนตรีมันเป็นเรื่องของอารมณ์ไม่ใช่การศึกษา การศึกษามันมีเอาไว้เพื่อไปเรียนแจ๊ส สิ่งที่เราฝึกเองไม่ได้ ถ้าคุณไม่ต้องการเล่นแจ๊ส ไม่ต้องการเล่นบลูเลย คุณก็ไปเรียนอะไรก็ได้ เพราะที่เหลือเป็นเรื่องของการใช้อารมณ์แล้วครับ (ยิ้ม)

 










Profile

ชื่อ : สุชาติ แซ่เห้ง
ชื่อเล่น : ชาติ
วันเกิด : 27 กรกฎาคม 2533
การศึกษา : ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
งานอดิเรก : ดูหนัง
ผลงาน : เพลงการเดินทาง, เพลงแหงน





 

 



เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช

กำลังโหลดความคิดเห็น