อยากสวยอยากหล่อ แต่ก็เละมาเยอะ บางคนศัลย์เยอะจนเลอะเทอะเละเทะ..เชิญดึงสติก่อนเสียสตังค์และหน้าพังไม่เป็นท่า ด้วยข้อคิดจาก “เม้าซ์-ณัณทภัค” “เม้าซ์-ณัณทภัค” ที่ปรึกษาด้านความงามและศัลยกรรมที่คนให้ความไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง ณ ชั่วโมงนี้!

“วงการศัลยกรรม” นอกจากแพทย์แล้ว อาชีพที่ปรึกษาทางด้านความงามก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เพราะอาชีพนี้เปรียบเสมือนแขนขาสำรองให้กับหมอได้ดี “เม้าซ์-ณัณทภัค อุทวิสาร” สาวสวยวัย 27 ปีคนนี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
จากอดีตดีเจชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่ ผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาทางด้านความงามที่คนให้ความไว้วางใจ...พูดไปจะหาว่าโฆษณาช่วย แต่ด้วยระยะเวลากว่า 5-6 ปีที่อยู่ในวงการนี้มา คงการันตีได้ดีระดับหนึ่งถึงความน่าเชื่อถือของเธอที่คน “อยากสวย” และ “อยากศัลย์” ทั้งหลายมอบให้ หลายคนถึงกับยอมเสียตังค์เดินทางไกลข้ามจังหวัดขึ้นไปขอคำแนะนำจากเธอที่เชียงใหม่
เธอมีดีอันใด หรือมีศาสตร์และศิลป์ในการให้คำปรึกษาแบบไหน
จึงทำให้ฮอตฮิตเพียงนี้
...เชิญดึงสติก่อนออกสตาร์ท ก่อนหล่อสวยด้วยศาสตร์แห่งศัลย์
เพราะถ้าพลาดมาแล้ว มันยาก บอกเลย!!

• เป็นที่ปรึกษาด้านความงามที่มีชื่อเสียงมาก จนหลายคนยกตำแหน่งให้เป็นเน็ตไอดอล
จริงๆ เม้าซ์เรียนนิเทศศาสตร์มานะคะ ไม่ตรงกับที่เรียนมาเลย (หัวเราะ) แต่เพราะเป็นคนชอบความสวยความงามมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป แต่เราน่าจะแตกต่างนิดตรงที่เราชอบและเราจริงจัง ไม่ได้แค่ชอบแล้วหยุดไว้แค่นั้น บวกกับโอกาสที่เข้ามาเรื่อยๆ ด้วย เราจึงมาถึงจุดนี้ได้ค่ะ และอีกอย่าง เม้าซ์เป็นคนชอบพูด ถูกพาไปแข่งขันด้านการพูดตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เล่านิทานภาษาอังกฤษ แข่งพูดสุนทรพจน์ พูดวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างที่ใช้การพูด จะแข่งหมดค่ะเมื่อก่อน เหมือนเป็นตัวเก็งของโรงเรียนเลย (หัวเราะ)
พอเริ่มโต สิ่งที่เราตั้งเป้าไว้คืออยากเป็นดีเจ เป็นพิธีกรทีวี เราฝันไว้เลย จะฝึกหน้ากระจกทุกวัน ฝึกจนกระทั่งเคยฝึกแล้วร้องไห้ เพราะจินตนาการว่าถ้าตัวเองทำได้จะภูมิใจแค่ไหน คือเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวเลย พอช่วงมัธยมปลาย ทุกๆ เย็นหลังเลิกเรียน เราจะไปห้างสรรพสินค้าหนึ่งกับเพื่อน ไปสังเกตดู DJ station กลาง Floor ของห้างฯ จัดรายการสดๆ ในห้างพร้อมออกอากาศไปด้วย เรามองพี่ๆ เขาจัดด้วยความรู้สึกว่ามันเท่มาก อยากทำบ้าง
ก็ไปนั่งดูพี่เขาจัดบ่อยๆ ค่ะ แล้วคลื่นนี้สมัยนั้นดังมาก ใครได้เป็นดีเจที่นี่จะเก่งมาก เพราะเขามีมาตรฐานสูงมาก เหมือนยากที่สุดในเชียงใหม่ ไปนั่งดูจนสนิทกับดีเจหลายคน พี่เขาก็แนะนำให้เราลองสมัครดู พอสมัครปรากฎว่าโปรดิวเซอร์ทางรายการไม่สนใจเราค่ะ น่าจะเพราะยังเด็กเกินไป แล้วไม่สวยพอ เราคิดว่าเพราะแบบนั้นนะคะ เพราะเราก็ยังไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เราก็ยังฝึกมาเรื่อยๆ นะ และที่คลื่นนี้เขาจะมีอบรมเด็กที่อยากเป็นดีเจ ในกิจกรรม To be number1 ในสมัยนั้นจะมีกิจกรรมด้านต่างๆ ให้เด็กๆ ได้มาฝึก เต้น ร้อง รำ ซึ่งดีเจก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยค่ะ แต่เม้าซ์ไม่เคยไปนะคะ
จนกระทั่งเริ่มโตขึ้นมาหน่อย เป็นช่วงเข้ามหา’ลัย เรามีโอกาสได้เจอพี่โปรดิวเซอร์คนหนึ่ง พี่เขาเป็นผู้หญิงที่เราปลื้มมาก เพราะเขาเก่ง เป็นพิธีกรที่ดังที่สุดในเชียงใหม่ด้วย ก็มีโอกาสได้คุยกับเขา แล้วเขาก็บอกเราว่าถ้าอยากเป็นดีเจ ให้ลองไปสมัครดูอีกรอบ เราก็เลยลองไป ปรากฎว่าความสามารถเราอาจจะเข้าตาเขาในระดับหนึ่ง เลยได้เข้าเป็นดีเจที่นั่น เริ่มจากตัวสำรอง ยังไม่ได้เป็นตัวจริง เม้าซ์ก็พัฒนาฝึกฝนตัวเองจริงจังมากค่ะ แล้วตอนนั้นคลื่นนั้น ใครเป็นดีเจได้ถือว่าเก่งมาก งานเยอะด้วยค่ะ กลายเป็นว่า การฝึกฝนที่ตั้งใจของเม้าซ์บวกกับความเป็นตัวของตัวเองมันทำให้เราประสบความสำเร็จ เม้าซ์ได้จัดรายการคลื่นนั้นเต็มตัว แล้วอยู่ในช่วงคนฟังเยอะด้วยนะคะ เรตติ้งดี จนหลายคลื่นก็มาชักชวนให้เราไปร่วมงานด้วย
นอกจากนี้แล้ว เรายังฝึกการเป็น MC เป็นพิธีกรด้วย ทำทุกอย่างที่มีโอกาสเข้ามา เคยแม้กระทั่งมาประกวด VJ ที่กรุงเทพฯ แต่คงขาดอะไรหลายอย่าง พอครั้งเดียวไม่ประสบความสำเร็จก็เลิกล้มความตั้งใจไปค่ะ เพราะเราอยู่เชียงใหม่ ถ้าให้ไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ คงไม่ไหว ตอนนั้นเม้าซ์เลยมีอาชีพ DJ พิธีกรเป็นหลักค่ะ ตอนนั้นก็งานเยอะมากนะคะ แต่พอทำมาสักระยะ รู้สึกว่าเริ่มอิ่มตัว เหมือนว่าเราอยากจะก้าวต่อ อยากใช้ความถนัดตัวเองให้เกิดประโยชน์กว่านี้ เม้าซ์เลยตัดสินใจลาออกแล้วหาช่องทางใหม่ๆ ค่ะ
• ช่องทางใหม่ๆ ที่ว่านั้นคืออะไรคะ
มีอยู่ช่วงหนึ่ง พอไม่ได้จัดรายการแล้ว ยอมรับว่าเหงาปากมากนะ (หัวเราะ) เราเลยพยายามคิดว่าจะใช้ความสามารถด้านการพูดให้เกิดประโยชน์ด้านไหนดี แล้วช่วงนั้นเริ่มสนใจเรื่องความสวยความงาม ก็ใช้ประสบการณ์ตัวเองแชร์ให้คนอื่น โดยเริ่มจากการเขียน Blog ปรากฏว่ามีคนสนใจและเข้าใจในสิ่งที่เราเขียนและเข้ามาปรึกษามากขึ้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพนี้ของเม้าซ์
แต่จริงๆ พอเรามาทำอาชีพนี้ เราก็ได้ใช้ทักษะจากอาชีพดีเจนะคะ เพราะเม้าซ์ได้เรียนรู้อะไรจากหลายอย่างจากการเป็นดีเจมาก ไม่ใช่แค่การพูด แต่ยังมีเรื่องของการวางตัว เทคนิคต่างๆ ทุกอย่างที่นักพูดที่ดีควรมี พรสวรรค์อย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องมีพรแสวง คอยหาโอกาสให้ตัวเองได้ใช้ความสามารถของเราไปในทางที่ถูกด้วยค่ะ

• อาชีพที่ปรึกษาด้านความงามมีหน้าที่อะไรบ้างคะ ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยค่ะ
จริงๆ ตอนนี้ คนทำอาชีพนี้กันเยอะมากนะคะ แต่ส่วนมากก็เหมือนรีวิวศัลยกรรมแล้วพาลูกค้าไปทำ ซึ่งแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป แล้วแต่จะทำค่ะ แต่สำหรับเม้าซ์จะเน้นให้คำปรึกษาอย่างเดียวค่ะ จะไม่เจาะจงคลินิก คือเราจะคอยให้คำปรึกษาคนที่เขาต้องการคำปรึกษา ทั้งเรื่องผิวและเรื่องศัลยกกรรม เม้าซ์จะไม่มีคลินิกประจำนะคะ เพราะหน้าที่ของเม้าซ์คือให้คำปรึกษาด้านศัลยกรรมและผิวหน้า ไม่ใช่นักการตลาดหรือเซลส์ หรือประชาสัมพันธ์ของคลินิกไหนค่ะ
จุดประสงค์เม้าซ์คือจะให้คำปรึกษาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ฉะนั้นเม้าซ์จะมองหาหมอที่เก่งๆ หรือคลินิกที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ตลอดเวลาค่ะ ไม่จำเป็นต้องเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง เพราะแต่ละที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน หมอเองก็เหมือนกัน หมอคนหนึ่งไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกอย่าง เม้าซ์จะพยายามหาว่าหมอท่านไหนเก่งด้านไหน คลินิกไหนเด่นด้านไหน เพื่ออัปเดตให้คนที่มาขอคำปรึกษาเรื่อยๆ ค่ะ ส่วนมากพอให้คำปรึกษาเสร็จ เม้าซ์จะให้ลูกค้าไปติดต่อเองมากกว่า เพราะเม้าซ์จะดูแลแค่บางเคส เราจะเลือกเคสที่เราคุยแล้วถูกคอ หรือเวลาตรงกับที่เราว่างมากกว่าค่ะ นอกนั้น เราก็จะแค่ให้คำปรึกษา ส่วนจะทำหรือไม่ทำ หรือจะไปทำที่อื่น ก็สิทธิ์ของลูกค้าเลยค่ะ แต่หลักๆ เม้าซ์จะเน้นที่เชียงใหม่นะคะ เพราะสะดวกกับการที่เม้าซ์จะดูแลด้วยตัวเอง แต่ก็จะมีลูกค้าจังหวัดอื่นๆ อย่างกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ลูกค้าต่างประเทศ ก็จะบินมากันเยอะมากค่ะ แทบทุกวันเลย
• คิดราคาสำหรับการให้คำปรึกษาอย่างไรคะ
ส่วนมากเม้าซ์จะให้คำปรึกษาฟรีนะคะ เราอย่าคาดหวังว่าทุกคนจะต้องมาปรึกษาเราแล้วมาเป็นลูกค้าเราค่ะ เม้าซ์ไม่เคยคิดแบบนั้น ถ้าเราคิดแบบนั้น เราก็ไม่ต่างจากคนขายของ การให้คำปรึกษาเพื่อช่วยเหลือก็จะเปลี่ยนไป มันจะไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่เราวางไว้ตอนแรก เราต้องชัดเจนในเรื่องนี้และทำให้ได้ด้วยค่ะ แต่ถามว่าฟรีทุกเคสไหม ก็ไม่นะคะ ยังไงมันก็ยังเป็นงาน เราต้องมีรายได้กลับมาตอบแทนเราเหมือนกัน ส่วนเรื่องรายได้เม้าซ์ขอไม่พูดแล้วกันนะคะ เพราะมันไม่ได้เยอะอะไรมาก

• แบบนี้เราต้องหาข้อมูลมาจากไหน เช่น ไปทดลองเองแล้วเอามารีวิวหรือมีวิธีการศึกษาหาข้อมูลอย่างไรว่าหมอที่นี่ดีนะหรือที่นั่นเครื่องมือดีนะ
จะบอกว่าวงการหมอแคบนะคะ หมอคนไหนเด่นเรื่องอะไร เป็นยังไง คนวงในจะรู้กันค่ะ อาจจะมาจากคำแนะนำและเม้าซ์จะเป็นคนสานต่อด้วยตัวเองด้วย ส่วนมากที่แนะนำคนอื่นไป จะมาจากประสบการณ์ตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง ประมาณว่าหมอท่านนี้ เราผ่านมือมาแล้ว เราก็รู้ถึงผลงานระดับฝีมือของหมอแล้ว เลยรีวิวออกมาได้ เวลาใครมาปรึกษา เราก็จะตอบคำถามได้ละเอียด เวลาลูกค้าจะไปทำ เขาก็จะเห็นภาพตั้งแต่เริ่มแล้วว่าจะเจออะไร จะเป็นยังไง แม้กระทั่งตอนพักฟื้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง ตอนนี้พอคนรู้จักเราเยอะ หมอเองก็รู้จักเราเยอะ ก็จะมีหลายๆ คลินิกเข้ามาติดต่อเรา เพื่อให้ไปทดลองใช้บ้าง หรือเข้าไปร่วมงานบ้าง อีกทั้งเราก็เริ่มมีความรู้ด้านนี้เยอะมากพอแล้ว เยอะพอที่จะให้คำปรึกษาแทนคุณหมอเองได้ คลินิกไหนเป็นยังไง ใช้เครื่องมือแบบไหน มันทำให้เราคัดสรรได้ง่ายมากขึ้น
• การทำหน้าที่ตรงนี้ เราต้องคำนึงถึงอะไรบ้างคะ เพื่อให้คนที่เข้ามาปรึกษาเขาจะได้มั่นใจ
สิ่งแรกเลยคือต้องทำให้คนที่มาปรึกษาเห็นภาพค่ะ เพราะจริงๆ เขาอาจจะคิดว่าต้องเป็นหมอมากกว่าที่จะให้คำปรึกษาด้านนี้ได้ ต้องเป็นหมอถึงจะน่าเชื่อถือมากกว่า แต่ในมุมกลับกัน ก็มีหลายคนที่เขาบอกว่าเขาคุยกับหมอแล้วเขาไม่เข้าใจ ไม่เห็นภาพ เม้าซ์เลยคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือต้องทำให้เขาเห็นภาพ คือเหมือนว่าเราเป็นหมอ แต่จะเป็นอีกเวอร์ชันเพื่อให้คนธรรมดาอย่างเราฟังแล้วรู้เรื่อง ซึ่งความรู้ก็ต้องใช้จากประสบการณ์และจากที่เราศึกษาเพิ่มเติมค่ะ ทั้งความรู้จากหมอที่เขาเอ็นดูเรา รวมถึงศึกษาจากช่องทางที่เรามีด้วยค่ะ แต่เม้าซ์ว่าความรู้อย่างเดียวไม่พอกับอาชีพนี้นะคะ ต้องใช้เทคนิคเพื่อถ่ายทอดออกมาให้คนเข้าใจด้วย จะว่าเป็นผู้ช่วยหมอก็ได้นะคะ แล้วแต่คนจะมอง (ยิ้ม)

• เรามีการดูแลลูกค้าอย่างไร แล้วมีคุณหมอเป็นที่ปรึกษาอีกต่อหนึ่งไหมคะ
ไม่มีอะไรมากค่ะ เพราะส่วนใหญ่คนจะเข้ามาหา มาปรึกษาเราเอง เราก็มีหน้าที่ไห้คำปรึกษาแล้วแนะนำคลินิกหรือหมอไปค่ะ ลูกค้าจะทำหรือไม่ทำ อยู่ที่การตัดสินใจของเขา ส่วนหมอแต่ละท่าน ส่วนมากก็จะมาจากการแนะนำหรือที่เรารู้จักด้วยโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา จะบอกว่าวงการหมอแคบนะคะ หมอคนนั้นจะรู้จักหมอคนนี้ คนนี้จะแนะนำคนนั้น ใครทำอะไร เป็นยังไง มักจะรู้กันในวงใน
หลักๆ เม้าซ์จะให้คำปรึกษาอย่างเดียวค่ะ ไม่ได้ดูแล เม้าซ์จะบอกลูกค้าก่อนเสมอค่ะว่าเม้าซ์ให้คำปรึกษาได้ แต่ไม่ใช่ว่าต้องไปดูแลรับส่ง เพราะเม้าซ์จะไม่ค่อยชอบทำตรงนั้นด้วย ลูกค้าจะทำหรือไม่ทำ สิทธิ์ของเขาค่ะ อยากทำก็ไปเอง หรือจะให้เม้าซ์เป็นธุระคอยประสานให้ก็ได้ค่ะ เม้าซ์ก็จะแนะนำให้ว่าแบบไหนทำออกมาแล้วจะดี แบบไหนจะเหมาะกับลูกค้า โปรแกรมนี้ที่ไหนถูก ที่ไหนเหมาะกับงบที่ลูกค้าตั้งไว้
ง่ายๆ เลย เราจะทำทุกอย่างให้ตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ ส่วนการปรึกษาหมอ ก็จะมีบ้าง ซึ่งต้องมีอยู่แล้ว เพราะต่อให้เม้าซ์มีความรู้ด้านนี้ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญแบบหมอ เอาไปเทียบกันไม่ได้ ซึ่งเม้าซ์ก็จะมีปรึกษาในกรณีสิ่งใหม่ๆ เคสยากๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ก็จะมีทีมหมอหลายคนคอยช่วยเหลือ ไม่จำเป็นต้องปรึกษาเพื่อส่งให้หมอคนนั้นเสมอไปนะคะ เพราะไม่ว่าจะมีปัญหาจากที่ไหน ทำที่ไหนมา ก็ปรึกษาได้ เขาสบายใจจะคุยกับเรา เราก็ยินดีให้คำปรึกษา เหมือนเราได้ทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันค่ะ เกิดมาชาติหน้าจะได้สวยตั้งแต่เกิด (หัวเราะ)
• ถามว่า อะไรคือจรรยาบรรณของอาชีพนี้คะ
หนึ่งเลย ความจริงใจ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เม้าซ์มีกำลังใจในการทำงานนี้ เพราะมีคนจำนวนมากที่ี่ไม่รู้แล้วมาปรึกษา และเราได้ช่วยเหลือเขา สิ่งที่เราได้กลับมาอย่างแรกคือคำขอบคุณ สิ่งที่ทำให้เม้าซ์ได้คำขอบคุณจากพวกเขา เม้าซ์ว่าเป็นเพราะความจริงใจที่เม้าซ์หยิบยื่นให้เขาก่อน เพราะอะไรดี เม้าซ์ก็จะบอกว่าดี อะไรไม่ดี เม้าซ์ก็จะบอกว่าไม่ดี ลองนึกตามนะคะ ผู้หญิงหลายๆ คนหน้าพัง เพราะไปใช้ครีมในอินเทอร์เน็ตที่เขาโปรโมตกันว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งปลอดภัยจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ เจ้าของแบรนด์ใช้จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่เราก็เข้าใจนะคะว่ามันเป็นเรื่องธุรกิจ บางคนบอกว่าถ้าขายไม่ได้ จะขายทำไม แต่เม้าซ์ยังเชื่อว่าถ้าทำธุรกิจแล้วคำนึงถึงผู้บริโภค ก็ยังทำได้
แต่คนสมัยนี้ไม่ได้คิดแบบนั้นทุกคน เมื่อเป็นแบบนี้ ผู้บริโภคก็ต้องปรับตัวค่ะ เราต้องศึกษา ต้องหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ แต่คนส่วนมากก็ไม่ทำ เชื่ออะไรง่ายๆ เน้นเห็นผลไว พอหน้าพังมานั่งรักษานั่งเศร้า ซึ่งเคยมีมาปรึกษาเม้าซ์เยอะเหมือนกันเคสแบบนี้ เม้าซ์ก็แนะนำสิ่งที่ถูกต้องไป พอเขาดีขึ้น เขาก็กลับมาขอบคุณ เวลาเราแนะนำอะไร เขาอย่าคิดว่าตัวเองเป็นแม่ค้าแล้วต้องการขายของ แต่เราต้องคิดว่าเราจะช่วยเขายังไงหน้าที่เราคือแก้ปัญหาและให้คำปรึกษาคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเราให้เขาก่อน ให้โดยไม่ต้องคาดหวัง วันหนึ่งเราจะได้มากกว่าที่เราให้เขาอีกค่ะ เมื่อถึงเวลาสมควร
การใช้คำพูดก็สำคัญค่ะ พูดให้ดี พูดให้เหมาะสม พูดสิ่งที่สมควรพูด และเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น และคนในอาชีพเดียวกัน ไม่ควรจะกระทบกระทั่งกันหรือดิสเครดิตคนในแวดวงเดียวกันหรือคนละแวดวงก็ตาม เม้าซ์สังเกตเห็นว่ามีน้องๆ หลายคนที่ทำงานด้านนี้ เหมือนส่งลูกค้าให้คลินิกนั้นคลินิกนี้ ก็ดิสเครดิตกันไปมา จู่โจมทุกครั้งที่ทำได้ เหยียบกันทุกครั้งที่มีโอกาส เหมือนพนักงานหน้าคลินิกหลายที่ หว่านล้อมลูกค้าทุกทางที่มีโอกาสเพื่อให้ลูกค้าซื้อแพกเกจที่คลินิกตัวเอง ซึ่งบางทีไม่ได้คำนึงถึงลูกค้าว่าเหมาะสมไหม แถมยังพูดถึงคู่แข่งในทางที่ไม่ดี ซึ่งเม้าซ์ว่าเราอาจจะต้องการลูกค้า แต่ไม่อยากให้ดิสเครดิตคู่แข่งค่ะ เรื่องนี้ใช้ได้กับคนทั่วไปเลยนะคะ ไม่ต้องพูดถึงแค่อาชีพที่เม้าซ์ทำ
อีกอย่างการสร้างความมั่นใจก็สำคัญค่ะ เราต้องทำให้คนอื่นเชื่อถือในตัวเราให้ได้ สิ่งที่จะทำให้คนอื่นมั่นใจในตัวเราคือพูดความจริง พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่พูดกลับกลอก ถ้าเราต้องดูแลลูกค้าจริงๆ ให้ดูแลเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่พอเขาจ่ายเงินให้เรา หรือตกลงมาทำที่เราแนะนำ ตรงนี้จะมีผลประโยชน์หรือไม่มีก็ตาม เราต้องดูแลเขาทั้งก่อนและหลังให้เหมือนกันค่ะ ไม่ใช่ดูแลแค่ก่อนขาย เอาง่ายๆ คือให้เขาได้รับบริการที่ดีทัั้งก่อนและหลังค่ะ (ยิ้ม)

• คิดว่าเพราะอะไร อาชีพที่ปรึกษาด้านความงามนั้นจึงมีความจำเป็น แล้วอาชีพที่ปรึกษาด้านความงามมีความเสี่ยงไหมคะ เสี่ยงอย่างไรบ้าง
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเองค่ะ ทุกคนอยากสวยอยากหล่อ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรที่จะเหมาะกับตัวเอง อะไรดีหรือไม่ดี รู้เพียงแต่ว่าอยากสวย อยากหล่อ แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนจะเหมาะกับตัวเอง ที่ไหนจะดี วางใจได้ เม้าซ์เลยมองว่าการมีที่ปรึกษาก็น่าจะดีกว่าค่ะ
ทุกอาชีพมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงในงานนี้สำหรับเม้าซ์ตามที่เห็นภาพ น่าจะความเสี่ยงในเรื่องการรับความกดดัน การดูแลความรู้สึก และการใช้คำพูดกับลูกค้าค่ะ เพราะคนที่เข้ามาปรึกษาเราต่างก็ชื่นชอบและไว้ใจเรา ถ้าเราตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ลูกค้าก็มีความสุข ถ้าไม่ได้ก็จบ เพราะถึงแม้ว่าลูกค้าจะรู้ว่าการศัลยกรรมมีความเสี่ยงและไม่ได้ออกมาพอใจทุกคน ลูกค้าบางคนก็ไม่ได้จะคุยรู้เรื่องหรือพร้อมเข้าใจเราทุกคนค่ะ เราต้องรอรับมือกับลูกค้าประเภทที่ว่านี้ และอาจจะรวมไปถึงคู่แข่งด้วยค่ะ มันไม่เหมือนการทำธุรกิจหลายๆ ประเภทที่เราอาจจะแจกจ่ายหน้าที่ให้คนอื่นได้ ซึ่งงานที่เม้าซ์ทำ ถ้าเม้าซ์หยุดทำ ก็ไม่มีใครทำแทนได้ เพราะคนที่เข้ามาปรึกษาต่างก็ต้องการพูดคุยกับเม้าซ์ ปรึกษาเม้าซ์โดยตรง ต่อให้เอาคนที่มีความรู้ด้านนี้เหมือนกันมาทำแทน คำพูดก็อาจจะไม่ได้เหมือนกับที่เม้าซ์พูด
• เห็นว่า เอาเข้าจริง เรื่องการดูแลจิตใจของลูกค้าเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงไหม ทั้งก่อน-ระหว่าง และหลังศัลยกรรม
ใช่ค่ะ สำคัญมากๆ เพราะเรื่องศัลยกรรมค่อนข้างละเอียดอ่อน หมอเก่งๆ มีเยอะ แต่ถ้าลูกค้ามีตัวเลือกมากกว่าหนึ่ง เขาจะเลือกที่ที่ตัวเองมั่นใจที่สุด เพราะถ้าพลาดแล้วคือพลาดเลย มันเหมือนเกมวัดดวงค่ะ ลูกค้าจะตั้งความหวังมากทุกครั้งก่อนทำว่า ต้องออกมาดี

• สรุปแล้ว ส่วนตัวเรามองเรื่องการศัลยกรรมอย่างไรบ้างคะ
เม้าซ์เชื่อว่าถ้าเราหน้าตาดี เราจะมั่นใจขึ้นในการทำสิ่งต่างๆ สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้น หากเราใช้ในทางที่ถูก โอกาสมักจะมากกว่าคนอื่น เพราะมันเหมือนเป็นใบเปิดทางให้เรา การศัลยกรรมก็คือการช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้เกิดมาหน้าตาดี ให้ดูดีได้ ส่วนข้อเสียน่าจะอยู่ตรงที่ว่าบางคนเสพมากจนเกินงาม อยากจะทำหมดทุกอย่าง เกินพอดี จนอาจจะถึงขั้นเสพติด ซึ่งบางทีขาดการศึกษาหาข้อมูลที่ดีก่อน จนเกิดปัญหาภายหลัง มีเคสที่ไม่สมหวังกับการทำศัลยกรรมมาปรึกษาเม้าซ์เยอะเหมือนกันนะคะ เพราะมันเป็นธรรมดามาก (ลากเสียงยาว) เพราะต่อให้หมอเก่งแค่ไหน ก็ต้องมีเคสที่ทำออกมาแล้วไม่แฮปปี้ค่ะ
เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า การศัลยกรรมก็เหมือนการวัดดวง แน่นอนว่าเวลาเราจะเลือกศัลยกรรม เราอาจจะคิดว่าเราศึกษามามากพอแล้ว เลือกหมอที่เรามั่นใจที่สุดแล้ว หมอนี้เราต้องทำออกมาแล้วสวย อย่างนั้นอย่างนี้ตามที่เราคิด แต่มันมีโอกาสค่ะที่จะออกมาแล้วไม่สวย หรืออาจจะไม่ตรงตามที่เราต้องการ อย่างเช่น หมอคนหนึ่งต่อให้ดัง ต่อให้เก่ง ทำให้คนนั้นคนนี้สวย ไม่ได้หมายความว่าต้องออกมาสวยทุกคนค่ะ ลูกค้า 100 คนต้องมีบ้างที่เหมือนเคสหลุด สัก 10 เคสก็ว่ากันไป มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เพราะหมอไม่เก่ง แต่มันเกิดขึ้นได้ค่ะ เราต้องทำใจไว้ด้วย จริงๆ หมออยากให้ลูกค้าทุกคนออกมาสวยหมดนะคะ แต่เราต้องคำนึงว่า พื้นฐานเราเท่านี้ น่าจะสวยขึ้นได้แค่ไหน บางคนหน้าเดิมแบบนี้ แต่ต้องการสวยเหมือนดาราเกาหลี แบบนั้นก็ยากนะคะ ลำบากใจทั้งหมอและคนให้คำปรึกษาค่ะ ซึ่งเม้าซ์จะบอกลูกค้าทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้ จะทำอะไร ต้องดูพื้นฐานตัวเองด้วย
เคสที่ไม่สมหวังจากการศัลยกรรมต้องบอกตรงๆ ว่ามีเยอะมากนะ ทั้งที่ทำที่เดียวกับเม้าซ์แล้วไม่สมหวังก็มีค่ะ ทำจากที่อื่นแล้วไม่สมหวังก็มี แต่โดยส่วนมาก เวลาเคสจากที่อื่นมาปรึกษาว่าทำมาจากที่นั่นที่นี่ไม่ดี เม้าซ์จะไม่เชื่อลูกค้า 100 เปอร์เซ็นต์ทันทีนะคะ และจะไม่รับเคสในทันที เพราะบางทีลูกค้าเองก็ผิด หรือถ้าไม่ผิดก็อาจจะมีกรณีที่เป็นเพราะตัวลูกค้ายังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง
บางเคสเอะอะ เวลามาปรึกษาเม้าซ์จะโทษหมออย่างเดียว ซึ่งเม้าซ์ต้องถามและวิเคราะห์ก่อนว่าเคสที่ว่านั้นมีปัญหาแบบนั้นแบบนี้เพราะอะไร เกิดจากอะไรกันแน่ แก้ไขได้ไหม เช่น ยกตัวอย่างเคสจมูกนะคะ ง่ายดี มีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่าอยากแก้จมูก ซึ่งเม้าซ์เห็นว่ามันไม่ได้น่าเกลียดหรือมีปัญหาอะไร แต่ทรงยังไม่สวย เขาก็จะบอกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เม้าซ์ก็รับฟัง ปรากฎว่าที่เขาอยากได้มันเกินพื้นฐานที่เขามี เขามีจมูกอีกทรงแต่อยากได้แบบดาราจีนคนหนึ่งซึ่งเขาก็ต่อว่า ทำกับหมอดังๆ มา 4-5 หมอ แล้วล่าสุดบินไปเกาหลี เสียเงินตั้งเยอะ แต่หมอก็ทำออกมาให้ไม่ดี ซึ่งเม้าซ์ไม่รับเคสนี้นะคะ เพราะเม้าซ์เชื่อว่าถ้าเคสนี้ทำมาหลายครั้งแล้ว หมอแต่ละท่านที่เขาเลือกทำต้องมีฝีมือพอตัว แถมยังบินไปเกาหลีอีก เสียเงินตั้งเยอะ แต่ทำไมยังไม่พอใจ น่าแปลกใจไหม นั่นแสดงว่าเป็นเพราะตัวลูกค้าเองที่ต้องการเกินพื้นฐานที่ตัวเองเป็น เคสแบบนี้เม้าซ์จะไม่รับเลยค่ะ เพราะถึงทำอีกครั้ง เม้าซ์ก็ว่าไม่ดีกับลูกค้าแน่ๆ ไหนเนื้อจมูกจะบาง ไหนจะเสียเงินฟรีอีก
เม้าซ์เคยเจอหลายรูปแบบนะคะ อย่างเคสที่ร้ายแรงและแปลกจนทำให้เม้าซ์ตกใจที่สุดน่าจะมีครั้งหนึ่ง สายที่โทร.เข้ามาอายุราวๆ 40-50 ปี เป็นผู้หญิงมีอายุ เสียงสั่นเทา เขาเล่าให้ฟังว่า ลูกชายเขาเป็นสาวประเภทสองแล้วปลื้มเม้าซ์มาก ทั้งที่ไม่เคยเจอ ติดตามเม้าซ์จากสื่อโซเชียลต่างๆ แล้วฝันไว้ว่าวันหนึ่งจะบินมาหาเม้าซ์เพื่อให้เม้าซ์พาไปทำศัลยกรรม เม้าซ์ต้องทำให้เขาสวยได้ และฝันว่าวันหนึ่ง เขาจะต้องได้เจอเม้าซ์ แต่ระหว่างที่เขาเก็บเงินนั้น เขาก็แอบไปฉีดผิวกับเพื่อนที่เป็นสาวประเภทสองเหมือนกันในคลินิกถูกๆ ปรากฎว่าเหมือนร่างกายต่อต้าน ฉีด Overdose ทำให้ผิว Burn ทั้งตัว จนตอนนี้ต้องนอนอยู่ในห้อง ICU โอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก ซึ่งสิ่งที่น้องเขาพูดกับแม่คือ "หนูเป็นแบบนี้ แล้วพี่เม้าซ์จะดูแลหนูอยู่ไหม?" ตัวคนเป็นแม่เลยไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จักเม้าซ์ เลยขอข้อมูลติดต่อจากเพื่อนๆ เพื่อโทร.หาเม้าซ์ ซึ่งเม้าซ์ฟังแล้วก็ตกใจมากเลยนะคะ ตอนนั้นเม้าซ์กำลังยื่นมือเข้าไปช่วย ปรึกษาหมอหลายท่านเลยและขอข้อมูลน้องเขา ตั้งใจจะบินไปหา แต่อยู่ดีๆ คุณแม่น้องเขาก็เงียบหายไปเลยค่ะ ติดต่อไม่ได้ เม้าซ์เลยไม่รู้เหตุการณ์หลังจากนั้นว่าเป็นยังไงต่อ

• ถ้ามีคนที่ไม่เคยผ่านการทำศัลยกรรมมาก่อน แต่อยากทำและมาขอคำแนะนำจากเรา จะบอกเขาว่าอย่างไรคะ
ก่อนอื่นอยากให้ตอบตัวเองให้ได้ก่อนค่ะว่าจุดไหนที่ทำให้เรากังวลที่สุด แล้วให้ทำตรงนั้นก่อน มีหลายคนส่งรูปตัวเองมาแล้วถามเม้าซ์ว่า "ควรทำอะไรดี?" เม้าซ์จะไม่ตอบคำถามแบบนี้นะคะ เพราะตัวเราเองต้องถามตัวเองก่อนว่าตรงไหนที่กังวลที่สุด ที่ทำให้ขาดความมั่นใจที่สุด เราก็เริ่มจากตรงนั้น แต่ถ้าอยู่ดีๆ มาถามเม้าซ์ว่าทำอะไรดี เม้าซ์ว่ามันไม่ใช่คำถามที่ควรถาม เพราะคนทุกคน จริงๆ แล้วสวยทุกคน แต่สวยในแบบของตัวเอง การศัลยกรรมคือการแก้ไขจุดบกพร่องของเราให้ดูดีขึ้น ถ้าขืนมาปรึกษาเม้าซ์แล้วเม้าซ์บอกต้องทำทั้งหน้า ก็ลำบากเราสิคะ ดีไม่ดีจะหาว่าเม้าซ์พูดจาทำร้ายจิตใจเขาอีก (หัวเราะ)
การศัลยกรรมที่ถูกต้องคือการรักษาความเป็นตัวเอง รักษาเสน่ห์ของเราไว้ แต่ละคนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ ศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องยาก ถามว่าต้องทำอะไร มันทำได้หมด ทำทั้งหน้าก็ยังได้ แต่เรื่องยากของศัลยกรรมที่คนยังเข้าไม่ถึงคือ "มองหาจุดด้อยบนหน้าเราให้เจอและกลบมันให้ได้ และมองหาความเป็นเสน่ห์บนหน้าเราให้เจอ เพื่อเสริมให้มันเด่นขึ้น" นี่คือเสน่ห์ของการศัลยกรรมค่ะ เราลองสังเกตง่ายๆ นะคะ บางคนทำแทบจะทุกอย่างบนหน้า ทุกอย่างจริงๆ แต่เราดูหน้าแล้วกลับรู้สึกว่า ใช่ !! หน้าเป๊ะ ตาสวย ปากสวย จมูกสวย หน้าเรียวก็จริง แต่ทำไมเราดูแล้วเหมือนขาดเสน่ห์ ดูแล้วไม่เห็นว่าสวยหรือน่ารักเลย หรือไม่อย่างนั้น มองแป๊บเดียวก็เบื่อ นั่นเพราะจริงๆ แล้ว เสน่ห์ของการศัลยกรรมคือเราต้องหาจุดเด่น จุดด้อย และเสน่ห์บนหน้าเราให้เจอ ทำอะไรก็ตาม ต้องให้มันออกมาแล้วลงตัว ดูธรรมชาติ ดูดี ดูมีเสน่ห์
อีกอย่างที่อยากฝากเลยก็คือ ถ้าเราคิดจะทำ ถามตัวเองก่อนว่าพร้อมหรือยัง บางคนยังแอนตี้เรื่องการศัลยกรรมอยู่ แต่เม้าซ์ว่าสมัยนี้เขาเปิดกว้างกันแล้วนะคะ ถ้าทำแล้วมันส่งผลกับชีวิตประจำวัน ทำให้เราดีขึ้น เรามั่นใจขึ้น เสริมบุคลิกเราให้ดีขึ้น ทำไปเถอะค่ะ แต่ให้ทำวันที่เราพร้อม พร้อมทั้งสถานะ พร้อมทั้งเวลา และพร้อมทั้งกำลังทรัพย์นะคะ ค่อยๆ ทำ ไม่ต้องรีบ อย่าสนแต่เรื่องราคาถูก เพราะพลาดมาแล้วคือพลาดเลย เราจะเสียใจไปทั้งชีวิต การศัลยกรรม ถ้าเราศึกษาดีๆ ทำแต่พอดี มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดเลยค่ะ (ยิ้ม)
• เพราะยุคนี้เป็นยุคของความสวยความงาม เม้าซ์คิดว่าอาชีพที่ปรึกษาด้านความงาม อนาคตจะบูมมากขึ้นกว่านี้หรือเปล่าคะ
เม้าซ์ว่ามันบูมมาสักพักแล้วนะคะ แต่อาจจะจับต้องไม่ง่ายเหมือนตอนนี้ ในอนาคตเม้าซ์ว่าต่อให้เศรษฐกิจเลวร้ายลง แต่ผู้หญิงยังไงก็ยังไม่หยุดดูแลตัวเองแน่ๆ ค่ะ อาจจะมีอุปสรรคที่มาขวาง ก็แค่กำลังทรัพย์ในกระเป๋าน้อยลง แต่แพื่อความสวย เม้าซ์เชื่อว่าผู้หญิงจะตรากตรำ ขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงานเพื่อแลกมาค่ะ (หัวเราะ)
• ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาด้านความงาม เม้าซ์คิดว่าอาชีพนี้มีความสำคัญต่อวงการแพทย์อย่างไรบ้าง
เม้าซ์ว่าสำคัญนะคะ และเม้าซ์เชื่อว่าไม่ใช่แพทย์ทุกคนที่สื่อสารให้คนธรรมดาอย่างเราเข้าใจได้ และมันคงดี ถ้าอาชีพนี้เป็นส่วนเชื่อมต่อให้คนธรรมดาทั่วไปเข้าถึงความรู้ด้านการแพทย์ได้ค่ะ เพราะจะสื่อสารอะไรกันได้ง่ายขึ้น เพื่ออาชีพแพทย์จะได้ก้าวกระโดดเติบโตยิ่งขึ้นกว่าเดิมค่ะ

เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : อินสตาแกรม arindada.k และ อินสตาแกรม reviewdada
“วงการศัลยกรรม” นอกจากแพทย์แล้ว อาชีพที่ปรึกษาทางด้านความงามก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เพราะอาชีพนี้เปรียบเสมือนแขนขาสำรองให้กับหมอได้ดี “เม้าซ์-ณัณทภัค อุทวิสาร” สาวสวยวัย 27 ปีคนนี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
จากอดีตดีเจชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่ ผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาทางด้านความงามที่คนให้ความไว้วางใจ...พูดไปจะหาว่าโฆษณาช่วย แต่ด้วยระยะเวลากว่า 5-6 ปีที่อยู่ในวงการนี้มา คงการันตีได้ดีระดับหนึ่งถึงความน่าเชื่อถือของเธอที่คน “อยากสวย” และ “อยากศัลย์” ทั้งหลายมอบให้ หลายคนถึงกับยอมเสียตังค์เดินทางไกลข้ามจังหวัดขึ้นไปขอคำแนะนำจากเธอที่เชียงใหม่
เธอมีดีอันใด หรือมีศาสตร์และศิลป์ในการให้คำปรึกษาแบบไหน
จึงทำให้ฮอตฮิตเพียงนี้
...เชิญดึงสติก่อนออกสตาร์ท ก่อนหล่อสวยด้วยศาสตร์แห่งศัลย์
เพราะถ้าพลาดมาแล้ว มันยาก บอกเลย!!
• เป็นที่ปรึกษาด้านความงามที่มีชื่อเสียงมาก จนหลายคนยกตำแหน่งให้เป็นเน็ตไอดอล
จริงๆ เม้าซ์เรียนนิเทศศาสตร์มานะคะ ไม่ตรงกับที่เรียนมาเลย (หัวเราะ) แต่เพราะเป็นคนชอบความสวยความงามมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป แต่เราน่าจะแตกต่างนิดตรงที่เราชอบและเราจริงจัง ไม่ได้แค่ชอบแล้วหยุดไว้แค่นั้น บวกกับโอกาสที่เข้ามาเรื่อยๆ ด้วย เราจึงมาถึงจุดนี้ได้ค่ะ และอีกอย่าง เม้าซ์เป็นคนชอบพูด ถูกพาไปแข่งขันด้านการพูดตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เล่านิทานภาษาอังกฤษ แข่งพูดสุนทรพจน์ พูดวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างที่ใช้การพูด จะแข่งหมดค่ะเมื่อก่อน เหมือนเป็นตัวเก็งของโรงเรียนเลย (หัวเราะ)
พอเริ่มโต สิ่งที่เราตั้งเป้าไว้คืออยากเป็นดีเจ เป็นพิธีกรทีวี เราฝันไว้เลย จะฝึกหน้ากระจกทุกวัน ฝึกจนกระทั่งเคยฝึกแล้วร้องไห้ เพราะจินตนาการว่าถ้าตัวเองทำได้จะภูมิใจแค่ไหน คือเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวเลย พอช่วงมัธยมปลาย ทุกๆ เย็นหลังเลิกเรียน เราจะไปห้างสรรพสินค้าหนึ่งกับเพื่อน ไปสังเกตดู DJ station กลาง Floor ของห้างฯ จัดรายการสดๆ ในห้างพร้อมออกอากาศไปด้วย เรามองพี่ๆ เขาจัดด้วยความรู้สึกว่ามันเท่มาก อยากทำบ้าง
ก็ไปนั่งดูพี่เขาจัดบ่อยๆ ค่ะ แล้วคลื่นนี้สมัยนั้นดังมาก ใครได้เป็นดีเจที่นี่จะเก่งมาก เพราะเขามีมาตรฐานสูงมาก เหมือนยากที่สุดในเชียงใหม่ ไปนั่งดูจนสนิทกับดีเจหลายคน พี่เขาก็แนะนำให้เราลองสมัครดู พอสมัครปรากฎว่าโปรดิวเซอร์ทางรายการไม่สนใจเราค่ะ น่าจะเพราะยังเด็กเกินไป แล้วไม่สวยพอ เราคิดว่าเพราะแบบนั้นนะคะ เพราะเราก็ยังไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เราก็ยังฝึกมาเรื่อยๆ นะ และที่คลื่นนี้เขาจะมีอบรมเด็กที่อยากเป็นดีเจ ในกิจกรรม To be number1 ในสมัยนั้นจะมีกิจกรรมด้านต่างๆ ให้เด็กๆ ได้มาฝึก เต้น ร้อง รำ ซึ่งดีเจก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยค่ะ แต่เม้าซ์ไม่เคยไปนะคะ
จนกระทั่งเริ่มโตขึ้นมาหน่อย เป็นช่วงเข้ามหา’ลัย เรามีโอกาสได้เจอพี่โปรดิวเซอร์คนหนึ่ง พี่เขาเป็นผู้หญิงที่เราปลื้มมาก เพราะเขาเก่ง เป็นพิธีกรที่ดังที่สุดในเชียงใหม่ด้วย ก็มีโอกาสได้คุยกับเขา แล้วเขาก็บอกเราว่าถ้าอยากเป็นดีเจ ให้ลองไปสมัครดูอีกรอบ เราก็เลยลองไป ปรากฎว่าความสามารถเราอาจจะเข้าตาเขาในระดับหนึ่ง เลยได้เข้าเป็นดีเจที่นั่น เริ่มจากตัวสำรอง ยังไม่ได้เป็นตัวจริง เม้าซ์ก็พัฒนาฝึกฝนตัวเองจริงจังมากค่ะ แล้วตอนนั้นคลื่นนั้น ใครเป็นดีเจได้ถือว่าเก่งมาก งานเยอะด้วยค่ะ กลายเป็นว่า การฝึกฝนที่ตั้งใจของเม้าซ์บวกกับความเป็นตัวของตัวเองมันทำให้เราประสบความสำเร็จ เม้าซ์ได้จัดรายการคลื่นนั้นเต็มตัว แล้วอยู่ในช่วงคนฟังเยอะด้วยนะคะ เรตติ้งดี จนหลายคลื่นก็มาชักชวนให้เราไปร่วมงานด้วย
นอกจากนี้แล้ว เรายังฝึกการเป็น MC เป็นพิธีกรด้วย ทำทุกอย่างที่มีโอกาสเข้ามา เคยแม้กระทั่งมาประกวด VJ ที่กรุงเทพฯ แต่คงขาดอะไรหลายอย่าง พอครั้งเดียวไม่ประสบความสำเร็จก็เลิกล้มความตั้งใจไปค่ะ เพราะเราอยู่เชียงใหม่ ถ้าให้ไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ คงไม่ไหว ตอนนั้นเม้าซ์เลยมีอาชีพ DJ พิธีกรเป็นหลักค่ะ ตอนนั้นก็งานเยอะมากนะคะ แต่พอทำมาสักระยะ รู้สึกว่าเริ่มอิ่มตัว เหมือนว่าเราอยากจะก้าวต่อ อยากใช้ความถนัดตัวเองให้เกิดประโยชน์กว่านี้ เม้าซ์เลยตัดสินใจลาออกแล้วหาช่องทางใหม่ๆ ค่ะ
• ช่องทางใหม่ๆ ที่ว่านั้นคืออะไรคะ
มีอยู่ช่วงหนึ่ง พอไม่ได้จัดรายการแล้ว ยอมรับว่าเหงาปากมากนะ (หัวเราะ) เราเลยพยายามคิดว่าจะใช้ความสามารถด้านการพูดให้เกิดประโยชน์ด้านไหนดี แล้วช่วงนั้นเริ่มสนใจเรื่องความสวยความงาม ก็ใช้ประสบการณ์ตัวเองแชร์ให้คนอื่น โดยเริ่มจากการเขียน Blog ปรากฏว่ามีคนสนใจและเข้าใจในสิ่งที่เราเขียนและเข้ามาปรึกษามากขึ้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพนี้ของเม้าซ์
แต่จริงๆ พอเรามาทำอาชีพนี้ เราก็ได้ใช้ทักษะจากอาชีพดีเจนะคะ เพราะเม้าซ์ได้เรียนรู้อะไรจากหลายอย่างจากการเป็นดีเจมาก ไม่ใช่แค่การพูด แต่ยังมีเรื่องของการวางตัว เทคนิคต่างๆ ทุกอย่างที่นักพูดที่ดีควรมี พรสวรรค์อย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องมีพรแสวง คอยหาโอกาสให้ตัวเองได้ใช้ความสามารถของเราไปในทางที่ถูกด้วยค่ะ
• อาชีพที่ปรึกษาด้านความงามมีหน้าที่อะไรบ้างคะ ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยค่ะ
จริงๆ ตอนนี้ คนทำอาชีพนี้กันเยอะมากนะคะ แต่ส่วนมากก็เหมือนรีวิวศัลยกรรมแล้วพาลูกค้าไปทำ ซึ่งแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป แล้วแต่จะทำค่ะ แต่สำหรับเม้าซ์จะเน้นให้คำปรึกษาอย่างเดียวค่ะ จะไม่เจาะจงคลินิก คือเราจะคอยให้คำปรึกษาคนที่เขาต้องการคำปรึกษา ทั้งเรื่องผิวและเรื่องศัลยกกรรม เม้าซ์จะไม่มีคลินิกประจำนะคะ เพราะหน้าที่ของเม้าซ์คือให้คำปรึกษาด้านศัลยกรรมและผิวหน้า ไม่ใช่นักการตลาดหรือเซลส์ หรือประชาสัมพันธ์ของคลินิกไหนค่ะ
จุดประสงค์เม้าซ์คือจะให้คำปรึกษาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ฉะนั้นเม้าซ์จะมองหาหมอที่เก่งๆ หรือคลินิกที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ตลอดเวลาค่ะ ไม่จำเป็นต้องเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง เพราะแต่ละที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน หมอเองก็เหมือนกัน หมอคนหนึ่งไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกอย่าง เม้าซ์จะพยายามหาว่าหมอท่านไหนเก่งด้านไหน คลินิกไหนเด่นด้านไหน เพื่ออัปเดตให้คนที่มาขอคำปรึกษาเรื่อยๆ ค่ะ ส่วนมากพอให้คำปรึกษาเสร็จ เม้าซ์จะให้ลูกค้าไปติดต่อเองมากกว่า เพราะเม้าซ์จะดูแลแค่บางเคส เราจะเลือกเคสที่เราคุยแล้วถูกคอ หรือเวลาตรงกับที่เราว่างมากกว่าค่ะ นอกนั้น เราก็จะแค่ให้คำปรึกษา ส่วนจะทำหรือไม่ทำ หรือจะไปทำที่อื่น ก็สิทธิ์ของลูกค้าเลยค่ะ แต่หลักๆ เม้าซ์จะเน้นที่เชียงใหม่นะคะ เพราะสะดวกกับการที่เม้าซ์จะดูแลด้วยตัวเอง แต่ก็จะมีลูกค้าจังหวัดอื่นๆ อย่างกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ลูกค้าต่างประเทศ ก็จะบินมากันเยอะมากค่ะ แทบทุกวันเลย
• คิดราคาสำหรับการให้คำปรึกษาอย่างไรคะ
ส่วนมากเม้าซ์จะให้คำปรึกษาฟรีนะคะ เราอย่าคาดหวังว่าทุกคนจะต้องมาปรึกษาเราแล้วมาเป็นลูกค้าเราค่ะ เม้าซ์ไม่เคยคิดแบบนั้น ถ้าเราคิดแบบนั้น เราก็ไม่ต่างจากคนขายของ การให้คำปรึกษาเพื่อช่วยเหลือก็จะเปลี่ยนไป มันจะไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่เราวางไว้ตอนแรก เราต้องชัดเจนในเรื่องนี้และทำให้ได้ด้วยค่ะ แต่ถามว่าฟรีทุกเคสไหม ก็ไม่นะคะ ยังไงมันก็ยังเป็นงาน เราต้องมีรายได้กลับมาตอบแทนเราเหมือนกัน ส่วนเรื่องรายได้เม้าซ์ขอไม่พูดแล้วกันนะคะ เพราะมันไม่ได้เยอะอะไรมาก
• แบบนี้เราต้องหาข้อมูลมาจากไหน เช่น ไปทดลองเองแล้วเอามารีวิวหรือมีวิธีการศึกษาหาข้อมูลอย่างไรว่าหมอที่นี่ดีนะหรือที่นั่นเครื่องมือดีนะ
จะบอกว่าวงการหมอแคบนะคะ หมอคนไหนเด่นเรื่องอะไร เป็นยังไง คนวงในจะรู้กันค่ะ อาจจะมาจากคำแนะนำและเม้าซ์จะเป็นคนสานต่อด้วยตัวเองด้วย ส่วนมากที่แนะนำคนอื่นไป จะมาจากประสบการณ์ตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง ประมาณว่าหมอท่านนี้ เราผ่านมือมาแล้ว เราก็รู้ถึงผลงานระดับฝีมือของหมอแล้ว เลยรีวิวออกมาได้ เวลาใครมาปรึกษา เราก็จะตอบคำถามได้ละเอียด เวลาลูกค้าจะไปทำ เขาก็จะเห็นภาพตั้งแต่เริ่มแล้วว่าจะเจออะไร จะเป็นยังไง แม้กระทั่งตอนพักฟื้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง ตอนนี้พอคนรู้จักเราเยอะ หมอเองก็รู้จักเราเยอะ ก็จะมีหลายๆ คลินิกเข้ามาติดต่อเรา เพื่อให้ไปทดลองใช้บ้าง หรือเข้าไปร่วมงานบ้าง อีกทั้งเราก็เริ่มมีความรู้ด้านนี้เยอะมากพอแล้ว เยอะพอที่จะให้คำปรึกษาแทนคุณหมอเองได้ คลินิกไหนเป็นยังไง ใช้เครื่องมือแบบไหน มันทำให้เราคัดสรรได้ง่ายมากขึ้น
• การทำหน้าที่ตรงนี้ เราต้องคำนึงถึงอะไรบ้างคะ เพื่อให้คนที่เข้ามาปรึกษาเขาจะได้มั่นใจ
สิ่งแรกเลยคือต้องทำให้คนที่มาปรึกษาเห็นภาพค่ะ เพราะจริงๆ เขาอาจจะคิดว่าต้องเป็นหมอมากกว่าที่จะให้คำปรึกษาด้านนี้ได้ ต้องเป็นหมอถึงจะน่าเชื่อถือมากกว่า แต่ในมุมกลับกัน ก็มีหลายคนที่เขาบอกว่าเขาคุยกับหมอแล้วเขาไม่เข้าใจ ไม่เห็นภาพ เม้าซ์เลยคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือต้องทำให้เขาเห็นภาพ คือเหมือนว่าเราเป็นหมอ แต่จะเป็นอีกเวอร์ชันเพื่อให้คนธรรมดาอย่างเราฟังแล้วรู้เรื่อง ซึ่งความรู้ก็ต้องใช้จากประสบการณ์และจากที่เราศึกษาเพิ่มเติมค่ะ ทั้งความรู้จากหมอที่เขาเอ็นดูเรา รวมถึงศึกษาจากช่องทางที่เรามีด้วยค่ะ แต่เม้าซ์ว่าความรู้อย่างเดียวไม่พอกับอาชีพนี้นะคะ ต้องใช้เทคนิคเพื่อถ่ายทอดออกมาให้คนเข้าใจด้วย จะว่าเป็นผู้ช่วยหมอก็ได้นะคะ แล้วแต่คนจะมอง (ยิ้ม)
• เรามีการดูแลลูกค้าอย่างไร แล้วมีคุณหมอเป็นที่ปรึกษาอีกต่อหนึ่งไหมคะ
ไม่มีอะไรมากค่ะ เพราะส่วนใหญ่คนจะเข้ามาหา มาปรึกษาเราเอง เราก็มีหน้าที่ไห้คำปรึกษาแล้วแนะนำคลินิกหรือหมอไปค่ะ ลูกค้าจะทำหรือไม่ทำ อยู่ที่การตัดสินใจของเขา ส่วนหมอแต่ละท่าน ส่วนมากก็จะมาจากการแนะนำหรือที่เรารู้จักด้วยโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา จะบอกว่าวงการหมอแคบนะคะ หมอคนนั้นจะรู้จักหมอคนนี้ คนนี้จะแนะนำคนนั้น ใครทำอะไร เป็นยังไง มักจะรู้กันในวงใน
หลักๆ เม้าซ์จะให้คำปรึกษาอย่างเดียวค่ะ ไม่ได้ดูแล เม้าซ์จะบอกลูกค้าก่อนเสมอค่ะว่าเม้าซ์ให้คำปรึกษาได้ แต่ไม่ใช่ว่าต้องไปดูแลรับส่ง เพราะเม้าซ์จะไม่ค่อยชอบทำตรงนั้นด้วย ลูกค้าจะทำหรือไม่ทำ สิทธิ์ของเขาค่ะ อยากทำก็ไปเอง หรือจะให้เม้าซ์เป็นธุระคอยประสานให้ก็ได้ค่ะ เม้าซ์ก็จะแนะนำให้ว่าแบบไหนทำออกมาแล้วจะดี แบบไหนจะเหมาะกับลูกค้า โปรแกรมนี้ที่ไหนถูก ที่ไหนเหมาะกับงบที่ลูกค้าตั้งไว้
ง่ายๆ เลย เราจะทำทุกอย่างให้ตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ ส่วนการปรึกษาหมอ ก็จะมีบ้าง ซึ่งต้องมีอยู่แล้ว เพราะต่อให้เม้าซ์มีความรู้ด้านนี้ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญแบบหมอ เอาไปเทียบกันไม่ได้ ซึ่งเม้าซ์ก็จะมีปรึกษาในกรณีสิ่งใหม่ๆ เคสยากๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ก็จะมีทีมหมอหลายคนคอยช่วยเหลือ ไม่จำเป็นต้องปรึกษาเพื่อส่งให้หมอคนนั้นเสมอไปนะคะ เพราะไม่ว่าจะมีปัญหาจากที่ไหน ทำที่ไหนมา ก็ปรึกษาได้ เขาสบายใจจะคุยกับเรา เราก็ยินดีให้คำปรึกษา เหมือนเราได้ทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันค่ะ เกิดมาชาติหน้าจะได้สวยตั้งแต่เกิด (หัวเราะ)
• ถามว่า อะไรคือจรรยาบรรณของอาชีพนี้คะ
หนึ่งเลย ความจริงใจ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เม้าซ์มีกำลังใจในการทำงานนี้ เพราะมีคนจำนวนมากที่ี่ไม่รู้แล้วมาปรึกษา และเราได้ช่วยเหลือเขา สิ่งที่เราได้กลับมาอย่างแรกคือคำขอบคุณ สิ่งที่ทำให้เม้าซ์ได้คำขอบคุณจากพวกเขา เม้าซ์ว่าเป็นเพราะความจริงใจที่เม้าซ์หยิบยื่นให้เขาก่อน เพราะอะไรดี เม้าซ์ก็จะบอกว่าดี อะไรไม่ดี เม้าซ์ก็จะบอกว่าไม่ดี ลองนึกตามนะคะ ผู้หญิงหลายๆ คนหน้าพัง เพราะไปใช้ครีมในอินเทอร์เน็ตที่เขาโปรโมตกันว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งปลอดภัยจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ เจ้าของแบรนด์ใช้จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่เราก็เข้าใจนะคะว่ามันเป็นเรื่องธุรกิจ บางคนบอกว่าถ้าขายไม่ได้ จะขายทำไม แต่เม้าซ์ยังเชื่อว่าถ้าทำธุรกิจแล้วคำนึงถึงผู้บริโภค ก็ยังทำได้
แต่คนสมัยนี้ไม่ได้คิดแบบนั้นทุกคน เมื่อเป็นแบบนี้ ผู้บริโภคก็ต้องปรับตัวค่ะ เราต้องศึกษา ต้องหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ แต่คนส่วนมากก็ไม่ทำ เชื่ออะไรง่ายๆ เน้นเห็นผลไว พอหน้าพังมานั่งรักษานั่งเศร้า ซึ่งเคยมีมาปรึกษาเม้าซ์เยอะเหมือนกันเคสแบบนี้ เม้าซ์ก็แนะนำสิ่งที่ถูกต้องไป พอเขาดีขึ้น เขาก็กลับมาขอบคุณ เวลาเราแนะนำอะไร เขาอย่าคิดว่าตัวเองเป็นแม่ค้าแล้วต้องการขายของ แต่เราต้องคิดว่าเราจะช่วยเขายังไงหน้าที่เราคือแก้ปัญหาและให้คำปรึกษาคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเราให้เขาก่อน ให้โดยไม่ต้องคาดหวัง วันหนึ่งเราจะได้มากกว่าที่เราให้เขาอีกค่ะ เมื่อถึงเวลาสมควร
การใช้คำพูดก็สำคัญค่ะ พูดให้ดี พูดให้เหมาะสม พูดสิ่งที่สมควรพูด และเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น และคนในอาชีพเดียวกัน ไม่ควรจะกระทบกระทั่งกันหรือดิสเครดิตคนในแวดวงเดียวกันหรือคนละแวดวงก็ตาม เม้าซ์สังเกตเห็นว่ามีน้องๆ หลายคนที่ทำงานด้านนี้ เหมือนส่งลูกค้าให้คลินิกนั้นคลินิกนี้ ก็ดิสเครดิตกันไปมา จู่โจมทุกครั้งที่ทำได้ เหยียบกันทุกครั้งที่มีโอกาส เหมือนพนักงานหน้าคลินิกหลายที่ หว่านล้อมลูกค้าทุกทางที่มีโอกาสเพื่อให้ลูกค้าซื้อแพกเกจที่คลินิกตัวเอง ซึ่งบางทีไม่ได้คำนึงถึงลูกค้าว่าเหมาะสมไหม แถมยังพูดถึงคู่แข่งในทางที่ไม่ดี ซึ่งเม้าซ์ว่าเราอาจจะต้องการลูกค้า แต่ไม่อยากให้ดิสเครดิตคู่แข่งค่ะ เรื่องนี้ใช้ได้กับคนทั่วไปเลยนะคะ ไม่ต้องพูดถึงแค่อาชีพที่เม้าซ์ทำ
อีกอย่างการสร้างความมั่นใจก็สำคัญค่ะ เราต้องทำให้คนอื่นเชื่อถือในตัวเราให้ได้ สิ่งที่จะทำให้คนอื่นมั่นใจในตัวเราคือพูดความจริง พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่พูดกลับกลอก ถ้าเราต้องดูแลลูกค้าจริงๆ ให้ดูแลเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่พอเขาจ่ายเงินให้เรา หรือตกลงมาทำที่เราแนะนำ ตรงนี้จะมีผลประโยชน์หรือไม่มีก็ตาม เราต้องดูแลเขาทั้งก่อนและหลังให้เหมือนกันค่ะ ไม่ใช่ดูแลแค่ก่อนขาย เอาง่ายๆ คือให้เขาได้รับบริการที่ดีทัั้งก่อนและหลังค่ะ (ยิ้ม)
• คิดว่าเพราะอะไร อาชีพที่ปรึกษาด้านความงามนั้นจึงมีความจำเป็น แล้วอาชีพที่ปรึกษาด้านความงามมีความเสี่ยงไหมคะ เสี่ยงอย่างไรบ้าง
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเองค่ะ ทุกคนอยากสวยอยากหล่อ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรที่จะเหมาะกับตัวเอง อะไรดีหรือไม่ดี รู้เพียงแต่ว่าอยากสวย อยากหล่อ แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนจะเหมาะกับตัวเอง ที่ไหนจะดี วางใจได้ เม้าซ์เลยมองว่าการมีที่ปรึกษาก็น่าจะดีกว่าค่ะ
ทุกอาชีพมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงในงานนี้สำหรับเม้าซ์ตามที่เห็นภาพ น่าจะความเสี่ยงในเรื่องการรับความกดดัน การดูแลความรู้สึก และการใช้คำพูดกับลูกค้าค่ะ เพราะคนที่เข้ามาปรึกษาเราต่างก็ชื่นชอบและไว้ใจเรา ถ้าเราตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ลูกค้าก็มีความสุข ถ้าไม่ได้ก็จบ เพราะถึงแม้ว่าลูกค้าจะรู้ว่าการศัลยกรรมมีความเสี่ยงและไม่ได้ออกมาพอใจทุกคน ลูกค้าบางคนก็ไม่ได้จะคุยรู้เรื่องหรือพร้อมเข้าใจเราทุกคนค่ะ เราต้องรอรับมือกับลูกค้าประเภทที่ว่านี้ และอาจจะรวมไปถึงคู่แข่งด้วยค่ะ มันไม่เหมือนการทำธุรกิจหลายๆ ประเภทที่เราอาจจะแจกจ่ายหน้าที่ให้คนอื่นได้ ซึ่งงานที่เม้าซ์ทำ ถ้าเม้าซ์หยุดทำ ก็ไม่มีใครทำแทนได้ เพราะคนที่เข้ามาปรึกษาต่างก็ต้องการพูดคุยกับเม้าซ์ ปรึกษาเม้าซ์โดยตรง ต่อให้เอาคนที่มีความรู้ด้านนี้เหมือนกันมาทำแทน คำพูดก็อาจจะไม่ได้เหมือนกับที่เม้าซ์พูด
• เห็นว่า เอาเข้าจริง เรื่องการดูแลจิตใจของลูกค้าเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงไหม ทั้งก่อน-ระหว่าง และหลังศัลยกรรม
ใช่ค่ะ สำคัญมากๆ เพราะเรื่องศัลยกรรมค่อนข้างละเอียดอ่อน หมอเก่งๆ มีเยอะ แต่ถ้าลูกค้ามีตัวเลือกมากกว่าหนึ่ง เขาจะเลือกที่ที่ตัวเองมั่นใจที่สุด เพราะถ้าพลาดแล้วคือพลาดเลย มันเหมือนเกมวัดดวงค่ะ ลูกค้าจะตั้งความหวังมากทุกครั้งก่อนทำว่า ต้องออกมาดี
• สรุปแล้ว ส่วนตัวเรามองเรื่องการศัลยกรรมอย่างไรบ้างคะ
เม้าซ์เชื่อว่าถ้าเราหน้าตาดี เราจะมั่นใจขึ้นในการทำสิ่งต่างๆ สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้น หากเราใช้ในทางที่ถูก โอกาสมักจะมากกว่าคนอื่น เพราะมันเหมือนเป็นใบเปิดทางให้เรา การศัลยกรรมก็คือการช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้เกิดมาหน้าตาดี ให้ดูดีได้ ส่วนข้อเสียน่าจะอยู่ตรงที่ว่าบางคนเสพมากจนเกินงาม อยากจะทำหมดทุกอย่าง เกินพอดี จนอาจจะถึงขั้นเสพติด ซึ่งบางทีขาดการศึกษาหาข้อมูลที่ดีก่อน จนเกิดปัญหาภายหลัง มีเคสที่ไม่สมหวังกับการทำศัลยกรรมมาปรึกษาเม้าซ์เยอะเหมือนกันนะคะ เพราะมันเป็นธรรมดามาก (ลากเสียงยาว) เพราะต่อให้หมอเก่งแค่ไหน ก็ต้องมีเคสที่ทำออกมาแล้วไม่แฮปปี้ค่ะ
เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า การศัลยกรรมก็เหมือนการวัดดวง แน่นอนว่าเวลาเราจะเลือกศัลยกรรม เราอาจจะคิดว่าเราศึกษามามากพอแล้ว เลือกหมอที่เรามั่นใจที่สุดแล้ว หมอนี้เราต้องทำออกมาแล้วสวย อย่างนั้นอย่างนี้ตามที่เราคิด แต่มันมีโอกาสค่ะที่จะออกมาแล้วไม่สวย หรืออาจจะไม่ตรงตามที่เราต้องการ อย่างเช่น หมอคนหนึ่งต่อให้ดัง ต่อให้เก่ง ทำให้คนนั้นคนนี้สวย ไม่ได้หมายความว่าต้องออกมาสวยทุกคนค่ะ ลูกค้า 100 คนต้องมีบ้างที่เหมือนเคสหลุด สัก 10 เคสก็ว่ากันไป มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เพราะหมอไม่เก่ง แต่มันเกิดขึ้นได้ค่ะ เราต้องทำใจไว้ด้วย จริงๆ หมออยากให้ลูกค้าทุกคนออกมาสวยหมดนะคะ แต่เราต้องคำนึงว่า พื้นฐานเราเท่านี้ น่าจะสวยขึ้นได้แค่ไหน บางคนหน้าเดิมแบบนี้ แต่ต้องการสวยเหมือนดาราเกาหลี แบบนั้นก็ยากนะคะ ลำบากใจทั้งหมอและคนให้คำปรึกษาค่ะ ซึ่งเม้าซ์จะบอกลูกค้าทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้ จะทำอะไร ต้องดูพื้นฐานตัวเองด้วย
เคสที่ไม่สมหวังจากการศัลยกรรมต้องบอกตรงๆ ว่ามีเยอะมากนะ ทั้งที่ทำที่เดียวกับเม้าซ์แล้วไม่สมหวังก็มีค่ะ ทำจากที่อื่นแล้วไม่สมหวังก็มี แต่โดยส่วนมาก เวลาเคสจากที่อื่นมาปรึกษาว่าทำมาจากที่นั่นที่นี่ไม่ดี เม้าซ์จะไม่เชื่อลูกค้า 100 เปอร์เซ็นต์ทันทีนะคะ และจะไม่รับเคสในทันที เพราะบางทีลูกค้าเองก็ผิด หรือถ้าไม่ผิดก็อาจจะมีกรณีที่เป็นเพราะตัวลูกค้ายังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง
บางเคสเอะอะ เวลามาปรึกษาเม้าซ์จะโทษหมออย่างเดียว ซึ่งเม้าซ์ต้องถามและวิเคราะห์ก่อนว่าเคสที่ว่านั้นมีปัญหาแบบนั้นแบบนี้เพราะอะไร เกิดจากอะไรกันแน่ แก้ไขได้ไหม เช่น ยกตัวอย่างเคสจมูกนะคะ ง่ายดี มีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่าอยากแก้จมูก ซึ่งเม้าซ์เห็นว่ามันไม่ได้น่าเกลียดหรือมีปัญหาอะไร แต่ทรงยังไม่สวย เขาก็จะบอกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เม้าซ์ก็รับฟัง ปรากฎว่าที่เขาอยากได้มันเกินพื้นฐานที่เขามี เขามีจมูกอีกทรงแต่อยากได้แบบดาราจีนคนหนึ่งซึ่งเขาก็ต่อว่า ทำกับหมอดังๆ มา 4-5 หมอ แล้วล่าสุดบินไปเกาหลี เสียเงินตั้งเยอะ แต่หมอก็ทำออกมาให้ไม่ดี ซึ่งเม้าซ์ไม่รับเคสนี้นะคะ เพราะเม้าซ์เชื่อว่าถ้าเคสนี้ทำมาหลายครั้งแล้ว หมอแต่ละท่านที่เขาเลือกทำต้องมีฝีมือพอตัว แถมยังบินไปเกาหลีอีก เสียเงินตั้งเยอะ แต่ทำไมยังไม่พอใจ น่าแปลกใจไหม นั่นแสดงว่าเป็นเพราะตัวลูกค้าเองที่ต้องการเกินพื้นฐานที่ตัวเองเป็น เคสแบบนี้เม้าซ์จะไม่รับเลยค่ะ เพราะถึงทำอีกครั้ง เม้าซ์ก็ว่าไม่ดีกับลูกค้าแน่ๆ ไหนเนื้อจมูกจะบาง ไหนจะเสียเงินฟรีอีก
เม้าซ์เคยเจอหลายรูปแบบนะคะ อย่างเคสที่ร้ายแรงและแปลกจนทำให้เม้าซ์ตกใจที่สุดน่าจะมีครั้งหนึ่ง สายที่โทร.เข้ามาอายุราวๆ 40-50 ปี เป็นผู้หญิงมีอายุ เสียงสั่นเทา เขาเล่าให้ฟังว่า ลูกชายเขาเป็นสาวประเภทสองแล้วปลื้มเม้าซ์มาก ทั้งที่ไม่เคยเจอ ติดตามเม้าซ์จากสื่อโซเชียลต่างๆ แล้วฝันไว้ว่าวันหนึ่งจะบินมาหาเม้าซ์เพื่อให้เม้าซ์พาไปทำศัลยกรรม เม้าซ์ต้องทำให้เขาสวยได้ และฝันว่าวันหนึ่ง เขาจะต้องได้เจอเม้าซ์ แต่ระหว่างที่เขาเก็บเงินนั้น เขาก็แอบไปฉีดผิวกับเพื่อนที่เป็นสาวประเภทสองเหมือนกันในคลินิกถูกๆ ปรากฎว่าเหมือนร่างกายต่อต้าน ฉีด Overdose ทำให้ผิว Burn ทั้งตัว จนตอนนี้ต้องนอนอยู่ในห้อง ICU โอกาสรอดชีวิตมีน้อยมาก ซึ่งสิ่งที่น้องเขาพูดกับแม่คือ "หนูเป็นแบบนี้ แล้วพี่เม้าซ์จะดูแลหนูอยู่ไหม?" ตัวคนเป็นแม่เลยไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จักเม้าซ์ เลยขอข้อมูลติดต่อจากเพื่อนๆ เพื่อโทร.หาเม้าซ์ ซึ่งเม้าซ์ฟังแล้วก็ตกใจมากเลยนะคะ ตอนนั้นเม้าซ์กำลังยื่นมือเข้าไปช่วย ปรึกษาหมอหลายท่านเลยและขอข้อมูลน้องเขา ตั้งใจจะบินไปหา แต่อยู่ดีๆ คุณแม่น้องเขาก็เงียบหายไปเลยค่ะ ติดต่อไม่ได้ เม้าซ์เลยไม่รู้เหตุการณ์หลังจากนั้นว่าเป็นยังไงต่อ
• ถ้ามีคนที่ไม่เคยผ่านการทำศัลยกรรมมาก่อน แต่อยากทำและมาขอคำแนะนำจากเรา จะบอกเขาว่าอย่างไรคะ
ก่อนอื่นอยากให้ตอบตัวเองให้ได้ก่อนค่ะว่าจุดไหนที่ทำให้เรากังวลที่สุด แล้วให้ทำตรงนั้นก่อน มีหลายคนส่งรูปตัวเองมาแล้วถามเม้าซ์ว่า "ควรทำอะไรดี?" เม้าซ์จะไม่ตอบคำถามแบบนี้นะคะ เพราะตัวเราเองต้องถามตัวเองก่อนว่าตรงไหนที่กังวลที่สุด ที่ทำให้ขาดความมั่นใจที่สุด เราก็เริ่มจากตรงนั้น แต่ถ้าอยู่ดีๆ มาถามเม้าซ์ว่าทำอะไรดี เม้าซ์ว่ามันไม่ใช่คำถามที่ควรถาม เพราะคนทุกคน จริงๆ แล้วสวยทุกคน แต่สวยในแบบของตัวเอง การศัลยกรรมคือการแก้ไขจุดบกพร่องของเราให้ดูดีขึ้น ถ้าขืนมาปรึกษาเม้าซ์แล้วเม้าซ์บอกต้องทำทั้งหน้า ก็ลำบากเราสิคะ ดีไม่ดีจะหาว่าเม้าซ์พูดจาทำร้ายจิตใจเขาอีก (หัวเราะ)
การศัลยกรรมที่ถูกต้องคือการรักษาความเป็นตัวเอง รักษาเสน่ห์ของเราไว้ แต่ละคนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ ศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องยาก ถามว่าต้องทำอะไร มันทำได้หมด ทำทั้งหน้าก็ยังได้ แต่เรื่องยากของศัลยกรรมที่คนยังเข้าไม่ถึงคือ "มองหาจุดด้อยบนหน้าเราให้เจอและกลบมันให้ได้ และมองหาความเป็นเสน่ห์บนหน้าเราให้เจอ เพื่อเสริมให้มันเด่นขึ้น" นี่คือเสน่ห์ของการศัลยกรรมค่ะ เราลองสังเกตง่ายๆ นะคะ บางคนทำแทบจะทุกอย่างบนหน้า ทุกอย่างจริงๆ แต่เราดูหน้าแล้วกลับรู้สึกว่า ใช่ !! หน้าเป๊ะ ตาสวย ปากสวย จมูกสวย หน้าเรียวก็จริง แต่ทำไมเราดูแล้วเหมือนขาดเสน่ห์ ดูแล้วไม่เห็นว่าสวยหรือน่ารักเลย หรือไม่อย่างนั้น มองแป๊บเดียวก็เบื่อ นั่นเพราะจริงๆ แล้ว เสน่ห์ของการศัลยกรรมคือเราต้องหาจุดเด่น จุดด้อย และเสน่ห์บนหน้าเราให้เจอ ทำอะไรก็ตาม ต้องให้มันออกมาแล้วลงตัว ดูธรรมชาติ ดูดี ดูมีเสน่ห์
อีกอย่างที่อยากฝากเลยก็คือ ถ้าเราคิดจะทำ ถามตัวเองก่อนว่าพร้อมหรือยัง บางคนยังแอนตี้เรื่องการศัลยกรรมอยู่ แต่เม้าซ์ว่าสมัยนี้เขาเปิดกว้างกันแล้วนะคะ ถ้าทำแล้วมันส่งผลกับชีวิตประจำวัน ทำให้เราดีขึ้น เรามั่นใจขึ้น เสริมบุคลิกเราให้ดีขึ้น ทำไปเถอะค่ะ แต่ให้ทำวันที่เราพร้อม พร้อมทั้งสถานะ พร้อมทั้งเวลา และพร้อมทั้งกำลังทรัพย์นะคะ ค่อยๆ ทำ ไม่ต้องรีบ อย่าสนแต่เรื่องราคาถูก เพราะพลาดมาแล้วคือพลาดเลย เราจะเสียใจไปทั้งชีวิต การศัลยกรรม ถ้าเราศึกษาดีๆ ทำแต่พอดี มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดเลยค่ะ (ยิ้ม)
• เพราะยุคนี้เป็นยุคของความสวยความงาม เม้าซ์คิดว่าอาชีพที่ปรึกษาด้านความงาม อนาคตจะบูมมากขึ้นกว่านี้หรือเปล่าคะ
เม้าซ์ว่ามันบูมมาสักพักแล้วนะคะ แต่อาจจะจับต้องไม่ง่ายเหมือนตอนนี้ ในอนาคตเม้าซ์ว่าต่อให้เศรษฐกิจเลวร้ายลง แต่ผู้หญิงยังไงก็ยังไม่หยุดดูแลตัวเองแน่ๆ ค่ะ อาจจะมีอุปสรรคที่มาขวาง ก็แค่กำลังทรัพย์ในกระเป๋าน้อยลง แต่แพื่อความสวย เม้าซ์เชื่อว่าผู้หญิงจะตรากตรำ ขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงานเพื่อแลกมาค่ะ (หัวเราะ)
• ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาด้านความงาม เม้าซ์คิดว่าอาชีพนี้มีความสำคัญต่อวงการแพทย์อย่างไรบ้าง
เม้าซ์ว่าสำคัญนะคะ และเม้าซ์เชื่อว่าไม่ใช่แพทย์ทุกคนที่สื่อสารให้คนธรรมดาอย่างเราเข้าใจได้ และมันคงดี ถ้าอาชีพนี้เป็นส่วนเชื่อมต่อให้คนธรรมดาทั่วไปเข้าถึงความรู้ด้านการแพทย์ได้ค่ะ เพราะจะสื่อสารอะไรกันได้ง่ายขึ้น เพื่ออาชีพแพทย์จะได้ก้าวกระโดดเติบโตยิ่งขึ้นกว่าเดิมค่ะ
Profile ชื่อ สกุล : ณัณทภัค อุทวิสาร ชื่อเล่น : เม้าซ์ วันเกิด : 21 สิงหาคม 2531 อายุ : 27 ปี การศึกษา : ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ อาชีพ : ธุรกิจส่วนตัว |
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : อินสตาแกรม arindada.k และ อินสตาแกรม reviewdada