ตัด-สระ ผมฟรี! พร้อมทั้งดูแลตั้งแต่ภายนอกร่างกายไปจนใจภายใน ชนิดไม่สนว่าใกล้หรือไกล แต่ง-เสริม ใบหน้าฟรี! ไม่เว้นกระทั่ง “อยู่” มีลมหายใจ หรือ “ตายจาก” เหลือแต่สังขาร
เปิดตัวตนความคิด ช่างตัดผมวัยกลางคน แห่งร้านชิควันแอนด์โอนลี่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ “กอล์ฟฟี่-ฤชวีพัฒน์ จิราวัฒน์มงคล” นามกรที่อยู่ในใจของผู้ทุกข์ยาก ที่พ้นมาจากความเกเร อดีตหนุ่มผู้ผิดหวังจากความรักจนชีวิตล้มแทบพังพาบ เคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย ก่อนพบสัจธรรมชีวิตท่ามกลางคมกรรไกรและปัตตาเลี่ยน แจกจ่ายความรักแก่ผู้คนที่พบเจอ ช่วยเหลือสังคมแก่คนจร ผู้ป่วยพิการ คนชรา เป็นระยะเวลากว่า 7 ปี จนปัจจุบัน...
เปิดชีวิตอดีตคนสูญหัวใจ
สู่แฮร์สไตล์ลิสต์ผู้แจกจ่าย "รัก"
“จริงๆ ต้องขอบคุณคุณแม่ เพราะท่านทำให้เราเป็นเราได้ในทุกวันนี้”
แฮร์สไตล์ลิสต์เริ่มต้นสนทนาถึงเหตุผลต้นแบบที่ทำให้จากเด็กเกกมะเหรกเกเร ใช้ชีวิตหลงผิดจนเกือบติดตะราง เคยอาฆาตมาดร้ายคนที่แยงพรากคนรัก กลับตัวกลับใจกลายมาเป็นช่างตัดผมผู้มีจิตอาสาออกช่วยเหลือคนด้อยโอกาสแทบทั่วประเทศมากกว่า 6 ปี จนถึงตอนนี้
“ผมเกิดและเติบโตที่โคราช อำเภอปากช่อง ในครอบครัวที่ยากจน แต่คุณแม่ก็มักจะปลูกฝังให้เราทำบุญตั้งแต่เด็กๆ โดยการที่ว่าบ้านเราอยู่ติดกับวัด คุณแม่ท่านก็จะห่อข้าวใส่ปิ่นโตให้เรานำไปถวายพระ ก่อนไปโรงเรียนทุกวัน ตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อน เราก็จะบวชเณรแทบทุกปี แต่ด้วยความที่สภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ ไม่ต่างจากชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ หรือเพิงพักแคมป์คนงาน เราก็จะได้เห็นทั้งยาบ้า ยาเสพติด การกินเหล้าเมายา การทะเลาะเบาะแว้ง เราก็เลยจะเกเรบ้างตามประสา ก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งชีวิตผ่านมาได้โดยไม่ติดคุกติดตาราง เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นประมาณมัธยมต้น ม.3 วัยหัวเลี้ยวหัวต่อหรือวัยหัวเลี้ยวหัวแตก”
แต่ถึงแม้จะเกเรไปบ้าง ทว่าด้วยความใฝ่ดี ไม่เคยทิ้งการเรียน จึงเรียนสอบไล่ได้ที่ 1 ของห้องตลอด แต่แล้วชีวิตก็พลิกสู่เส้นทางที่ผิดพลาดเข้าจนได้
“คือเราเป็นวัยรุ่นที่ไม่สามารถเลือกทางออกได้ เพราะเราไม่มีคนแนะแนว เราก็ไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรกันแน่ ทีนี้ ถึงแม้เราสอบได้ที่ 1 ของห้องทุกปี แล้วเราก็ได้โควต้าจากวิทยาลัยเทคโนโลยี วิทยาลัยอาชีวะต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ในขณะที่คนอื่นต้องไปสอบแข่งขัน เราได้สิทธิ์เรียนเลย แต่เราก็ไม่เลือก เราไปเลือกเรียนเอกชน เพราะได้แต่งตัวดี มีเนคไทยด้วยอะไรด้วย ไม่คิดจะไปศึกษาหาความรู้ เราไปเพราะเพียงแค่ยูนิฟอร์มสวย ดูเหมือนไฮโซ ทีนี้ยิ่งได้เข้าไปเจอสังคมแบบนั้น สังคมปลอม เหมือนที่คนเรายังติดกับวัตถุ โหย คนโน้นเขาก็มีรถขับมา คนนี้ก็มีนั่นมีนี่ แต่เราไม่มีอะไรเลย เราทำอย่างที่เขาทำไม่ได้เลย เราก็ต้องโกหกแม่ว่าอาจารย์สั่งทำนู่นทำนี่ ค่ารายงานเป็นร้อยเป็นพัน ซึ่งแม่ก็ไม่มีอยู่แล้ว ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิ้นมาให้เรา”
หลักร้อยกลายเป็นพัน หลักพันกลายเป็นหมื่น สู้ใช้แรงแลกเงิน โหมทำงานเพื่อลูกน้อยจนร่างกายล้มป่วย
“เราถึงได้สติ เพราะแม่เริ่มไม่สบาย เข้าโรงพยาบาลบ่อย และเรื้อรัง รักษาไม่หาย คุณพ่อก็ต้องทำงานหนักขึ้น เราก็เลยรู้สึก ขอโอกาสแม่ ก็เลยตัดสินใจไปทำงานช่วยท่าน พอไปทำงานก็ โอโห้...รู้เลยว่าการที่กว่าจะได้เงินมา มันลำบากมาก ถึงแม้ว่าเราตอนเด็กจะเคยไปทำงานรับจ้างถากหญ้า ถากรุ่นในสวนไร่อ้อย สวนไร่ข้าวโพด หรือคุ้ยเศษขยะขาย แต่การที่เราไปทำงานตอนโตนั้นต่างกันลิบลับ เนื่องจากมันเป็นสังคมที่เราไม่รู้จัก ทีนี้ ด้วยความที่เราเป็นตุ๊ด เราก็เลยถูกแกล้ง
“เราเป็นพนักงานขนกล่องสิ้นค้าขึ้นตู้คอนเทนเนอร์ เราต้องโยนกล่อง กล่องๆ หนึ่งก็หนักเกือบ 20 กิโลกรัม วางบนพาเลท หรือบางทีก็ต้องโหลดขึ้นตู้ เราก็จะโดนพวกผู้ชายวัยรุ่นหรือคนที่แข็งแรงกว่า แกล้งยกกระแทกบ้าง โยนกล่องใส่เราบ้าง ในสภาพห้องทำงานอุณหภูมิลบ 20 องศา ก็ทำเป็นกรรมกรตรงนั้น 3-4 เดือน ด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือ แล้วเราเรียนสายอาชีพมา พื้นฐานก็มี ระหว่างที่ทำงาน เราก็ศึกษาหาหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาอ่าน หรือไม่ก็เวลาที่มีเอกสารภาษาอังกฤษแปลกปลอมติดมา เราก็แปล มันก็ทำให้เรารู้ระบบการทำงานส่วนหนึ่งในองค์กรนั้น
“แล้วมีอยู่วันหนึ่ง ผู้บริหารเดินมาเห็นหนังสือคอมพิวเตอร์เราวางอยู่ ผู้บริหารก็เลยถามโฟร์แมนว่าหนังสือเล่มนี้ของใคร พอเขารู้ว่าเป็นของเรา ก็เลยเรียกเราไปคุยแล้วก็บอกว่าตอนนี้เขาต้องการเจ้าหน้าที่วางแผนและสถิติที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการคีย์ข้อมูลได้ เขาก็ถามว่าเราทำได้ไหม เราก็บอกว่าได้ เขาก็ให้เราทดสอบ เราก็ทำได้ แล้วเขาก็ให้เราไปอบรม หลังจากนั้นก็ได้ขยับตำแหน่งย้ายขึ้นทำไปทำงานในออฟฟิศ ก็เก็บเกี่ยวสั่งสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ ในหลายๆ ที่ ก็ใช้ระยะเวลากว่าสิบปี จนท้ายที่สุดอยู่ที่ตำแหน่งรองผู้จัดการ”
ทำท่าเหมือนจะไปได้สวย ประหนึ่งชีวิตฟ้าหลังฝน คลื่นลมสงบ ทะเลราบเรียบดั่งแผ่นกระจก นาวาชีวิตที่ลอยล่องกำลังจะถึงฝั่งจนมองเห็น กระนั้นเขาไม่รู้เลยว่าพายุร้ายกำลังจะถาโถมเข้ามาจนพลิกคว่ำเกือบตาย
“คือแม้ว่าเราจะเกเร แต่เรากลับตัวแล้ว เราดูแลครอบครัวเราได้แล้ว เราก็เลยอยากจะสร้างอนาคต สร้างครอบครัวของเรา”
แฮร์สไตล์ลิสต์ชื่อดังเว้นวรรค ก่อนจะเปิดเผยถึงสาเหตุที่เป็นจุดหักเหของชีวิต
“พอคิดอย่างนั้น เราก็ได้พบรักกับเด็กคนหนึ่ง ในที่ทำงาน ก็ศึกษาดูใจ ไม่มีการปกปิดทั้งสองครอบครัวเรารู้ และเห็นดีเห็นงาม จนถึงขั้นสัญญากันว่าจะแต่งงาน เพราะเขาเป็นคนที่นิสัยดีและเป็นลูกคนเดียวด้วย ก็เลยทำให้เรารัก เราเป็นห่วงเป็นใยคอยดูแล แต่ทีนี้ตอนที่เราเจอเขา เขากำลังเรียนอยู่ แล้วพอเขาเรียนจบ เขาก็มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่มาเรียนทำให้เขาได้ไปเจอคนใหม่ แล้วคนใหม่ของเขาเป็นอาจารย์สอนเสริมสวยในโรงเรียนสอนเสริมสวย เขาก็ทิ้งเราไปแล้ว ก็ทำให้เราเฟล เพราะตอนนั้น งานที่ทำก็หนักแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน หน้างานปัญหาก็เยอะ เราก็ต้องคอยแก้ แต่แทนที่เราจะมีคนคอยให้กำลังใจ หันหลังไปก็ไม่เจอ ทั้งสองอย่างมันก็รุมเร้าจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยในตอนนั้น”
คิดอย่างเดียวคือการทวงคนรักกลับมา
มองปัญหาทางออกของเรื่องนี้คือ “ความตาย”
“ครั้งหนึ่งเราไปหาเขาที่บ้าน แล้วเราก็ขับรถของเขาออกมาข้างนอก เราตั้งใจที่จะขับรถพาไปชนต้นไม้ข้างถนนให้ตายไปเลย แต่ขณะที่กำลังจะพุ่งชน หน้าของแม่แวบเข้ามาในสมอง หน้าของแม่ลอยเข้ามา ความคิดถึงคุณแม่ ถ้าเกิดเราตายใครจะดูแลท่าน แล้วแม่จะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเรา เราก็เลยหักพวงมาลัยออกมาแล้วก็เบรค ตั้งสติใหม่ ถ้าเราตายใครดูแลแม่ และถ้าไม่ตายแต่พิการ ใครจะดูแลเรา คนที่เรารัก เขาจะอยู่กับเราไหม ณ วินาทีนั้น ขนาดเรามี 32 ประการครบ เขายังทิ้งเราไปมีคนใหม่ แล้วถ้าเราพิการขึ้นมา เขาจะดูแลเราหรือ พอคิดได้แค่นี้เราก็ไปส่งเด็กคนนี้ที่บ้าน
“แต่เราก็ยังแค้นลึกๆ นะ อยากจะแก้แค้นคนที่แย่งคนรักเราไป อยากจะเห็นหน้า อยากจะบอกกล่าวว่าเขารู้ไหมว่าเขามีคนรักของเขาอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าเรายังทำงานอยู่ตรงนี้ เราจะไม่มีโอกาสได้ไปเจอคนๆ นั้นแน่ๆ ก็เลยค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เราจะเรียนเสริมสวยที่ไหนได้โดยที่เสียเงินไม่เยอะ บังเอิญไปเจอที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานครฯ เรียนฟรี เราก็เอา หยิบไม่กี่บาทที่พอมีสะสมหลังจากสะสางหนี้และดูแลแม่ ขึ้นมาเรียน ก็มุ่งมั่นตั้งใจทั้งค้นหาและเรียน แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ แม้ว่าเราจะถือของมีคมอย่างกรรไกร เรากลับรู้สึกสงบมากขึ้น จากคนที่โมโหร้าย พูดจาหยาบคาย จากคนที่เอะอะโวยวาย กลับกลายเป็นคนที่จิตใจเย็นลง
“ที่เย็นลงก็เพราะว่าวิชาชีพนี้ เราจะต้องมีสติ มีสมาธิ ถ้าเราไม่มีสติและสมาธิ เราจะไม่สามารถครีเอททรงผมและตัดผมลูกค้าได้เลย แล้วอาจารย์ที่สอนเรา ท่านก็สอนให้เป็นคนใจเย็น ท่านก็จะชอบชักชวนพาไปไหว้พระ นั่งสมาธิในโบสถ์แถวที่เรียน อย่างวัดเทพลีลาบ้างหรือไม่ก็วันชนะสงครามบ้าง ตอนนั้น พอเราได้ขัดเกลาจิตใจบ่อยขึ้นๆ บวกกับตัวเราเองทำบุญเข้าวัดบ่อยตอนเด็ก ก็เลยทำให้เราพัฒนาทางด้านจิตใจค่อนข้างที่จะเร็ว ประมาณเดือนสองเดือน เราก็ลืมเรื่องที่ผลักให้เรามาไปหมด แล้วเราก็กลับมามองว่าสิ่งที่เราคิดมันผิดพลาดเยอะมาก
“คิดย้อนกลับไป คือโชคดีมากที่วันนั้นเราไม้ขับรถชนต้นไม้”
แฮร์สไตล์ลิสต์ กล่าวพร้อมสูดลมหายใจที่ยังมีชีวิตอยู่ตอบแทนคุณมารดาและได้ค้นพบเส้นทางชีวิตของตัวเองและส่งไม้ต่อมอบให้แก่ผู้อื่น
“จริงๆ แล้วความทุกข์ที่เรามีกันอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากการยึดติด การยึดถือเรื่องของวัตถุหรือตัวของมุนษย์เอง พูดง่ายๆ ว่าคนในโลกนี้ที่มีปัญหาเรื่องของความทุกข์ โดยคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นเจ้าของทั้งหมด แต่ในความคิดของเรา คิดว่าตัวเรามีชีวิตได้แล้ว ครอบครองเมื่อถึงเวลาหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ก็จะต้องเปลี่ยนมืออยู่ในมือของคนนอื่น ถ้าเกิดเราคิดได้ เราก็จะไม่ทุกข์
“และถ้าเรามีความทุกข์ ให้วิเคราะห์ความทุกข์ให้ได้ ถามไปว่าทำๆ ทำไม แล้วจะเจอต้นเหตุว่าท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เราทุกข์อยู่ เกิดจากอะไร เกิดจากความทุกข์ ที่เรายึดติด ทุกข์ที่เราสร้างเอง หรือบางคนเกิดจากความทุกข์ที่มโนขึ้นมาว่ามันจะต้องเกิดขึ้นมาในอนาคต เป็นความทุกข์ที่เราสร้างให้กับตัวเองโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าเรารู้จักปล่อยวางตัวเอง โดยไม่ยึดติด เราก็จะมีความสุขมากขึ้น เราก็จะเสียใจน้อยลง”
ทอดตนเป็นดั่ง “สะพานบุญ”
เพราะการให้ไม่มีคำว่า “รอ”
หลังละวางความทุกข์ เลิกความโกรธ ชีวิตฤชวีพัฒน์ก็เสมือนเกิดใหม่ที่มีแต่ความสุขจากหลังรอยยิ้มของผู้คนที่เข้ามาไว้วางใจใช้บริการ
“คือตั้งแต่หุ่นที่เราฝึกตอนนั้น เวลาเราตัดให้เขาแล้วเขายิ้มดีใจ เขามีความสุขกับทรงผมใหม่ แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว จากนั้นก็ทำให้เรารักในวิชาชีพนี้ แล้วก็พยายามจะใช้เวลาว่างที่มีเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด พยายามฝึกตัวเอง ถึงจะเป็นนอกเวลาเรียน เพื่อให้เราเก่งที่สุด”
“ในระหว่างที่เรียน...เรียนไปได้เข้าเดือนที่ 2 จะเดือนที่ 3 อาจารย์สุภัททา เหล่าพูลศรี ก็เริ่มพาออกหน่วย ไปตามชุมชนต่างๆ อย่างเคหะคลองจั่น ตามซอยละแวกวัดเทพลีลา ละแวกซอยรามคำแหงที่เป็นชุมชนแออัดสมัยนั้น มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ไปออกหน่วย ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าขอให้ไปตัดผมให้แม่เขาหน่อย แม่เขาไม่สบายแต่อยากตัดผม ทีนี้ ด้วยความที่เพิ่งจะเรียนกันได้ไม่กี่เดือน ขนาดตัดคนที่ปกติสบายดี จับปัตตาเลี่ยน จับกรรไกรมือยังสั่น ก็เลยไม่มีใครไป แต่ด้วยความที่เราออกแนวเป็นผู้นำเพื่อนๆ มาตลอด เราก็เลยไป ไปเพราะเข้าใจว่าคำว่าไม่สบายก็คงแค่เป็นไข้ ปวดหัว
“แต่พอไปถึงเข่าแทบทรุด เพราะว่าผู้หญิงบอกว่าไม่สบายไม่ใช่มาสบายธรรมดา เขาเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องใส่ท่อออกซิเจน สอดท่อปัสสาวะ อุจจาระ สายระโยงระยาง แล้วเขาก็นอนหายใจรวยริน มองฝ้าเพดานตลอดเวลาอยู่ในห้องโทรมๆ ห้องหนึ่ง เราก็ตกใจ ตั้งสติรวบรวมสมาธิ คิดว่าเราจะตัดอย่างไรดี ขนาดคนปกติยังตัดไม่ได้เลย แล้วเราจะเริ่มต้นอย่างไร ก็สูดลมหายใจ นับ1-2-3 'สวัสดีค่ะคุณยาย วันนี้หนูจะมาตัดผมให้คุณยาย ให้อย่างเลิศเลย เก๋กู๊ด แบบเดินพรมแดงที่ปารีสเลยนะค่ะ' เราก็ตอแหลไป (ยิ้ม) ก็คือวินาทีนั้น สาวแตกมาก เพราะด้วยความที่ตัวเราเองมีรอยสักเต็มตัวไปหมดจากสมัยทำงานโรงงาน เราก็คิดว่าถ้าเกิดเราไม่แอคติ้ง เขาก็จะกลัว เราเป็นใครวะ (หัวเราะ) โจรปล้นบ้านเขาหรือเปล่า”
แม้ว่าแฮร์สไตล์ลิสต์จะกล่าวแซมยิ้มด้วยท่าทางตลก เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเก่าในวันก่อน แต่ ณ ห้วงเวลานั้น ท่ามกลางสภาพสายระโยงระยางทั้งในส่วนช่วยหายใจ ในส่วนของการขับถ่าย กับผู้ใช้บริการที่เป็นคนจริงๆ ก็เหมือนหุ่นได้แต่มองเพดาน กลับเป็นรอยยิ้มปนน้ำตาที่สื่อแทนอารมณ์
“เพราะเราตัดผมไม่เป็น ตัดออกมาแล้วเป็นเหมือนเสือดาว คือแหว่งและด่างทั้งหัว แล้วเขาก็ร้องไห้ เราก็ตกใจ เราก็นึกว่าเราทำให้เขาเจ็บหรือเปล่าเวลาที่ตัด แต่ปรากฏว่าน้ำตาเขาไหล แต่เขายิ้ม เพราะปลื้มปิติดีใจ ที่มีคนแปลกหน้ามาดูแลเขา โดยที่ไม่ได้รังเกียจเลย เครื่องไม้เครื่องมือถุงมือก็ไม่มี สดๆ เลย มือเราสดๆ ดูแลตัดผมให้เขา แล้วก็เสริมสวยให้เขา แล้วก็พูดคุยให้กำลังใจเขา ให้เขารู้ว่าตัวเขาเอง ไม่ใช่คนไร้ค่า ตัวเขาเองก็มีค่าความเป็นมนุษย์เหมือนเราคนทั่วไป
“และในขณะที่เราพูเดคุยกับเขา เขาก็น้ำตาไหล ก็ทำให้เรานึกถึงแม่ เพราะแม่ในช่วงเวลาหนึ่ง เราเคยไปเฝ้าแม่ที่ผ่าตัดเนื้องอกเส้นปราสาทตา ทำให้ตาบอดหนึ่งข้าง ภาพในในวันนั้นมันเป็นภาพที่แบบเดียวกันกับที่ผู้หญิงคนนี้นอนหายใจรวยรินอยู่ วันที่เขาเข็นแม่ออกมาจากห้องผ่าตัด โกนผมออกมา มีสายเจาะ แล้วเลือดไหลออกมาทางหัว น้ำตาก็เอ่อคลอ เราก็เลยถึงบางอ้อเลย
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราคิดว่าตัวเราเองการทำบุญมันต้องใช้เงินตลอด เพราะถึงเวลาก็จะมีคนเอาซองมาให้เรา ขอลายชื่อหน่อย ประธาน 500 บาท กรรมการ 100 บาท เราเจอแบบนี้มาตลอด ก็เลยเข้าใจผิดว่าการทำบุญมันต้องใช้เงินเป็นหลัก แต่ในวันนั้น เรารู้แล้วว่าเราไม่ต้องใช้เงิน เราสามารถใช้ความรู้และอาชีพของเราช่วยทำบุญได้ วันนั้นเราไม่เสียเงินสักบาทเราก็ได้บุญ แล้วเป็นบุญที่เห็นชัดเจนมากจากความสุขของคนที่เราเข้าไปดูแล”
จึงเกิดเป็นภาพจำ สำหรับทั้งผู้คนที่ร่ำเรียนฝึกปรือวิชาช่างผมในศูนย์ฝึกอาชีพ กทม.ที่จะเห็นชายหนุ่มผู้มีรอยสักเต็มตัว สะพายย่าม เดินบอกคนจรข้างทางเท้า “ถ้าประสงค์อยากตัดผม เรียกหนูนะ”
“ก็เริ่มบอกเพื่อนๆ บอกคนจรจัด เดินเจอะเจอระหว่างทางไปเรียนก็ถามเขาว่าอยากตัดผมไหม อยากตัดบอกนะ เพราะยุคนั้นไม่มีโซเชียล ก็เลยต้องใช้วิธีพูดอย่างนี้ บางคนก็มองแปลกๆ เพราะหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร สอง สภาพเราก็ไม่เหมือนช่างตัดผม มีรอยสักตัวผอมๆ เพราะอดอยาก ผมเผ้าก็เซตบ้างไมเซตบ้าง สะพายย่ามกระเป๋าผ้าราคาถูกๆ ที่ใส่อุปกรณ์การเรียนแล้วก็เดิน มันก็เหมือนมิจฉาชีพ
“หลังจากนั้นก็บอกต่อๆ กันปากต่อปาก แต่โดยส่วนมากช่วงนั้นก็แถวรามคำแหงย่านที่เรียน แล้วก็มีที่อื่นๆ บ้าง เราก็นั่งรถเมล์ไปบ้าง เดินไปบ้าง ทำควบคู่จนเรียนจบก็ไปสมัครงานร้านตัดผม ก็เริ่มจากร้านเล็กๆ แถวรามคำแหง เพราะไปสมัครร้านใหญ่ชื่อดังที่มีสาขาทั่วประเทศแล้วฝีมือเราไม่ผ่าน คือเรียนกับชีวิตจริงมันต่างกัน ก็ตัดลับฝีมืออยู่ 3 เดือน ตัดผมให้คนจร คนพิการ แถวย่านนั้นมาเรื่อย เขาก็โทรกลับมา
“เนื่องจากว่าเขาชอบบุคลิกของเรา เขาจะเอาเรามาปั้น แล้วในปีนั้นเขาเอาช่างเก่งๆ ของเขาทั้งหมดที่มีประสบการณ์มาเรียนใหม่ทั้งหมดหลายสิบคน แล้วเราเป็นคนที่มีประสบการณ์น้อยที่สุด แต่ว่าทุกทรงที่เขามี จากอาจารย์จากต่างประเทศมาสอน เราสามารถตัดได้ Top 5 ตลอด ก็เรียนออยู่ประมาณเดือนสองเดือนก็ได้ลงประจำสาขา แล้วพอเราอยู่ในร้านเขาก็จะมีพาเราไปเทรนแบรนด์โน่นนี่ตลอด ทำให้เราฝึกประสาบการณ์เรื่อย Learning by doing มาตลอด”
เมื่อบวกกับทุนเดิมที่รักและนิสัยใฝ่รู้ หมั่นฝึกซ้อมเทสต์งานลองผิดลองถูกทั้งทำสี ตัด ดัด ซอย ทำให้ระยะเวลาเพียงไม่ถึง 5 ปี “กอล์ฟฟี่” กลายเป็นชื่อที่คนรักสวยรักงามต่างต้องการตัว ถึงขนาดจองคิวกันข้ามอาทิตย์ ข้ามเดือน บางคนข้ามประเทศ มีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
และถึงแม้ล่าสุด ปีที่ผ่านมา ตำแหน่งช่างผม 1 ใน 12 ของประเทศจากการประกวด Thailand trend vision award 2015 จะทำให้เขามีชื่อเสียงและโอกาสร่ำรวยจากการสร้างเนื้อสร้างตัวในอาชีพ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นอาสาตัดผมฟรีให้กับคนจร คนแก่ คนป่วย พิการ ควบคู่กันเรื่อยมาทั่วสารทิศ และยังเพิ่มเติมพ่วงการดูแลสารทุกข์สุขดิบเสมือนประหนึ่งเป็นลูกหลาน (พาไปหาหมอ พาไปโรงพยาบาล พาไปทำบัตรประชาชน พาไปพบลูกหลานที่อยู่ในที่ห่างไกล) กระทั่งรวมไปการแต่งหน้าผู้เสียชีวิตโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเฉกเช่นเดียวกันอีกด้วย
“คือเนื่องจากว่าการแต่งหน้า เรามีพื้นฐานมาตั้งแต่เด็กๆ ที่เรียนอยู่แล้ว เพราะว่าเวลาอยู่กับรุ่นพี่ๆ พวกเขาก็จะแต่งกัน เราก็สังเกตว่าเขาแต่งอย่างไร เราก็เริ่มหัดแต่งให้เพื่อนๆ ด้วยกัน แล้วมีวันหนึ่งมีคนมาเห็นว่าเราแต่งหน้าให้เพื่อนสวย เขาชอบ เขาก็เลยจ้างให้แต่งหน้าเจ้าสาว จำได้ว่าครั้งแรกได้เงินค่าแต่งหน้า 150 บาท สองรอบก็ 300 บาท จากค่าลงทุนเครื่องสำอางพันกว่าบาท (หัวเราะ) เราก็เลยรับแต่งหน้าตั้งแต่อายุ 16-17 แต่เป็นแบบไม่ได้มีหน้าร้าน ใครมาฟลุค จ้างก็ไป
“แล้วเราก็ทิ้ง อย่างที่บอกไปว่าเราไม่มีใครแนะนำชี้รู้ทางว่าเราควรจะไปเส้นทางไหน ตอนนั้นก็เลยคิดว่าอาชีพช่างแต่งหน้าไม่มีเกียรติ เราอยากทำงานนั่งโต๊ะมีลูกน้อง นั่งเซ็นเอกสาร ก็เลิกไป ไม่ได้ฝักใฝ่ แต่ทีนี้ ด้วยพื้นฐานตรงนี้ เพื่อนเราที่รู้จักก็มักจะคุยๆ เล่นกับเพื่อนทั้งผู้หญิงและกระเทย ก็พูดเล่นๆ กันบอกว่า "เฮ้ย...ถ้าเกิดกูตาย มึงต้องมาแต่งหน้าให้กูนะ" ก็ด้วยความสนุกสาน บังเอิญเพื่อนเกิดตายก่อนวัยอันควรจริงๆ
“เราก็...ตายแล้ว ทำไง ตอนนั้นเป็นคนที่กลัวผี ใจก็กล้าๆ กลัวๆ สั่นๆ ไปหมด มันให้แต่ง เราก็แต่ง แต่แต่งไปเหงื่อแตกไป เพราะว่าคนที่ตายไปแล้วสภาพมันก็เปลี่ยนไปทั้งหมด ผิวก็เขียวคล้ำ มีสำลีอุดจมูก อุดปาก พอเราแต่งเสร็จ เรามีความรู้สึกว่าจริงๆ มันก็ไม่ได้มีความน่ากลัวเหมือนในละครที่เราดูหรือที่เราเห็นตามรายการต่างๆ มันก็เหมือนคนที่ตอนที่ยังมีชิวิตอยู่ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ย้อนกลับมาคิด ถ้าเป็นเราอย่างนั้น เราก็คงไม่กล้าออกมาพบผู้คน นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต่าง
“เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้บุญอย่างไร แต่เรารู้แค่ว่าเราแต่งเขาให้สวยเหมือนตอนที่เขามีชีวิตอยู่ ในช่วงเวลาที่คนมารดน้ำศพ ก็จะเห็นสภาพเขาสวย ดูแล้วแจ่มใส เขาก็เห็นภาพที่คุณยังนอนสวยอยู่ ให้เขาจำภาพสวยๆ ไป ดีกว่าเห็นภาพหดหู่ เพราะเขาไปอยู่ในภพภูมิที่ดีแล้ว เราควรยิ้มส่งเขา
“หลังจานั้นก็เลยป่าวประกาศว่าใครที่มีผู้ที่เสียชีวิตอันเป็นที่รักติดต่อมาได้ที่เรา”
แฮร์สไตล์ลิสต์เปิดเผยงานจิตอาสาที่เพิ่มขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวถึงเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ทำ แม้ว่าจะหนักและใช้เงินส่วนตัว กระทั่งถูกหาว่าสร้างภาพหลังวีรกรรมของเขาออกแพร่ไปยังสื่อต่างๆ เขาก็ยังยืนยันที่จะทำต่อไป
“เพราะว่าการให้รอไม่ได้ แล้วก็หยุดไม่ได้ คือคนป่วยคนพิการ เราไม่ใช่ว่าไปเจอเขาครั้งเดียวแล้วคือจบ เราก็ต้องวนกลับไปดูแลเขา เพราะเขาก็ดาวน์ลงเรื่อยๆ ร่างกายก็แก่ลงเรื่อยๆ ข้าวของเครื่องใช้ที่เขาใช้มันก็หมดลงไปเรื่อยๆ เราก็ต้องคอยเติมเต็มให้เขา ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่ารวย ก็ยังจนอยู่เหมือนเดิม แต่เราไม่ได้มองถึงเรื่องเงิน จริงอยู่ที่แม้ว่าเราจะสูญเสียรายได้จากการสละเวลาไปทำหน้าที่ตรงนั้น เสียเงินค่าใช้จ่ายการเดินทาง เราอาจจะสร้างรายได้จนร่ำรวยจากอาชีพนี้ แต่คำว่ารวยของคนเราไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ถ้ารอรวย เมื่อไหร่ล่ะถึงจะได้ช่วย เราทำเพื่อให้เรามีไปช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบากกว่า เพราะเราผ่านชีวิตที่ลำบากมา เรารู้ว่ามันไม่ง่าย คนยากคนจนมันเดือดร้อนแค่ไหน มันมีความต้องการแค่ไหน เราจึงไม่มองว่าสิ่งเหล่านี้มาเบียดเบียน ไม่ได้มามีผลกระทบกับตัวเรา ถึงใช้คำว่าเสียสละเข้าไปแทน
“แต่ก็เราอาจจะโชคดีที่เรามีพรสวรรค์ทางด้านการตัดผม ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกกลุ่มลูกค้าที่เป็นชนชั้นระดับกลางไปจนถึงรวย เวลาที่เขามาตัดผม เขาจะให้ทิปค่อนข้างเยอะ เราก็เอาตรงนั้นมาเป็นค่าใช้จ่าย ถ้าไม่พอ เราค่อยเอาของเราออก ซึ่งมันก็ไม่มากมาย ยิ่งพอเขารู้ว่าเราทำตรงนี้ บางคนก็อาจจะไม่ได้ให้ทิปเราเป็นเงิน แต่เป็นสิ่งของช่วยเหลือ เขาเอาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาร่วมช่วยเหลือเราเลย ก็ทำให้ช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น วันธรรมดาเช้ามาก่อนเข้าร้าน 11 โมงเช้า 7 โมง หลังไหว้พระสวดมนต์ เราก็ตระเวนดูตารางพิกัดคิวที่จัดเตรียมไว้ได้รายสองราย ตัดผม เติมสิ่งของก็ยังดี หลังเลิกงาน 2-3 ทุ่ม ตัดไม่ได้แล้ว เพราะค่ำเวลาพักผ่อน เราก็เอาของไปเติม หรือในระหว่างที่ทำงาน หากเขาโทรมาบอกว่าขาดเหลือสิ่งของ อย่างแพมเพิร์ส เราก็หยิบจากสต๊อกออกไปให้เขาได้ในทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อ เขาก็สามารถใช้ได้ทันการณ์
“หลายๆ คนมักจะถามว่า ที่ทำเราสร้างภาพหรือเปล่า คือถ้าภาพที่เราสร้างมันเป็นภาพที่สวยงาม มันเป็นการสร้างแล้วทำให้สังคมมีความสุข มีแต่รอยยิ้ม และที่สำคัญสังคมมีแต่น้ำใจให้กัน เราก็คิดว่าควรที่จะสร้าง เพราะถ้าเราสร้างภาพที่ดีแบบนี้ทุกๆ คน ทุกๆ ทาง โลกเราก็จะมีแต่ความสุข หรือบางคนก็บอกว่าอยากดัง เราก็บอกว่าถ้าเกิดว่าดังมากขึ้นเท่าไหร่ มันทำให้คนป่วยคนพิการที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ที่เขาอยู่ในซอกหลืบเล็กๆ ของสังคม หรืออย่างน้อยคนที่เขาไม่ได้ตัดผมเมาเป็นแรมปี แรมเดือน เขาก็จะได้ติดต่อมาหาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
“ฉะนั้น ถ้าเราดังมากขึ้นเท่าไหร่ คนที่เขาอยากทำบุญแต่ไม่มีเวลาไปแบบเรา คนที่ไม่ใช่ช่างตัดผม เขาไม่มีความรู้ในการตัดผม เขาก็สามารถมาร่วมบุญด้วยการนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาบริจาค แล้วเราจะเป็นสะพานบุญ นำของเหล่านี้ไปให้ผู้ป่วยอีกทีหนึ่ง อย่างน้องๆ ที่ทักมาขอไปร่วมด้วยช่วยกับเรา ยิ่งดังมากขึ้นเท่าไหร่ บุญมากขึ้น โอกาสของคนที่ต้องการความช่วยเหลือก็แพร่กระจายไปมากขึ้น ทั่วถึง เข้าถึงมากขึ้น เราก็อยากดัง”
เมื่อสองมือยังดี สองเท้ายังอยู่
ขอสร้างความน่าอยู่ให้สังคม
“พอเราไปช่วยเราได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ไม่ใช่เฉพาะคนที่เราไปช่วยเท่านั้น ครอบครัวเขาก็มีความสุข คือขอให้เวลาที่เราไปอยู่ไปช่วยแล้วครอบครัวเขามีความสุข เขาลืมความทุกข์ที่เขานอนทรมาน 20-30 ปี ไปชั่วขณะหนนึ่ง จากที่ได้แต่นอนเฝ้าเพดานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็นอนนับถอยหลังลมหลายใจของเขาว่าเขาจะมีชีวิตถึงอีกเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้มันเป็นความสุขที่ไม่ได้รับการตอบแทนในรูปของเงิน แต่มันเป็นมูลค่าของความสุขที่เราได้ให้ผู้รับแล้วมันประเมินค่าไม่ได้เลย
“เราจึงไม่เหนื่อย แม้ว่าเราจะต้องทำเพี้ยนๆ บ้าง แต่งตัวแปลกๆ บ้าง แม้เราเลิกงานแล้วไปต่อหรือต้องตื่นแต่เช้าไปช่วย หลังเลิกงานไปช่วย บางครั้งไปที่ไกลๆ ข้ามจังหวัด ไม่ใช่ที่อำเภอหัวหิน ไม่ใช่ละแวกอำเภอปราณบุรี ชะอำ กุยบุรี หรือตัวอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ เราก็ไป จะพักผ่อนน้อยก็ไป ขับรถไกล ขับรถตลอดเวลาก็ไป เพราะคนเหล่านี้เขารอเราอยู่ เรายังมีรถขับ มีอาการครบ 32 เรายังมีกว่าเขาตั้งเยอะ แต่คนเหล่านั้นเขาไม่มีโอกาสเหมือนเรา เราต้องรีบไปช่วยเขา เราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละแล้วใครจะดูแล
“เรื่องนี้จริงๆ เป็นเรื่องของความรักที่แท้จริง”
แฮร์สไตล์ลิสต์สรุปสิ่งที่ ณ วันนี้เป็นแรงผลักให้เขาเดินหน้ามุ่งต่อไปไม่หยุด
“คือรักที่แท้จริง อย่ารักแต่คนในครอบครัวของตัวเอง อย่ารักเฉพาะคนที่เราอยากรัก อย่ารักแต่คนที่เป็นเพื่อนเรา เพราะถ้าเกิดเรารักแค่คนกลุ่มนี้ แล้วคนที่ไม่มีพรรคพวกหรือคนที่ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน ใครจะดูแล ฉะนั้น เราต้องรักสังคม โดยเริ่มจากตัวเราก่อน ดูแลคนในครอบครัว แล้วก็ขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่าคำว่าให้ที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร สังคมมันก็จะน่าอยู่มากขึ้น เราคนเดียว เราไม่สามารถจะดูแลคนป่วยทั่วประเทศ เราไม่สามารถแน่นนอนด้วยความสัตว์จริง แต่ถ้าคนทั้งประเทศ ถ้าคุณมีนน้ำใจ คุณสามารถดูแลคนกลุ่มนี้ได้ทั้งประเทศแน่นอน เพราะคนปกติในประเทศเรามีเยอะกว่าคนป่วยคนพิการอยู่แล้ว
“ก็จะทำตรงนี้ต่อไป ตอนนี้ก็มีเป็นที่ปรึกษาให้กับคนธรรมดาที่มีความทุกข์ด้วย ปรึกษาทางโทรศัพท์หรือข้อความเฟซบุ๊กหรือทางไลน์ หลายๆ ครอบครัวที่เขามีปัญหา คนพวกนี้ไม่ได้เป็นผู้ป่วย เป็นคนปกติธรรมดา ที่ทำงาน มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ชีวิตของเขามีปัญหา เราก็ใช้เนื้อส่วนรวมตรงนี้ช่วย ก็ใช้แนวหลักทางพุทธศาสนา เพื่อให้เขาได้สติในการดำรงชีวิตด้วย
“อนาคต ตั้งใจเก็บเงินสักก้อน เปิดร้านเป็นของตังเอง เปิดเป็นอะคาเดมี่สอนคนยากจน ให้มาเรียนวิชาช่างผมกับแต่งหน้าฟรี โดยใช้ประสบการณ์ของเรามาเป็นต้นแบบให้ปรับใช้ในการดำรงชีวิต ปลูกฝังในเรื่องศีลธรรมจริยธรรม แล้วก็แนะนำให้เขาทำเหมือนที่เราทำอย่างทุกวันนี้ เพื่อเป็นการสร้างคนให้มีเงินไปดูแลตัวของเขาแล้วก็ครอบครัวของเขา เป็นการสร้างจิตอาสาในสังคมให้สังคมบ้านเรามีความน่าอยู่มากขึ้น มีน้ำใจให้กันมากขึ้น แล้วก็อาจจะเสนอตัวขอเข้าไปเป็นครูสอนวิชาชีพตัดผมให้กับเรือนจำ ทัณฑสถานต่างๆ เพื่อให้คนเหล่านี้ออกมาแล้วมีอาชีพที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของเขาต่อไป”
และนี่ก็คือเรื่องราวที่เริ่มต้นจาก “ความรัก”
จากการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเอง “รัก”
เมื่อถักทอรวมกันจึงทั้งสวยงาม แข็งแรง และทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเห็นความรักหลายหลายรูปแบบ ซึ่งทำให้เราร้องไห้ได้ตลอดเวลา เพราะเราเป็นคนที่เก็บอารมณ์ตลอด ให้ดูเป็นคนที่แข็งแรง ถ้าติดตามในเพจ จะรู้เลยว่าคนที่เครียดจะต้องเข้ามาดูในเฟซบุ๊กเรา บางคนส่งข้อความมาบอกว่าเครียดจากงานมาดูเราแล้วมีความสุข หายเหนื่อย แต่ในบางมุม เราต้องเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัวเอง เราจะอ่อนแอไม่ได้ เพราะว่าความรักที่เห็น มันเป็นความรักที่ทรงคุณค่ามาก อย่างคุณแม่ที่ดูแลลูกป่วยพิการมาเป็น10 ปี ตั้งแต่อุ้มลูกอาบน้ำ ป้อนข้าวลูก จนปัจจุบันคุณแม่เองก็ป่วย เป็นเบาหวาน ถูกตัดนิ้ว ตัดขา แต่ยังคลานไปป้อนข้าว อาบน้ำ เช็ดตัวเหมือนกับตอนที่ลูกคนนี้คลอดมาใหม่ๆ มันเป็นความรักที่ทรงคุณค่ามากๆ มันทำให้เราเห็นได้ว่า รักแท้มันยังมีอยู่จริง ไม่ว่าจะกี่ปีก็แล้ว แต่แม่ก็ยังรักลูกไม่เปลี่ยนแปลง
“ในมุมมองกลับกัน เราไปเจอผู้ป่วย ผู้พิการ ที่เป็นพ่อแม่ซึ่งแก่เฒ่าถูกนำไปวางไว้ในสถานเลี้ยงคนชรา ทำไมมันเป็นความรักที่โหดร้าย โหดเหี้ยมขนาดนี้ ทำไมมันถึงยังมี เราก็พยายามนำมาเผยแพร่ แล้วก็ตีแผ่ออกไปให้คนในสังคมเห็น ถึงได้บอกว่ากว่าเราจะดูแลคนอื่นได้เราต้องดูแลคนในครอบครัวของเราก่อนเราถึงจะรู้ว่าความหมายของการให้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์คืออะไร นี่แหละเราต้องดูแลครอบคัวของเราให้ได้ก่อน ถ้าเข้าใจคำว่าให้ในนิยายามความหมายที่บอกไป อันนี้เป็นเรื่องที่เป็นวาระใหญ่แห่งชาติที่ควรจะมีการรณรงค์ให้มากๆ เพราะ ณ ปัจจุบันคนเราเห็นแก่เงิน เห็นแก่ส่วนตัว ต้องมาเป็นที่ 1 ยืนอยู่สูงสุด แม้ว่าจะต้องเหยียบใครขึ้นมาก็ตาม แต่ลืมมองกลับไปว่า จริงๆ แล้ว สังคม ถ้ามันจะพัฒนาได้ มันต้องพัฒนามาจากสังคมขนาดเล็กก็คือครอบครัว ให้มีคนหรือเยาวชนประชาชน คิดในมุมบวกเยอะๆ
"อยากจะฝากบอกถ้าเราปลูกฝังเรื่องการเป็นจิตอาสานี้ ให้เด็กและเยาวชน ได้ซึมซับตั้งแต่เด็ก เขาก็จะเกิดจิตสาธารณะอย่างแท้จริง คนที่มีจิตสาธารณะคือคนที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ช่วยเหลือสังคมโดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน แล้วพวกเขาก็จะไม่หยุดช่วยเหลือสังคมเลย เช่นเดียวกับเราที่ ปฏิบัติหน้าที่จิตอาสาตรงนี้โดยที่ไม่ต้องรอคำสั่ง เพราะมนุษยธรรมนั้นรอไม่ได้ เราก็ตั้งใจทำความดีตั้งแต่วันนี้ เมื่อเราทำดี เราก็จะไม่กล้าทำบาป หายนะก็จะไม่เกิดขึ้น หลายๆ อย่างที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม เพราะคนในสังคมไม่ใช่ทุกๆ คนที่จะทำความดี"
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : เฟซบุ๊ก ฤชวีพัฒน์ จิราวัฒน์มงคล
เปิดตัวตนความคิด ช่างตัดผมวัยกลางคน แห่งร้านชิควันแอนด์โอนลี่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ “กอล์ฟฟี่-ฤชวีพัฒน์ จิราวัฒน์มงคล” นามกรที่อยู่ในใจของผู้ทุกข์ยาก ที่พ้นมาจากความเกเร อดีตหนุ่มผู้ผิดหวังจากความรักจนชีวิตล้มแทบพังพาบ เคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย ก่อนพบสัจธรรมชีวิตท่ามกลางคมกรรไกรและปัตตาเลี่ยน แจกจ่ายความรักแก่ผู้คนที่พบเจอ ช่วยเหลือสังคมแก่คนจร ผู้ป่วยพิการ คนชรา เป็นระยะเวลากว่า 7 ปี จนปัจจุบัน...
เปิดชีวิตอดีตคนสูญหัวใจ
สู่แฮร์สไตล์ลิสต์ผู้แจกจ่าย "รัก"
“จริงๆ ต้องขอบคุณคุณแม่ เพราะท่านทำให้เราเป็นเราได้ในทุกวันนี้”
แฮร์สไตล์ลิสต์เริ่มต้นสนทนาถึงเหตุผลต้นแบบที่ทำให้จากเด็กเกกมะเหรกเกเร ใช้ชีวิตหลงผิดจนเกือบติดตะราง เคยอาฆาตมาดร้ายคนที่แยงพรากคนรัก กลับตัวกลับใจกลายมาเป็นช่างตัดผมผู้มีจิตอาสาออกช่วยเหลือคนด้อยโอกาสแทบทั่วประเทศมากกว่า 6 ปี จนถึงตอนนี้
“ผมเกิดและเติบโตที่โคราช อำเภอปากช่อง ในครอบครัวที่ยากจน แต่คุณแม่ก็มักจะปลูกฝังให้เราทำบุญตั้งแต่เด็กๆ โดยการที่ว่าบ้านเราอยู่ติดกับวัด คุณแม่ท่านก็จะห่อข้าวใส่ปิ่นโตให้เรานำไปถวายพระ ก่อนไปโรงเรียนทุกวัน ตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อน เราก็จะบวชเณรแทบทุกปี แต่ด้วยความที่สภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ ไม่ต่างจากชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ หรือเพิงพักแคมป์คนงาน เราก็จะได้เห็นทั้งยาบ้า ยาเสพติด การกินเหล้าเมายา การทะเลาะเบาะแว้ง เราก็เลยจะเกเรบ้างตามประสา ก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งชีวิตผ่านมาได้โดยไม่ติดคุกติดตาราง เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นประมาณมัธยมต้น ม.3 วัยหัวเลี้ยวหัวต่อหรือวัยหัวเลี้ยวหัวแตก”
แต่ถึงแม้จะเกเรไปบ้าง ทว่าด้วยความใฝ่ดี ไม่เคยทิ้งการเรียน จึงเรียนสอบไล่ได้ที่ 1 ของห้องตลอด แต่แล้วชีวิตก็พลิกสู่เส้นทางที่ผิดพลาดเข้าจนได้
“คือเราเป็นวัยรุ่นที่ไม่สามารถเลือกทางออกได้ เพราะเราไม่มีคนแนะแนว เราก็ไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรกันแน่ ทีนี้ ถึงแม้เราสอบได้ที่ 1 ของห้องทุกปี แล้วเราก็ได้โควต้าจากวิทยาลัยเทคโนโลยี วิทยาลัยอาชีวะต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ในขณะที่คนอื่นต้องไปสอบแข่งขัน เราได้สิทธิ์เรียนเลย แต่เราก็ไม่เลือก เราไปเลือกเรียนเอกชน เพราะได้แต่งตัวดี มีเนคไทยด้วยอะไรด้วย ไม่คิดจะไปศึกษาหาความรู้ เราไปเพราะเพียงแค่ยูนิฟอร์มสวย ดูเหมือนไฮโซ ทีนี้ยิ่งได้เข้าไปเจอสังคมแบบนั้น สังคมปลอม เหมือนที่คนเรายังติดกับวัตถุ โหย คนโน้นเขาก็มีรถขับมา คนนี้ก็มีนั่นมีนี่ แต่เราไม่มีอะไรเลย เราทำอย่างที่เขาทำไม่ได้เลย เราก็ต้องโกหกแม่ว่าอาจารย์สั่งทำนู่นทำนี่ ค่ารายงานเป็นร้อยเป็นพัน ซึ่งแม่ก็ไม่มีอยู่แล้ว ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิ้นมาให้เรา”
หลักร้อยกลายเป็นพัน หลักพันกลายเป็นหมื่น สู้ใช้แรงแลกเงิน โหมทำงานเพื่อลูกน้อยจนร่างกายล้มป่วย
“เราถึงได้สติ เพราะแม่เริ่มไม่สบาย เข้าโรงพยาบาลบ่อย และเรื้อรัง รักษาไม่หาย คุณพ่อก็ต้องทำงานหนักขึ้น เราก็เลยรู้สึก ขอโอกาสแม่ ก็เลยตัดสินใจไปทำงานช่วยท่าน พอไปทำงานก็ โอโห้...รู้เลยว่าการที่กว่าจะได้เงินมา มันลำบากมาก ถึงแม้ว่าเราตอนเด็กจะเคยไปทำงานรับจ้างถากหญ้า ถากรุ่นในสวนไร่อ้อย สวนไร่ข้าวโพด หรือคุ้ยเศษขยะขาย แต่การที่เราไปทำงานตอนโตนั้นต่างกันลิบลับ เนื่องจากมันเป็นสังคมที่เราไม่รู้จัก ทีนี้ ด้วยความที่เราเป็นตุ๊ด เราก็เลยถูกแกล้ง
“เราเป็นพนักงานขนกล่องสิ้นค้าขึ้นตู้คอนเทนเนอร์ เราต้องโยนกล่อง กล่องๆ หนึ่งก็หนักเกือบ 20 กิโลกรัม วางบนพาเลท หรือบางทีก็ต้องโหลดขึ้นตู้ เราก็จะโดนพวกผู้ชายวัยรุ่นหรือคนที่แข็งแรงกว่า แกล้งยกกระแทกบ้าง โยนกล่องใส่เราบ้าง ในสภาพห้องทำงานอุณหภูมิลบ 20 องศา ก็ทำเป็นกรรมกรตรงนั้น 3-4 เดือน ด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือ แล้วเราเรียนสายอาชีพมา พื้นฐานก็มี ระหว่างที่ทำงาน เราก็ศึกษาหาหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาอ่าน หรือไม่ก็เวลาที่มีเอกสารภาษาอังกฤษแปลกปลอมติดมา เราก็แปล มันก็ทำให้เรารู้ระบบการทำงานส่วนหนึ่งในองค์กรนั้น
“แล้วมีอยู่วันหนึ่ง ผู้บริหารเดินมาเห็นหนังสือคอมพิวเตอร์เราวางอยู่ ผู้บริหารก็เลยถามโฟร์แมนว่าหนังสือเล่มนี้ของใคร พอเขารู้ว่าเป็นของเรา ก็เลยเรียกเราไปคุยแล้วก็บอกว่าตอนนี้เขาต้องการเจ้าหน้าที่วางแผนและสถิติที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการคีย์ข้อมูลได้ เขาก็ถามว่าเราทำได้ไหม เราก็บอกว่าได้ เขาก็ให้เราทดสอบ เราก็ทำได้ แล้วเขาก็ให้เราไปอบรม หลังจากนั้นก็ได้ขยับตำแหน่งย้ายขึ้นทำไปทำงานในออฟฟิศ ก็เก็บเกี่ยวสั่งสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ ในหลายๆ ที่ ก็ใช้ระยะเวลากว่าสิบปี จนท้ายที่สุดอยู่ที่ตำแหน่งรองผู้จัดการ”
ทำท่าเหมือนจะไปได้สวย ประหนึ่งชีวิตฟ้าหลังฝน คลื่นลมสงบ ทะเลราบเรียบดั่งแผ่นกระจก นาวาชีวิตที่ลอยล่องกำลังจะถึงฝั่งจนมองเห็น กระนั้นเขาไม่รู้เลยว่าพายุร้ายกำลังจะถาโถมเข้ามาจนพลิกคว่ำเกือบตาย
“คือแม้ว่าเราจะเกเร แต่เรากลับตัวแล้ว เราดูแลครอบครัวเราได้แล้ว เราก็เลยอยากจะสร้างอนาคต สร้างครอบครัวของเรา”
แฮร์สไตล์ลิสต์ชื่อดังเว้นวรรค ก่อนจะเปิดเผยถึงสาเหตุที่เป็นจุดหักเหของชีวิต
“พอคิดอย่างนั้น เราก็ได้พบรักกับเด็กคนหนึ่ง ในที่ทำงาน ก็ศึกษาดูใจ ไม่มีการปกปิดทั้งสองครอบครัวเรารู้ และเห็นดีเห็นงาม จนถึงขั้นสัญญากันว่าจะแต่งงาน เพราะเขาเป็นคนที่นิสัยดีและเป็นลูกคนเดียวด้วย ก็เลยทำให้เรารัก เราเป็นห่วงเป็นใยคอยดูแล แต่ทีนี้ตอนที่เราเจอเขา เขากำลังเรียนอยู่ แล้วพอเขาเรียนจบ เขาก็มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่มาเรียนทำให้เขาได้ไปเจอคนใหม่ แล้วคนใหม่ของเขาเป็นอาจารย์สอนเสริมสวยในโรงเรียนสอนเสริมสวย เขาก็ทิ้งเราไปแล้ว ก็ทำให้เราเฟล เพราะตอนนั้น งานที่ทำก็หนักแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน หน้างานปัญหาก็เยอะ เราก็ต้องคอยแก้ แต่แทนที่เราจะมีคนคอยให้กำลังใจ หันหลังไปก็ไม่เจอ ทั้งสองอย่างมันก็รุมเร้าจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยในตอนนั้น”
คิดอย่างเดียวคือการทวงคนรักกลับมา
มองปัญหาทางออกของเรื่องนี้คือ “ความตาย”
“ครั้งหนึ่งเราไปหาเขาที่บ้าน แล้วเราก็ขับรถของเขาออกมาข้างนอก เราตั้งใจที่จะขับรถพาไปชนต้นไม้ข้างถนนให้ตายไปเลย แต่ขณะที่กำลังจะพุ่งชน หน้าของแม่แวบเข้ามาในสมอง หน้าของแม่ลอยเข้ามา ความคิดถึงคุณแม่ ถ้าเกิดเราตายใครจะดูแลท่าน แล้วแม่จะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเรา เราก็เลยหักพวงมาลัยออกมาแล้วก็เบรค ตั้งสติใหม่ ถ้าเราตายใครดูแลแม่ และถ้าไม่ตายแต่พิการ ใครจะดูแลเรา คนที่เรารัก เขาจะอยู่กับเราไหม ณ วินาทีนั้น ขนาดเรามี 32 ประการครบ เขายังทิ้งเราไปมีคนใหม่ แล้วถ้าเราพิการขึ้นมา เขาจะดูแลเราหรือ พอคิดได้แค่นี้เราก็ไปส่งเด็กคนนี้ที่บ้าน
“แต่เราก็ยังแค้นลึกๆ นะ อยากจะแก้แค้นคนที่แย่งคนรักเราไป อยากจะเห็นหน้า อยากจะบอกกล่าวว่าเขารู้ไหมว่าเขามีคนรักของเขาอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าเรายังทำงานอยู่ตรงนี้ เราจะไม่มีโอกาสได้ไปเจอคนๆ นั้นแน่ๆ ก็เลยค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เราจะเรียนเสริมสวยที่ไหนได้โดยที่เสียเงินไม่เยอะ บังเอิญไปเจอที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานครฯ เรียนฟรี เราก็เอา หยิบไม่กี่บาทที่พอมีสะสมหลังจากสะสางหนี้และดูแลแม่ ขึ้นมาเรียน ก็มุ่งมั่นตั้งใจทั้งค้นหาและเรียน แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ แม้ว่าเราจะถือของมีคมอย่างกรรไกร เรากลับรู้สึกสงบมากขึ้น จากคนที่โมโหร้าย พูดจาหยาบคาย จากคนที่เอะอะโวยวาย กลับกลายเป็นคนที่จิตใจเย็นลง
“ที่เย็นลงก็เพราะว่าวิชาชีพนี้ เราจะต้องมีสติ มีสมาธิ ถ้าเราไม่มีสติและสมาธิ เราจะไม่สามารถครีเอททรงผมและตัดผมลูกค้าได้เลย แล้วอาจารย์ที่สอนเรา ท่านก็สอนให้เป็นคนใจเย็น ท่านก็จะชอบชักชวนพาไปไหว้พระ นั่งสมาธิในโบสถ์แถวที่เรียน อย่างวัดเทพลีลาบ้างหรือไม่ก็วันชนะสงครามบ้าง ตอนนั้น พอเราได้ขัดเกลาจิตใจบ่อยขึ้นๆ บวกกับตัวเราเองทำบุญเข้าวัดบ่อยตอนเด็ก ก็เลยทำให้เราพัฒนาทางด้านจิตใจค่อนข้างที่จะเร็ว ประมาณเดือนสองเดือน เราก็ลืมเรื่องที่ผลักให้เรามาไปหมด แล้วเราก็กลับมามองว่าสิ่งที่เราคิดมันผิดพลาดเยอะมาก
“คิดย้อนกลับไป คือโชคดีมากที่วันนั้นเราไม้ขับรถชนต้นไม้”
แฮร์สไตล์ลิสต์ กล่าวพร้อมสูดลมหายใจที่ยังมีชีวิตอยู่ตอบแทนคุณมารดาและได้ค้นพบเส้นทางชีวิตของตัวเองและส่งไม้ต่อมอบให้แก่ผู้อื่น
“จริงๆ แล้วความทุกข์ที่เรามีกันอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากการยึดติด การยึดถือเรื่องของวัตถุหรือตัวของมุนษย์เอง พูดง่ายๆ ว่าคนในโลกนี้ที่มีปัญหาเรื่องของความทุกข์ โดยคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นเจ้าของทั้งหมด แต่ในความคิดของเรา คิดว่าตัวเรามีชีวิตได้แล้ว ครอบครองเมื่อถึงเวลาหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ก็จะต้องเปลี่ยนมืออยู่ในมือของคนนอื่น ถ้าเกิดเราคิดได้ เราก็จะไม่ทุกข์
“และถ้าเรามีความทุกข์ ให้วิเคราะห์ความทุกข์ให้ได้ ถามไปว่าทำๆ ทำไม แล้วจะเจอต้นเหตุว่าท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เราทุกข์อยู่ เกิดจากอะไร เกิดจากความทุกข์ ที่เรายึดติด ทุกข์ที่เราสร้างเอง หรือบางคนเกิดจากความทุกข์ที่มโนขึ้นมาว่ามันจะต้องเกิดขึ้นมาในอนาคต เป็นความทุกข์ที่เราสร้างให้กับตัวเองโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าเรารู้จักปล่อยวางตัวเอง โดยไม่ยึดติด เราก็จะมีความสุขมากขึ้น เราก็จะเสียใจน้อยลง”
ทอดตนเป็นดั่ง “สะพานบุญ”
เพราะการให้ไม่มีคำว่า “รอ”
หลังละวางความทุกข์ เลิกความโกรธ ชีวิตฤชวีพัฒน์ก็เสมือนเกิดใหม่ที่มีแต่ความสุขจากหลังรอยยิ้มของผู้คนที่เข้ามาไว้วางใจใช้บริการ
“คือตั้งแต่หุ่นที่เราฝึกตอนนั้น เวลาเราตัดให้เขาแล้วเขายิ้มดีใจ เขามีความสุขกับทรงผมใหม่ แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว จากนั้นก็ทำให้เรารักในวิชาชีพนี้ แล้วก็พยายามจะใช้เวลาว่างที่มีเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด พยายามฝึกตัวเอง ถึงจะเป็นนอกเวลาเรียน เพื่อให้เราเก่งที่สุด”
“ในระหว่างที่เรียน...เรียนไปได้เข้าเดือนที่ 2 จะเดือนที่ 3 อาจารย์สุภัททา เหล่าพูลศรี ก็เริ่มพาออกหน่วย ไปตามชุมชนต่างๆ อย่างเคหะคลองจั่น ตามซอยละแวกวัดเทพลีลา ละแวกซอยรามคำแหงที่เป็นชุมชนแออัดสมัยนั้น มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ไปออกหน่วย ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าขอให้ไปตัดผมให้แม่เขาหน่อย แม่เขาไม่สบายแต่อยากตัดผม ทีนี้ ด้วยความที่เพิ่งจะเรียนกันได้ไม่กี่เดือน ขนาดตัดคนที่ปกติสบายดี จับปัตตาเลี่ยน จับกรรไกรมือยังสั่น ก็เลยไม่มีใครไป แต่ด้วยความที่เราออกแนวเป็นผู้นำเพื่อนๆ มาตลอด เราก็เลยไป ไปเพราะเข้าใจว่าคำว่าไม่สบายก็คงแค่เป็นไข้ ปวดหัว
“แต่พอไปถึงเข่าแทบทรุด เพราะว่าผู้หญิงบอกว่าไม่สบายไม่ใช่มาสบายธรรมดา เขาเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องใส่ท่อออกซิเจน สอดท่อปัสสาวะ อุจจาระ สายระโยงระยาง แล้วเขาก็นอนหายใจรวยริน มองฝ้าเพดานตลอดเวลาอยู่ในห้องโทรมๆ ห้องหนึ่ง เราก็ตกใจ ตั้งสติรวบรวมสมาธิ คิดว่าเราจะตัดอย่างไรดี ขนาดคนปกติยังตัดไม่ได้เลย แล้วเราจะเริ่มต้นอย่างไร ก็สูดลมหายใจ นับ1-2-3 'สวัสดีค่ะคุณยาย วันนี้หนูจะมาตัดผมให้คุณยาย ให้อย่างเลิศเลย เก๋กู๊ด แบบเดินพรมแดงที่ปารีสเลยนะค่ะ' เราก็ตอแหลไป (ยิ้ม) ก็คือวินาทีนั้น สาวแตกมาก เพราะด้วยความที่ตัวเราเองมีรอยสักเต็มตัวไปหมดจากสมัยทำงานโรงงาน เราก็คิดว่าถ้าเกิดเราไม่แอคติ้ง เขาก็จะกลัว เราเป็นใครวะ (หัวเราะ) โจรปล้นบ้านเขาหรือเปล่า”
แม้ว่าแฮร์สไตล์ลิสต์จะกล่าวแซมยิ้มด้วยท่าทางตลก เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเก่าในวันก่อน แต่ ณ ห้วงเวลานั้น ท่ามกลางสภาพสายระโยงระยางทั้งในส่วนช่วยหายใจ ในส่วนของการขับถ่าย กับผู้ใช้บริการที่เป็นคนจริงๆ ก็เหมือนหุ่นได้แต่มองเพดาน กลับเป็นรอยยิ้มปนน้ำตาที่สื่อแทนอารมณ์
“เพราะเราตัดผมไม่เป็น ตัดออกมาแล้วเป็นเหมือนเสือดาว คือแหว่งและด่างทั้งหัว แล้วเขาก็ร้องไห้ เราก็ตกใจ เราก็นึกว่าเราทำให้เขาเจ็บหรือเปล่าเวลาที่ตัด แต่ปรากฏว่าน้ำตาเขาไหล แต่เขายิ้ม เพราะปลื้มปิติดีใจ ที่มีคนแปลกหน้ามาดูแลเขา โดยที่ไม่ได้รังเกียจเลย เครื่องไม้เครื่องมือถุงมือก็ไม่มี สดๆ เลย มือเราสดๆ ดูแลตัดผมให้เขา แล้วก็เสริมสวยให้เขา แล้วก็พูดคุยให้กำลังใจเขา ให้เขารู้ว่าตัวเขาเอง ไม่ใช่คนไร้ค่า ตัวเขาเองก็มีค่าความเป็นมนุษย์เหมือนเราคนทั่วไป
“และในขณะที่เราพูเดคุยกับเขา เขาก็น้ำตาไหล ก็ทำให้เรานึกถึงแม่ เพราะแม่ในช่วงเวลาหนึ่ง เราเคยไปเฝ้าแม่ที่ผ่าตัดเนื้องอกเส้นปราสาทตา ทำให้ตาบอดหนึ่งข้าง ภาพในในวันนั้นมันเป็นภาพที่แบบเดียวกันกับที่ผู้หญิงคนนี้นอนหายใจรวยรินอยู่ วันที่เขาเข็นแม่ออกมาจากห้องผ่าตัด โกนผมออกมา มีสายเจาะ แล้วเลือดไหลออกมาทางหัว น้ำตาก็เอ่อคลอ เราก็เลยถึงบางอ้อเลย
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราคิดว่าตัวเราเองการทำบุญมันต้องใช้เงินตลอด เพราะถึงเวลาก็จะมีคนเอาซองมาให้เรา ขอลายชื่อหน่อย ประธาน 500 บาท กรรมการ 100 บาท เราเจอแบบนี้มาตลอด ก็เลยเข้าใจผิดว่าการทำบุญมันต้องใช้เงินเป็นหลัก แต่ในวันนั้น เรารู้แล้วว่าเราไม่ต้องใช้เงิน เราสามารถใช้ความรู้และอาชีพของเราช่วยทำบุญได้ วันนั้นเราไม่เสียเงินสักบาทเราก็ได้บุญ แล้วเป็นบุญที่เห็นชัดเจนมากจากความสุขของคนที่เราเข้าไปดูแล”
จึงเกิดเป็นภาพจำ สำหรับทั้งผู้คนที่ร่ำเรียนฝึกปรือวิชาช่างผมในศูนย์ฝึกอาชีพ กทม.ที่จะเห็นชายหนุ่มผู้มีรอยสักเต็มตัว สะพายย่าม เดินบอกคนจรข้างทางเท้า “ถ้าประสงค์อยากตัดผม เรียกหนูนะ”
“ก็เริ่มบอกเพื่อนๆ บอกคนจรจัด เดินเจอะเจอระหว่างทางไปเรียนก็ถามเขาว่าอยากตัดผมไหม อยากตัดบอกนะ เพราะยุคนั้นไม่มีโซเชียล ก็เลยต้องใช้วิธีพูดอย่างนี้ บางคนก็มองแปลกๆ เพราะหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร สอง สภาพเราก็ไม่เหมือนช่างตัดผม มีรอยสักตัวผอมๆ เพราะอดอยาก ผมเผ้าก็เซตบ้างไมเซตบ้าง สะพายย่ามกระเป๋าผ้าราคาถูกๆ ที่ใส่อุปกรณ์การเรียนแล้วก็เดิน มันก็เหมือนมิจฉาชีพ
“หลังจากนั้นก็บอกต่อๆ กันปากต่อปาก แต่โดยส่วนมากช่วงนั้นก็แถวรามคำแหงย่านที่เรียน แล้วก็มีที่อื่นๆ บ้าง เราก็นั่งรถเมล์ไปบ้าง เดินไปบ้าง ทำควบคู่จนเรียนจบก็ไปสมัครงานร้านตัดผม ก็เริ่มจากร้านเล็กๆ แถวรามคำแหง เพราะไปสมัครร้านใหญ่ชื่อดังที่มีสาขาทั่วประเทศแล้วฝีมือเราไม่ผ่าน คือเรียนกับชีวิตจริงมันต่างกัน ก็ตัดลับฝีมืออยู่ 3 เดือน ตัดผมให้คนจร คนพิการ แถวย่านนั้นมาเรื่อย เขาก็โทรกลับมา
“เนื่องจากว่าเขาชอบบุคลิกของเรา เขาจะเอาเรามาปั้น แล้วในปีนั้นเขาเอาช่างเก่งๆ ของเขาทั้งหมดที่มีประสบการณ์มาเรียนใหม่ทั้งหมดหลายสิบคน แล้วเราเป็นคนที่มีประสบการณ์น้อยที่สุด แต่ว่าทุกทรงที่เขามี จากอาจารย์จากต่างประเทศมาสอน เราสามารถตัดได้ Top 5 ตลอด ก็เรียนออยู่ประมาณเดือนสองเดือนก็ได้ลงประจำสาขา แล้วพอเราอยู่ในร้านเขาก็จะมีพาเราไปเทรนแบรนด์โน่นนี่ตลอด ทำให้เราฝึกประสาบการณ์เรื่อย Learning by doing มาตลอด”
เมื่อบวกกับทุนเดิมที่รักและนิสัยใฝ่รู้ หมั่นฝึกซ้อมเทสต์งานลองผิดลองถูกทั้งทำสี ตัด ดัด ซอย ทำให้ระยะเวลาเพียงไม่ถึง 5 ปี “กอล์ฟฟี่” กลายเป็นชื่อที่คนรักสวยรักงามต่างต้องการตัว ถึงขนาดจองคิวกันข้ามอาทิตย์ ข้ามเดือน บางคนข้ามประเทศ มีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
และถึงแม้ล่าสุด ปีที่ผ่านมา ตำแหน่งช่างผม 1 ใน 12 ของประเทศจากการประกวด Thailand trend vision award 2015 จะทำให้เขามีชื่อเสียงและโอกาสร่ำรวยจากการสร้างเนื้อสร้างตัวในอาชีพ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นอาสาตัดผมฟรีให้กับคนจร คนแก่ คนป่วย พิการ ควบคู่กันเรื่อยมาทั่วสารทิศ และยังเพิ่มเติมพ่วงการดูแลสารทุกข์สุขดิบเสมือนประหนึ่งเป็นลูกหลาน (พาไปหาหมอ พาไปโรงพยาบาล พาไปทำบัตรประชาชน พาไปพบลูกหลานที่อยู่ในที่ห่างไกล) กระทั่งรวมไปการแต่งหน้าผู้เสียชีวิตโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเฉกเช่นเดียวกันอีกด้วย
“คือเนื่องจากว่าการแต่งหน้า เรามีพื้นฐานมาตั้งแต่เด็กๆ ที่เรียนอยู่แล้ว เพราะว่าเวลาอยู่กับรุ่นพี่ๆ พวกเขาก็จะแต่งกัน เราก็สังเกตว่าเขาแต่งอย่างไร เราก็เริ่มหัดแต่งให้เพื่อนๆ ด้วยกัน แล้วมีวันหนึ่งมีคนมาเห็นว่าเราแต่งหน้าให้เพื่อนสวย เขาชอบ เขาก็เลยจ้างให้แต่งหน้าเจ้าสาว จำได้ว่าครั้งแรกได้เงินค่าแต่งหน้า 150 บาท สองรอบก็ 300 บาท จากค่าลงทุนเครื่องสำอางพันกว่าบาท (หัวเราะ) เราก็เลยรับแต่งหน้าตั้งแต่อายุ 16-17 แต่เป็นแบบไม่ได้มีหน้าร้าน ใครมาฟลุค จ้างก็ไป
“แล้วเราก็ทิ้ง อย่างที่บอกไปว่าเราไม่มีใครแนะนำชี้รู้ทางว่าเราควรจะไปเส้นทางไหน ตอนนั้นก็เลยคิดว่าอาชีพช่างแต่งหน้าไม่มีเกียรติ เราอยากทำงานนั่งโต๊ะมีลูกน้อง นั่งเซ็นเอกสาร ก็เลิกไป ไม่ได้ฝักใฝ่ แต่ทีนี้ ด้วยพื้นฐานตรงนี้ เพื่อนเราที่รู้จักก็มักจะคุยๆ เล่นกับเพื่อนทั้งผู้หญิงและกระเทย ก็พูดเล่นๆ กันบอกว่า "เฮ้ย...ถ้าเกิดกูตาย มึงต้องมาแต่งหน้าให้กูนะ" ก็ด้วยความสนุกสาน บังเอิญเพื่อนเกิดตายก่อนวัยอันควรจริงๆ
“เราก็...ตายแล้ว ทำไง ตอนนั้นเป็นคนที่กลัวผี ใจก็กล้าๆ กลัวๆ สั่นๆ ไปหมด มันให้แต่ง เราก็แต่ง แต่แต่งไปเหงื่อแตกไป เพราะว่าคนที่ตายไปแล้วสภาพมันก็เปลี่ยนไปทั้งหมด ผิวก็เขียวคล้ำ มีสำลีอุดจมูก อุดปาก พอเราแต่งเสร็จ เรามีความรู้สึกว่าจริงๆ มันก็ไม่ได้มีความน่ากลัวเหมือนในละครที่เราดูหรือที่เราเห็นตามรายการต่างๆ มันก็เหมือนคนที่ตอนที่ยังมีชิวิตอยู่ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ย้อนกลับมาคิด ถ้าเป็นเราอย่างนั้น เราก็คงไม่กล้าออกมาพบผู้คน นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต่าง
“เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้บุญอย่างไร แต่เรารู้แค่ว่าเราแต่งเขาให้สวยเหมือนตอนที่เขามีชีวิตอยู่ ในช่วงเวลาที่คนมารดน้ำศพ ก็จะเห็นสภาพเขาสวย ดูแล้วแจ่มใส เขาก็เห็นภาพที่คุณยังนอนสวยอยู่ ให้เขาจำภาพสวยๆ ไป ดีกว่าเห็นภาพหดหู่ เพราะเขาไปอยู่ในภพภูมิที่ดีแล้ว เราควรยิ้มส่งเขา
“หลังจานั้นก็เลยป่าวประกาศว่าใครที่มีผู้ที่เสียชีวิตอันเป็นที่รักติดต่อมาได้ที่เรา”
แฮร์สไตล์ลิสต์เปิดเผยงานจิตอาสาที่เพิ่มขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวถึงเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ทำ แม้ว่าจะหนักและใช้เงินส่วนตัว กระทั่งถูกหาว่าสร้างภาพหลังวีรกรรมของเขาออกแพร่ไปยังสื่อต่างๆ เขาก็ยังยืนยันที่จะทำต่อไป
“เพราะว่าการให้รอไม่ได้ แล้วก็หยุดไม่ได้ คือคนป่วยคนพิการ เราไม่ใช่ว่าไปเจอเขาครั้งเดียวแล้วคือจบ เราก็ต้องวนกลับไปดูแลเขา เพราะเขาก็ดาวน์ลงเรื่อยๆ ร่างกายก็แก่ลงเรื่อยๆ ข้าวของเครื่องใช้ที่เขาใช้มันก็หมดลงไปเรื่อยๆ เราก็ต้องคอยเติมเต็มให้เขา ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่ารวย ก็ยังจนอยู่เหมือนเดิม แต่เราไม่ได้มองถึงเรื่องเงิน จริงอยู่ที่แม้ว่าเราจะสูญเสียรายได้จากการสละเวลาไปทำหน้าที่ตรงนั้น เสียเงินค่าใช้จ่ายการเดินทาง เราอาจจะสร้างรายได้จนร่ำรวยจากอาชีพนี้ แต่คำว่ารวยของคนเราไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ถ้ารอรวย เมื่อไหร่ล่ะถึงจะได้ช่วย เราทำเพื่อให้เรามีไปช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบากกว่า เพราะเราผ่านชีวิตที่ลำบากมา เรารู้ว่ามันไม่ง่าย คนยากคนจนมันเดือดร้อนแค่ไหน มันมีความต้องการแค่ไหน เราจึงไม่มองว่าสิ่งเหล่านี้มาเบียดเบียน ไม่ได้มามีผลกระทบกับตัวเรา ถึงใช้คำว่าเสียสละเข้าไปแทน
“แต่ก็เราอาจจะโชคดีที่เรามีพรสวรรค์ทางด้านการตัดผม ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกกลุ่มลูกค้าที่เป็นชนชั้นระดับกลางไปจนถึงรวย เวลาที่เขามาตัดผม เขาจะให้ทิปค่อนข้างเยอะ เราก็เอาตรงนั้นมาเป็นค่าใช้จ่าย ถ้าไม่พอ เราค่อยเอาของเราออก ซึ่งมันก็ไม่มากมาย ยิ่งพอเขารู้ว่าเราทำตรงนี้ บางคนก็อาจจะไม่ได้ให้ทิปเราเป็นเงิน แต่เป็นสิ่งของช่วยเหลือ เขาเอาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาร่วมช่วยเหลือเราเลย ก็ทำให้ช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น วันธรรมดาเช้ามาก่อนเข้าร้าน 11 โมงเช้า 7 โมง หลังไหว้พระสวดมนต์ เราก็ตระเวนดูตารางพิกัดคิวที่จัดเตรียมไว้ได้รายสองราย ตัดผม เติมสิ่งของก็ยังดี หลังเลิกงาน 2-3 ทุ่ม ตัดไม่ได้แล้ว เพราะค่ำเวลาพักผ่อน เราก็เอาของไปเติม หรือในระหว่างที่ทำงาน หากเขาโทรมาบอกว่าขาดเหลือสิ่งของ อย่างแพมเพิร์ส เราก็หยิบจากสต๊อกออกไปให้เขาได้ในทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อ เขาก็สามารถใช้ได้ทันการณ์
“หลายๆ คนมักจะถามว่า ที่ทำเราสร้างภาพหรือเปล่า คือถ้าภาพที่เราสร้างมันเป็นภาพที่สวยงาม มันเป็นการสร้างแล้วทำให้สังคมมีความสุข มีแต่รอยยิ้ม และที่สำคัญสังคมมีแต่น้ำใจให้กัน เราก็คิดว่าควรที่จะสร้าง เพราะถ้าเราสร้างภาพที่ดีแบบนี้ทุกๆ คน ทุกๆ ทาง โลกเราก็จะมีแต่ความสุข หรือบางคนก็บอกว่าอยากดัง เราก็บอกว่าถ้าเกิดว่าดังมากขึ้นเท่าไหร่ มันทำให้คนป่วยคนพิการที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ที่เขาอยู่ในซอกหลืบเล็กๆ ของสังคม หรืออย่างน้อยคนที่เขาไม่ได้ตัดผมเมาเป็นแรมปี แรมเดือน เขาก็จะได้ติดต่อมาหาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
“ฉะนั้น ถ้าเราดังมากขึ้นเท่าไหร่ คนที่เขาอยากทำบุญแต่ไม่มีเวลาไปแบบเรา คนที่ไม่ใช่ช่างตัดผม เขาไม่มีความรู้ในการตัดผม เขาก็สามารถมาร่วมบุญด้วยการนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาบริจาค แล้วเราจะเป็นสะพานบุญ นำของเหล่านี้ไปให้ผู้ป่วยอีกทีหนึ่ง อย่างน้องๆ ที่ทักมาขอไปร่วมด้วยช่วยกับเรา ยิ่งดังมากขึ้นเท่าไหร่ บุญมากขึ้น โอกาสของคนที่ต้องการความช่วยเหลือก็แพร่กระจายไปมากขึ้น ทั่วถึง เข้าถึงมากขึ้น เราก็อยากดัง”
เมื่อสองมือยังดี สองเท้ายังอยู่
ขอสร้างความน่าอยู่ให้สังคม
“พอเราไปช่วยเราได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ไม่ใช่เฉพาะคนที่เราไปช่วยเท่านั้น ครอบครัวเขาก็มีความสุข คือขอให้เวลาที่เราไปอยู่ไปช่วยแล้วครอบครัวเขามีความสุข เขาลืมความทุกข์ที่เขานอนทรมาน 20-30 ปี ไปชั่วขณะหนนึ่ง จากที่ได้แต่นอนเฝ้าเพดานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็นอนนับถอยหลังลมหลายใจของเขาว่าเขาจะมีชีวิตถึงอีกเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้มันเป็นความสุขที่ไม่ได้รับการตอบแทนในรูปของเงิน แต่มันเป็นมูลค่าของความสุขที่เราได้ให้ผู้รับแล้วมันประเมินค่าไม่ได้เลย
“เราจึงไม่เหนื่อย แม้ว่าเราจะต้องทำเพี้ยนๆ บ้าง แต่งตัวแปลกๆ บ้าง แม้เราเลิกงานแล้วไปต่อหรือต้องตื่นแต่เช้าไปช่วย หลังเลิกงานไปช่วย บางครั้งไปที่ไกลๆ ข้ามจังหวัด ไม่ใช่ที่อำเภอหัวหิน ไม่ใช่ละแวกอำเภอปราณบุรี ชะอำ กุยบุรี หรือตัวอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ เราก็ไป จะพักผ่อนน้อยก็ไป ขับรถไกล ขับรถตลอดเวลาก็ไป เพราะคนเหล่านี้เขารอเราอยู่ เรายังมีรถขับ มีอาการครบ 32 เรายังมีกว่าเขาตั้งเยอะ แต่คนเหล่านั้นเขาไม่มีโอกาสเหมือนเรา เราต้องรีบไปช่วยเขา เราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละแล้วใครจะดูแล
“เรื่องนี้จริงๆ เป็นเรื่องของความรักที่แท้จริง”
แฮร์สไตล์ลิสต์สรุปสิ่งที่ ณ วันนี้เป็นแรงผลักให้เขาเดินหน้ามุ่งต่อไปไม่หยุด
“คือรักที่แท้จริง อย่ารักแต่คนในครอบครัวของตัวเอง อย่ารักเฉพาะคนที่เราอยากรัก อย่ารักแต่คนที่เป็นเพื่อนเรา เพราะถ้าเกิดเรารักแค่คนกลุ่มนี้ แล้วคนที่ไม่มีพรรคพวกหรือคนที่ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน ใครจะดูแล ฉะนั้น เราต้องรักสังคม โดยเริ่มจากตัวเราก่อน ดูแลคนในครอบครัว แล้วก็ขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่าคำว่าให้ที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร สังคมมันก็จะน่าอยู่มากขึ้น เราคนเดียว เราไม่สามารถจะดูแลคนป่วยทั่วประเทศ เราไม่สามารถแน่นนอนด้วยความสัตว์จริง แต่ถ้าคนทั้งประเทศ ถ้าคุณมีนน้ำใจ คุณสามารถดูแลคนกลุ่มนี้ได้ทั้งประเทศแน่นอน เพราะคนปกติในประเทศเรามีเยอะกว่าคนป่วยคนพิการอยู่แล้ว
“ก็จะทำตรงนี้ต่อไป ตอนนี้ก็มีเป็นที่ปรึกษาให้กับคนธรรมดาที่มีความทุกข์ด้วย ปรึกษาทางโทรศัพท์หรือข้อความเฟซบุ๊กหรือทางไลน์ หลายๆ ครอบครัวที่เขามีปัญหา คนพวกนี้ไม่ได้เป็นผู้ป่วย เป็นคนปกติธรรมดา ที่ทำงาน มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ชีวิตของเขามีปัญหา เราก็ใช้เนื้อส่วนรวมตรงนี้ช่วย ก็ใช้แนวหลักทางพุทธศาสนา เพื่อให้เขาได้สติในการดำรงชีวิตด้วย
“อนาคต ตั้งใจเก็บเงินสักก้อน เปิดร้านเป็นของตังเอง เปิดเป็นอะคาเดมี่สอนคนยากจน ให้มาเรียนวิชาช่างผมกับแต่งหน้าฟรี โดยใช้ประสบการณ์ของเรามาเป็นต้นแบบให้ปรับใช้ในการดำรงชีวิต ปลูกฝังในเรื่องศีลธรรมจริยธรรม แล้วก็แนะนำให้เขาทำเหมือนที่เราทำอย่างทุกวันนี้ เพื่อเป็นการสร้างคนให้มีเงินไปดูแลตัวของเขาแล้วก็ครอบครัวของเขา เป็นการสร้างจิตอาสาในสังคมให้สังคมบ้านเรามีความน่าอยู่มากขึ้น มีน้ำใจให้กันมากขึ้น แล้วก็อาจจะเสนอตัวขอเข้าไปเป็นครูสอนวิชาชีพตัดผมให้กับเรือนจำ ทัณฑสถานต่างๆ เพื่อให้คนเหล่านี้ออกมาแล้วมีอาชีพที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของเขาต่อไป”
และนี่ก็คือเรื่องราวที่เริ่มต้นจาก “ความรัก”
จากการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเอง “รัก”
เมื่อถักทอรวมกันจึงทั้งสวยงาม แข็งแรง และทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเห็นความรักหลายหลายรูปแบบ ซึ่งทำให้เราร้องไห้ได้ตลอดเวลา เพราะเราเป็นคนที่เก็บอารมณ์ตลอด ให้ดูเป็นคนที่แข็งแรง ถ้าติดตามในเพจ จะรู้เลยว่าคนที่เครียดจะต้องเข้ามาดูในเฟซบุ๊กเรา บางคนส่งข้อความมาบอกว่าเครียดจากงานมาดูเราแล้วมีความสุข หายเหนื่อย แต่ในบางมุม เราต้องเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัวเอง เราจะอ่อนแอไม่ได้ เพราะว่าความรักที่เห็น มันเป็นความรักที่ทรงคุณค่ามาก อย่างคุณแม่ที่ดูแลลูกป่วยพิการมาเป็น10 ปี ตั้งแต่อุ้มลูกอาบน้ำ ป้อนข้าวลูก จนปัจจุบันคุณแม่เองก็ป่วย เป็นเบาหวาน ถูกตัดนิ้ว ตัดขา แต่ยังคลานไปป้อนข้าว อาบน้ำ เช็ดตัวเหมือนกับตอนที่ลูกคนนี้คลอดมาใหม่ๆ มันเป็นความรักที่ทรงคุณค่ามากๆ มันทำให้เราเห็นได้ว่า รักแท้มันยังมีอยู่จริง ไม่ว่าจะกี่ปีก็แล้ว แต่แม่ก็ยังรักลูกไม่เปลี่ยนแปลง
“ในมุมมองกลับกัน เราไปเจอผู้ป่วย ผู้พิการ ที่เป็นพ่อแม่ซึ่งแก่เฒ่าถูกนำไปวางไว้ในสถานเลี้ยงคนชรา ทำไมมันเป็นความรักที่โหดร้าย โหดเหี้ยมขนาดนี้ ทำไมมันถึงยังมี เราก็พยายามนำมาเผยแพร่ แล้วก็ตีแผ่ออกไปให้คนในสังคมเห็น ถึงได้บอกว่ากว่าเราจะดูแลคนอื่นได้เราต้องดูแลคนในครอบครัวของเราก่อนเราถึงจะรู้ว่าความหมายของการให้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์คืออะไร นี่แหละเราต้องดูแลครอบคัวของเราให้ได้ก่อน ถ้าเข้าใจคำว่าให้ในนิยายามความหมายที่บอกไป อันนี้เป็นเรื่องที่เป็นวาระใหญ่แห่งชาติที่ควรจะมีการรณรงค์ให้มากๆ เพราะ ณ ปัจจุบันคนเราเห็นแก่เงิน เห็นแก่ส่วนตัว ต้องมาเป็นที่ 1 ยืนอยู่สูงสุด แม้ว่าจะต้องเหยียบใครขึ้นมาก็ตาม แต่ลืมมองกลับไปว่า จริงๆ แล้ว สังคม ถ้ามันจะพัฒนาได้ มันต้องพัฒนามาจากสังคมขนาดเล็กก็คือครอบครัว ให้มีคนหรือเยาวชนประชาชน คิดในมุมบวกเยอะๆ
"อยากจะฝากบอกถ้าเราปลูกฝังเรื่องการเป็นจิตอาสานี้ ให้เด็กและเยาวชน ได้ซึมซับตั้งแต่เด็ก เขาก็จะเกิดจิตสาธารณะอย่างแท้จริง คนที่มีจิตสาธารณะคือคนที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ช่วยเหลือสังคมโดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน แล้วพวกเขาก็จะไม่หยุดช่วยเหลือสังคมเลย เช่นเดียวกับเราที่ ปฏิบัติหน้าที่จิตอาสาตรงนี้โดยที่ไม่ต้องรอคำสั่ง เพราะมนุษยธรรมนั้นรอไม่ได้ เราก็ตั้งใจทำความดีตั้งแต่วันนี้ เมื่อเราทำดี เราก็จะไม่กล้าทำบาป หายนะก็จะไม่เกิดขึ้น หลายๆ อย่างที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม เพราะคนในสังคมไม่ใช่ทุกๆ คนที่จะทำความดี"
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : เฟซบุ๊ก ฤชวีพัฒน์ จิราวัฒน์มงคล