xs
xsm
sm
md
lg

เป็นแม่ค้ารุ่งกว่าเป็นหมอ!! "ชลธิรา ชินะกาญจน์"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ด้วยความที่ทางบ้านอยากให้เป็นหมอทำให้เธอมุมานะสอบติดแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้วเรียนจนจบตามหลักสูตรได้สำเร็จ หลังจากเรียนจบเธอก็ได้ไปใช้ทุนแต่เมื่อไปใช้ทุนได้สักพักกลับพบว่าแท้จริงแล้วนั้นตัวเองมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพ ประจวบกับเมื่อตอนเป็นหมอใช้ทุนเธอได้ไปทำอาชีพเสริมด้วยการไปเป็นแม่ค้าขายของตามตลาดนัด และนี่ก็เป็นที่มาให้เธอรักในการค้าขายจนถึงขั้นลาออกจากการเป็นหมอ และสร้างธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางในชื่อว่า "Beautelush"  ที่ขายดิบขายดีสร้างรายได้มหาศาลในปัจจุบัน

แพทย์หญิงชลธิรา ชินะกาญจน์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า หมอลี่ คือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง จากเด็กสายวิทย์ฯ ที่ใฝ่ฝันว่าอยากเป็นหมอจนไปสอบโควตาติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้สำเร็จ เมื่อเรียนจบ เธอก็ได้ไปใช้ทุนที่ภาคใต้และได้ย้ายกลับมาบ้านเกิดจังหวัดมหาสารคาม จนกระทั่งทำไปแล้วกลับพบว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันไม่ใช่เลยนำไปสู่การลาออกในที่สุด

จากการลาออกครั้งนั้นส่งผลตามมาอีกมากมาย ทั้งโดนดูถูก พ่อโกรธ และอีกสารพัด ซึ่ง…ณ วันนี้หมอลี่กลับพูดได้เต็มปากเลยว่าทุกวันนี้เธอมีความสุขมากๆ แล้ว กับสิ่งที่เธอตัดสินใจเลือกในวันนั้น

  • แพทยศาสตร์ ม. ขอนแก่นคือใบเบิกทาง

ก่อนหน้านี้ ลี่เป็นเด็กสายวิทย์ และเราก็อยากเป็นหมออยู่แล้ว อีกทั้งเครือญาติฝั่งคุณพ่อก็อยู่ในครอบครัวที่เป็นหมอมาตลอด จะไม่มีอาชีพมาทางสายศิลป์สักเท่าไหร่ ทำให้เราไม่ค่อยได้รู้จักกับอาชีพอื่น จะรู้จักแต่แค่หมอ เภสัชกร ทันตแพทย์ราวๆ นี้ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ก็ปลูกฝังเราว่าโตไปเป็นหมอนะ ทำให้เราคิดว่าเรียนหมอจบมา มันต้องดีแน่ๆ ตอนนั้นสอบโควตา เขาจะให้เลือกได้คณะเดียว ลี่เลยตัดสินใจเลือกคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเราก็สอบติด

พอได้เรียนก็ชอบนะ อย่างมีผ่าอาจารย์ใหญ่ เราก็ชอบ เรียนแล้วสนุก แต่การเรียนเราจะได้เกรดเฉลี่ยกลางๆ ปกติคนที่เรียนหมอ เขาจะเริ่มคิดว่าถ้าตัวเองจบมาจะไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหนดี แต่พอลี่เรียนจบมาแล้ว เรายังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไรยังไง และมีอยู่เคสหนึ่ง จำได้ดีเลยว่ามีเด็กคนหนึ่งหยุดหายใจไปตอนประมาณตี 2 ตี3 ซึ่งเราก็อยู่เวรปกติ เราถูกตามไปปั๊มหัวใจช่วยเด็ก ทีนี้ชีวิตเด็กยังไม่ฟื้นเลย แต่เรากลับเป็นลมไปก่อน มันแย่มากนะ สรุปว่าเราน้ำตาลในเลือดของเราต่ำ เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะต้องอยู่เวรติดกันหลายวัน เลยเริ่มรู้สึกว่าเราจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เป็นลมบ่อย ประกอบกับตอนนั้น เราเริ่มอยากหาอะไรสนุกๆ ทำ

  • หาอะไรสนุกๆ ทำ

อันนี้เกิดจากการที่เราเป็นคนชอบแต่งตัวอยู่แล้ว ก็เลยไปซื้อบิ๊กอายจากอินเตอร์เน็ตมาขาย ลงทุนกับแฟนคนละครึ่ง ตอนแรกประมาณ 3 หมื่นบาท ขายทางอินเตอร์เน็ต ก็ขายออกช้าเหมือนกัน เลยคิดว่าเราน่าจะเพิ่มช่องทาง ลี่เลยไปที่ตลาดสด ไปจองที่แล้วปูโต๊ะขายเลย ก็ขายได้นะคะ วันหนึ่งได้ 2-3 คู่ ยังไงก็ได้กำไรอยู่แล้วเพราะค่าที่แค่ 50 บาท

ตอนนั้นเริ่มรู้สึกสนุกแล้วค่ะ เพราะเห็นว่าตัวเองขายได้ จากนั้นเราก็เลยไปรับอย่างอื่นมาขายบ้าง ก็จะเป็นสร้อย แหวน ต่างหู เสื้อผ้า เอามาขายในโรงพยาบาล ขายให้คนในโรงพยาบาล ก็ได้กำไรดี จากนั้นเราก็เริ่มอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเองเพราะเริ่มสนุกกับการขาย ลี่เลยสร้างแบรนด์ขึ้นมาเล็กๆ แต่จุดประสงค์ตอนแรกคือเราอยากใช้เองด้วย ให้เพื่อนที่เป็นหมอใช้ด้วย เพราะปกติเราเป็นคนแพ้ง่ายมากๆ ลี่เลยเริ่มจากการทำรองพื้นขึ้นมา ที่เราใช้แล้วไม่แพ้ พอทำเสร็จทดลองใช้เอง ให้เพื่อนใช้ก็ไม่มีใครแพ้ เราเลยเริ่มขายในอินเตอร์เน็ต ตรงนี้จึงเป็นตัวก่อตั้งแบรนด์ Beautelush ผลิตภัณฑ์ที่ขายอยู่ทุกวันนี้ขึ้นมา แต่ตอนนั้นยอมรับว่าเราทำแบบงูๆ ปลาๆ เพราะไม่เคยมีเซลล์หรือโฆษณาอะไร แต่จะอาศัยการบอกต่อ Beautelush เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องสำอาง มีพวกรองพื้น แป้ง บีบีทาตัวสำหรับผิวแพ้ง่าย ซึ่งลี่ทำตรงนี้มา 4 ปีแล้วไม่มีคนแพ้เลย สินค้าของลี่การันตีเลยค่ะว่าอ่อนโยนกว่าเคาน์เตอร์แบรนด์ในห้างอีก (ยิ้ม)

  • ตัดสินใจลาออกจากการเป็นหมอ

เนื่องจากว่ามันมีจุดเครียด เพราะเรารู้สึกว่าค้าขายเราก็ชอบ แต่หมอเราก็เรียนมา อีกอย่าง ที่ตัดสินใจลาออกเพราะมีหลายครั้งมากที่คนไข้โดยเฉพาะเคสเบาหวาน ความดัน เราต้องตรวจแข่งกับเวลา ซึ่งบางวันคนไข้เป็นร้อยๆ เคส เราจะไม่มีเวลาเลยไปจนถึงบ่าย 2 บ่าย 3 ไม่ได้กินข้าวเลยก็มี แต่เราก็ต้องตรวจ เพราะคนไข้เขาก็ต้องมารอเราแต่เช้าเหมือนกัน ทีนี้ตรวจๆ อยู่ ก็จะมีตัวแทนเครื่องสำอางโทรมา เราก็ต้องบอกคนไข้ว่าเดี๋ยวเรามานะ รอสักครู่หนึ่ง เพราะทางตัวแทนเขาก็รอเราเหมือนกัน ถ้าเราไม่ตอบ เขาก็จะดำเนินการไม่ได้ เราเลยรู้สึกผิดว่าเราทำไมทำอะไรได้ไม่เต็มที่สักอย่างมันเลยเป็นสาเหตุให้เราเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่าโดยที่ไม่รู้ว่าถ้าเลือกไปแล้วจะเป็นยังไงต่อไป

ตอนนั้นเลยทำให้เรามานั่งทบทวนมาจริงๆ แล้วเราชอบที่จะเป็นหมออยู่หรือเปล่า ปรึกษากับแฟนเขาก็บอกว่าแล้วแต่ลี่นะ และเขาก็ดูเห็นด้วยกับการให้เราไปเป็นแม่ค้า ขณะที่ทางครอบครัวคุณพ่อของเราซึ่งมาทางสายแพทย์กันหมดและไม่ชอบให้เราออกมาค้าขาย เพราะมันเหมือนกับว่าเสียศักดิ์ศรี อะไรทำนองนี้ คุณพ่อก็จะพูดประมาณว่าทำไมเราไม่อดทน ทำไมญาติที่เขาเรียนมาพร้อมกันกับเรา ทำไมเขาเรียนจบแล้วเขาถึงไปเรียนต่อได้ ทำไมเขาอดทน ตอนนั้นเราเลยคิดว่าเราจะไม่ปรึกษาพ่อแล้ว เพราะพูดไปพ่อก็ไม่เข้าใจ

จะบอกก่อนว่า ตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่เราไปเรียนไกลบ้านตลอด เลยทำให้ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร เราจะชอบตัดสินใจแก้ปัญหาเองอยู่ตลอด บางครั้งก็มีคนถามเหมือนกันนะคะว่าทำไมเราถึงกล้าที่จะก้าวออกมา จริงๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดเหมือนกันนะ เลยทำให้เรารู้ว่าที่เรากล้าทำ เพราะเราห่างบ้านมาตั้งแต่เด็ก ทีนี้เรามีปัญหา เราก็ไม่ได้ปรึกษาพ่อกับแม่ เหมือนเราปรึกษาตัวเอง ปรึกษาเพื่อนมากกว่าเพราะฉะนั้น ณ วันหนึ่งเมื่อมันต้องเลือก และพ่อเราไม่เข้าใจ เราก็คิดว่าไม่เป็นไร เราขอเลือกที่ตัวเองชอบดีกว่า อีกทั้งแฟนก็บอกว่าเขารู้สึกได้เลยนะว่าเรากำลังจะเป็นบ้าถ้าเราฝืนทำต่อไป เพราะเราเครียดมาก เราถึงขั้นร้องไห้อยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็จึงตัดสินใจลาออกเลย

ลาออกเสร็จก็ไปบอกพ่อ ซึ่งพ่อก็ช็อคมากค่ะ เขาถามว่าเราทำได้ยังไง เขาเสียใจมากๆ ตอนนั้นญาติๆ ก็โทรมาต่อว่าเราว่าทำไมทำอย่างนี้ แต่มันก็เหมือนเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองนะคะ คือเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจเราประสบความสำเร็จได้เลย เพราะตอนที่เราเริ่มมีธุรกิจแล้วย้ายกลับบ้านไป ออร์เดอร์ก็เริ่มมีเข้ามาเรื่อยๆ มันเหมือนกับว่ายิ่งเราให้เวลากับการค้าขายมากเท่าไหร่ มันยิ่งดี แต่โอเคว่าเราอาจจะไม่ได้โตเร็วเท่ากับคนที่เขาเรียนมาทางด้านนี้โดยตรง เพราะเราไม่ได้เก่งทางด้านการตลาด แต่เราก็ทำมาเรื่อยๆ

  • จากหมอมาเป็นแม่ค้าแน่นอนว่าต้องโดนข้อครหาไม่มากก็น้อย หมอลี่อยู่ในจุดนี้ไหมคะ

มีนะคะ อย่างตอนแรกที่เป็นหมออยู่ แต่เวลาว่างๆ เรามาขายของ พยาบาลมาเจอ เขาก็จะมีล้อๆ บ้างว่าเรามารับจ็อบนอก ขายของอะไรทำนองนี้ (หัวเราะ) หรืออย่างตอนเรียนมหาวิทยาลัย ลี่ก็เคยขายของนะคะ แต่พอพ่อรู้เท่านั้นแหละ เขาก็โทรไปฟ้องญาติ ซึ่งญาติก็จะโทรมาด่าเราว่าเป็นหมอนะ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ มันเสียชื่อเสียงนะ ครอบครัวลี่เขาค่อนข้างจะแอนตี้อาชีพอื่นเพราะเขาจะคิดว่าหมอมันเป็นอะไรที่..ที่สุดแล้ว แต่ว่าโดยส่วนตัวลี่ก็จะแอบทำมาโดยตลอด เพราะเราเป็นเด็ก เราก็อยากได้นั่นได้นี่ ก็จะแอบค้าขายมาตลอดเพราะอยากได้เงินซื้อของ

ช่วงนั้นก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เข้ามาเยอะมากว่าเราเป็นหมอแล้ว เราเอาเวลาที่ไหนมาขายของ ที่ลี่โดนวิจารณ์มา จะมีอยู่สามเรื่องหลักๆ ที่เราเครียดมากเลย หนึ่งเลยก็คือเรื่องคุณพ่อไม่เห็นด้วย ส่วนคุณแม่ลี่ท่านเสียไปแล้วตั้งแต่ลี่อยู่ปี 1 และคุณแม่ก็คาดหวังให้เราเรียนหมอให้จบ ถ้าคุณแม่อยู่ เขาก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้วถ้าเราไม่เป็นหมอ

ส่วนเรื่องที่สอง มีหลายคนพูดว่าทำไมเราไม่รู้ตัวมาก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ชอบไปเอ็นทรานส์ทำไม ซึ่งลี่อยากจะบอกว่าลี่ไม่ได้เอ็นทรานส์นะคะ เพราะเราสอบได้ตั้งแต่รอบโควต้า เขาใช้คะแนนซึ่งใครสอบผ่านเกณฑ์คะแนนของเขา เขารับหมดเลย ซึ่งเราก็ได้คะแนนที่ค่อนข้างสูงพอสมควร ประเด็นนี้ลี่เลยอยากเคลียร์เลยค่ะว่าเราไม่ได้ไปแย่งที่ใครแน่นอน

สามคือมีคนพูดว่าเราทำให้สูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ไป ตรงนี้ลี่มองว่ามันมีหลายคนที่ไม่ได้ชอบ ไม่ได้อยากเป็นหมอหรอก แต่ว่ายังเป็นอยู่ ด้วยความที่ไม่กล้าที่จะออกมาหรือไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ที่ทำไปเพราะตัวเองเรียนมาทางด้านนี้แล้วก็ต้องทำงานตรงนี้ต่อไป แต่เขาไม่ได้แฮปปี้ที่จะทำ มันก็เหมือนฝืนทำ ซึ่งลี่มองว่าถ้าเราฝืนทำอะไร มันจะทำได้ไม่เต็มที่ เหมือนกัน ถ้าวันไหนที่ลี่ไม่อยากอยู่เวร ลี่ก็จะขาย แต่ถ้าวันนั้นมันขายไม่ได้ มันก็จะอึดอัด แต่ด้วยหน้าที่ เราก็ต้องทำให้เต็มที่แหละแต่ว่าใจมันไม่อยากทำแล้ว ลี่มองว่ามีหลายคนที่เป็นแบบนี้ เพราะว่าเพื่อนเราก็มีเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่เขายังไม่พร้อมที่จะก้าวออกมา

ตอนแรกที่ลี่ถูกวิจารณ์ต้องบอกว่าน้ำหนักลดลงไปเลยค่ะ 3 กิโลกรัมเพราะว่าเครียดมากคือเราไม่เคยถูกใครมาวิจารณ์ขนาดนี้มาก่อน คือปกติเฟสบุ้คลี่ ลี่จะตั้งสาธารณะอยู่แล้วเวลาที่มีใครมาถามเราก็จะตอบ แล้วลี่เป็นคนที่ชอบเขียนเรื่องราวของตัวเองบนเฟสบุ้ค เขาก็จะแชร์กันไปจนเป็นข่าว แต่ก่อนหน้านี้ที่เราเขียนไป ลี่จะไม่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก่อน โอเค เขาอาจจะคิดในใจแหละ แต่ไม่มีใครกล้าว่าเราตรงๆ ก็ได้ แต่พอวันหนึ่งมันมีข่าวออกมา เราก็รู้สึกเครียดมากเลยนะคะ

หลังจากนั้น เราเลยกลับมานั่งทบทวนตัวเองว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เลยรู้สึกว่าเขาวิจารณ์ แต่เขาไม่ได้เข้าใจเรา เราขอแค่พ่อเราเข้าใจก็พอ ลี่รู้ว่าพ่อเสียใจเพราะว่าบ้านลี่อยู่บ้านนอก อำเภอเล็กๆ ในจังหวัดมหาสารคาม เราสอบติดหมอปุ๊บ พ่อก็จะไปประกาศว่าลูกติดหมอนะ แล้ววันที่ลี่ลาออก ลี่ก็ไม่ได้บอกใครนะคะ เพราะเราก็รู้สึกผิด และพอพ่อรู้เขาก็ไม่ได้บอกใคร แต่ด้วยความที่เราเป็นหมอ ในโรงพยาบาลก็มีไม่กี่คน เขาก็จะบอกต่อๆ กันว่าเราลาออกนะ พยาบาล เภสัชกรก็บอกต่อกัน ด้วยความที่อยู่ในสังคมแคบๆ ข่าวก็กระจายไปทั่วตลาดเลยค่ะ ก็มีคนมาถามพ่อเราเยอะแยะ แต่พ่อก็จะไม่พูดอะไร แต่ก็มีคนมาเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าเวลาพ่อเราโดนถามว่าเราลาออกจากหมอทำไม พ่อเขาก็หน้าเสียเหมือนกัน แต่จะให้เรากลับไปทำอีก มันก็ไม่ใช่ เราก็เลยบอกพ่อว่าที่ผ่านมา ลี่ไม่เคยทำอะไรให้พ่อผิดหวัง ครั้งนี้ก็อยากให้ลองดู

  • การลาออกในครั้งนั้นส่งผลถึงขั้นทำให้คุณพ่อเสียใจ แล้วสุดท้ายคุณพ่อรับได้ไหมคะ

จริงๆ พอพ่อรู้ พ่อก็ทำตัวปกตินะคะ ไม่มีโกรธจนไม่พูดด้วย แต่เขาก็จะแอบไปคุยกับญาติๆ เหมือนกัน จำได้ว่าวันที่เราตัดสินใจจะลาออก อยู่ดีๆ ญาติก็มารวมตัวกันเต็มบ้านเลย ญาติที่มาก็จะพูดประมาณว่าให้เราลองไปหาสาขาวิชาที่ง่ายๆ เรียนต่อดีไหม คือเขาพยายามจะยื่นข้อเสนอว่าถ้าเราไม่ชอบหนัก เราไปเรียนง่ายๆ ไหม เช่น อาจจะเป็นหมอนิติเวช จิตเวช หรือหมออะไรที่เขาทำงานเป็นเวลา แต่ตัวเรา ณ จุดนั้นเราไม่ชอบที่จะทำงานตรงนั้นแล้ว เราก็เลยขอออกดีกว่า

ณ ปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้คลายความเครียดก็คือตอนที่พ่อพูดว่า “พ่อก็ภูมิใจนะในปัจจุบันเพราะว่าสิ่งที่เราทำมันก็เลี้ยงดูครอบครัวได้” แต่กว่าพอจะเข้าใจก็นานพอสมควรนะคะ ก็ใช้เวลาเกือบ 4 ปีเลยค่ะ

  • หลายคนมองว่าหมอเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เหมือนหมอลี่จะไม่สนใจในจุดนี้เท่าไหร่

ลี่จะบอกว่าจริงๆ มันไม่ควรที่จะไปตัดสินใครนะ เพราะคนที่เขาขายของแบกะดิน หรือจะขายของบนห้าง หรืออาชีพอะไรก็แล้วแต่ ลี่ว่าทุกอาชีพมันมีความสำคัญในตัวเอง เช่น อาชีพชาวนา ถ้าขาดไปก็ไม่ได้ อาชีพค้าขายก็เหมือนกัน มันก็เหมือนเป็นอาชีพบริการอย่างหนึงขาดไปก็ไม่ได้ เพราะยังไงคุณก็ต้องได้ใช้บริการอาชีพนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นก็อยากให้เห็นความสำคัญว่ามันเหมือนกับเป็นระบบนิเวศที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มันต้องประกอบกัน มันต้องมีความสมดุล ตรงนี้ก็อยากจะให้ต่างคนต่างทำมาหากินไป แล้วอีกอย่าง ถ้าเราทำอะไรแล้วมีความสุขก็ให้ทำไป เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอีกกี่วัน เราจะเชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่ใครมาว่าเรา ก็จะไม่ค่อยตอบโต้ เพราะคิดว่าเขาว่าอะไรเรา เดี๋ยวก็คงเข้าตัวเขาเอง ส่วนเราเรารู้แค่ว่าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ ยังไงเราก็ยังยืนยันว่าอาชีพค้าขายมันไม่ได้แย่และทุกอาชีพเขาก็มีเกียรติในตัวเอง

  • เคยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดหรือเสียดายบ้างไหมคะที่ลาออกอาชีพหมอ

ไม่เลยค่ะ (ตอบเร็ว) คือมันเป็นเรื่องของความสบายใจนะ เพราะว่าตอนแรก การที่จะออกมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะทุกคน ทั้ง ผอ.ทั้งพ่อ ทั้งใครต่อใครเขาดึงไว้จนถึงที่สุดแล้ว อย่าง ผอ.เราจะสนิทกับเขามากๆ เขาจะบอกกับเราประมาณว่าถ้าเราเครียดมาก เขาให้เราลาพักไปเลยสักเดือนหนึ่ง ไปไหนก็ได้ จะไปเที่ยวรอบโลกหรืออะไรก็ไป ไปพักผ่อน ไปอะไรก็ได้ก่อนดีไหม เดี๋ยวเซ็นอนุมัติให้ อะไรทำนองนี้ เราก็เอากลับมาคิดประมาณวันสองวัน แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ไหวจริงๆ ขอลาออกดีกว่า พอวันที่ลาออก เราก็หันกลับมาเต็มที่กับเรื่องค้าขาย เรื่องธุรกิจมันเลยทำให้เราไม่มีเวลากลับไปตรงนั้น (ยิ้ม)

  • ถามตามตรงว่าคุ้มไหมกับที่ลาออกมา แล้วในเรื่องเกี่ยวกับรายได้เป็นอย่างไรบ้างคะ เพราะอาชีพหมอดูน่าจะได้เงินมากกว่า

ก็คุ้มนะคะ ถึงแบรนด์ที่ลี่ทำอาจจะไม่ได้ดังมาก แต่เราก็สามารถทำเลี้ยงตัวเองได้แล้ว อีกอย่างตัวแทนของเราที่ทุกวันนี้มีหลายคนที่เขาทำงานอื่น ที่เขารับราชการแต่เขาลาออกมาเป็นตัวแทนเรา เพราะเขาเห็นว่าสิ่งที่เราทำมั่นคง ตัวแทนที่ทำกับเราเขาต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ช่วยเหลือครอบครัว เราเลยคิดว่าเราจะล้มไม่ได้ ถามว่ารู้ได้ยังไงว่ามันจะไม่ล้ม ตรงนี้คงไม่มีใครรู้ ถ้าเราล้มจริงๆ เราจะรีบลุกเพราะเรามีเบื้องหลังที่เราต้องดูแล ยังไงก็แพ้ไม่ได้ ต่อให้ Beautelush จะล้ม เราก็จะต้องสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาอีก

สำหรับลี่ที่ลี่ทำอยู่ทุกวันนี้มันมากกว่านะคะ เพราะว่าตอนเป็นหมอเราไม่ได้อยู่เวร ถ้าเป็นหมอแล้วขยันอยู่เวรซึ่งอันนี้เป็นกรณีต่างจังหวัดนะคะ อย่างอยู่ภาคใต้หรืออะไร ก็จะได้รายได้ประมาณเกือบๆ แสน หรืออาจจะถึงแสน หรืออย่างพวกที่ลาออกมาทำคลินิกผิวหนัง ทำคลินิกเสริมความงาม เขาก็จะได้เป็นแสนอยู่แล้ว แต่ของลี่ตอนนี้จากตอนนั้นที่ลาออกแรกๆ ช่วงนั้น ที่เราทำงาน แต่เราไม่ได้อยู่เวรก็จะได้ประมาณสองสามหมื่น ได้พอๆ กับคนจบปริญญาทั่วไปเลยค่ะ เพราะเราไม่ค่อยอยู่เวร เนื่องจากเราสุขภาพไม่ดี ก็เลยไม่ซื้อเวร คนที่เขาสุขภาพดี เขาก็ซื้อเวรกัน เพราะว่ายิ่งซื้อเวรก็จะยิ่งได้เงินเยอะ

ส่วนตอนนี้เงินเดือนเราก็ได้มากกว่าหลายเท่ากว่าตอนที่เป็นหมอนะคะ เพราะว่าเราเป็นเจ้าของกิจการ แล้วเราก็ทำในส่วนของบริษัทด้วย คือตอนนี้กิจการเราเติบโตแล้ว เราก็เลยขยายไปเปิดบริษัทแล้ว อนาคตลี่ก็กำลังจะเปิดโรงงานด้วยค่ะ (ยิ้ม)

  • ในฐานะที่เคยเป็นหมอถ้ามีน้องๆ อยากจะเป็นหมอบ้าง อยากจะแนะนำอย่างไรบ้างคะ

มีเยอะมากค่ะส่วนใหญ่จะมาปรึกษาสองเรื่อง เรื่องแรกเลยจะเป็นเรื่องอยากเป็นหมอ สองคือเรื่องอยากทำแบรนด์ อย่างเรื่องเป็นหมอเขาก็จะถามว่ายากไหม ซึ่งลี่มักจะบอกทุกคนเสมอว่าทุกอาชีพมันยากเพราะการที่เราสอบเข้ามาได้มันก็ความสามารถเรา เราเต็มที่กับจุดๆ นั้น ไม่ต้องแค่หมอหรอกค่ะ เช่นคุณสอบวิศวะได้ คุณก็ต้องมาแข่งกับคนที่หัวสมองพอๆ กัน สอบหมอได้เหมือนกันหัวสมองก็ต้องพอๆ กัน เพราะฉะนั้น ทุกอาชีพยากหมด อย่ามองว่าหมอจะยากกว่าพยาบาล หรือหมอจะยากกว่านักการตลาดหรืออาชีพอื่นๆ มันไม่ใช่ มันยากหมดอยู่ที่เราตั้งใจ อีกอย่าง คนที่มาปรึกษาเรื่องทำธุรกิจลี่ก็จะบอกเท่าที่เราบอกได้เพราะว่าจะให้มาบอกว่าคุณต้องมีหนึ่ง สอง สาม สี่แบบนี้นะ คือเราไม่รู้จริงๆ ว่ายังไงเพียงแต่เรารู้ตัวว่าเราชอบ เราอยากทำมากกว่า (ยิ้ม)

  • แล้วอยากบอกอะไรกับคนที่เขาอาจจะเคยตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับเราวันนั้น เช่น เขาอาจจะท้อกับงานที่ทำ เคยโดนดูถูก หรือยังตามหาความฝันไม่เจอบ้างไหมคะ

ลี่จะบอกว่าถ้าเราอยู่ในสภาวะที่ท้อหรือไม่มีทางเลือก ลี่อยากจะให้ค้นหาตัวเองให้เจอว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไร เพราะถ้าเราทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด มันก็เหมือนเราได้ชัยชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง เราต้องอาศัยความพยายาม แต่ถ้าเราบอกว่าเราท้อ แต่เรากลับนอนจม มันก็จะหยุดอยู่แค่นั้น โดยที่เราอาจจะไม่รู้หรอกว่ามันอาจจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่รอให้เราก้าวผ่านไป อย่างที่ลี่ลาออกจากหมอมาทำธุรกิจ ถามว่ามันมีช่วงที่ขายไม่ได้ไหม มันก็มีนะคะ ไม่มีออร์เดอร์เข้ามาเลยก็มี โดนคู่แข่งโจมตีก็มี แต่เราก็ต้องก้าวต่อไป เพราะถ้าเราหยุดนิ่งเมื่อไหร่ คนอื่นก็จะตามเราทัน หรือไม่ก็แซงหน้าเราก็ได้ เราต้องพัฒนาตัวเอง ท่องไว้ว่า ก้าวไปข้างหน้า หรือถ้าเราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดแล้วเรายังทำได้ไม่ดีเราก็ต้องไปหาความรู้เพิ่ม เราต้องกระตือรือร้นเอง เพราะคงไม่มีใครจะเอามาใส่ให้เราได้นอกจากตัวเราเอง

ลี่จะบอกว่ามีหลายคนมากที่เขาอยู่ในระบบของด้านสุขภาพไม่ว่าจะเป็นหมอเทคนิคการแพทย์ เภสัชกร พยาบาลทักมาหลายคนมากว่าเขาไม่ไหวแล้วเขาอยากจะลาออก ตรงนี้ลี่ไม่อยากจะให้มองว่าเราทำได้ เขาก็ต้องทำตาม มันไม่ใช่ แต่ลี่อยากให้เขามองว่าเขาอยากลาออกเพราะอะไรมากกว่า อย่างของลี่ก็แน่นอนว่าเรื่องสุขภาพและเรื่องที่มาทำงานแล้วยังไม่ใช่

มีหลายคนเหมือนกันนะที่บอกว่าเราเป็นไอดอลของเขา เขาจะลาออกเหมือนเรา พอคุยกันเราก็ถามว่าจะลาออกมาทำอะไร เขาก็ตอบว่าไม่รู้ ซึ่งเราก็ได้แต่บอกว่าใจเย็นๆ (หัวเราะ) หรือบางคนบอกว่าอยากเป็นเจ้าของแบรนด์แบบเรา เอาจริงๆ ลี่มองว่า คำว่าอยาก มันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบก็ได้ เพราะเห็นว่าคนอื่นประสบความสำเร็จ แต่เราต้องถามใจก่อนว่าเราถนัดไหม ไม่ใช่ทำๆ ไปก็ได้ มันไม่ใช่ มันต้องมาจากอินเนอร์ข้างใน เอาจริงๆ ลี่จะให้มองว่าถ้าสมมติว่าเราชอบทำแต่อาจจะไม่ชอบระบบก็ลองหาทางแก้ทางอื่นเพราะแต่ละคนก็หาทางออกได้ไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถที่จะเดินตามกันได้ เราต้องลองถามตัวเอง ต้องรู้ตัวเองก่อน

  • ในอนาคตวางแผนจะทำอะไรต่อไปกับสิ่งที่ทำอยู่บ้างคะ หรืออยากกลับไปเป็นหมอหรือเปล่าคะ

อนาคตถามว่าเราสามารถกลับไปเป็นหมอได้ไหม ก็จะบอกว่าทุกวันนี้เราก็ยังเป็นเบื้องหลังของการดูแลคนไข้ในเรื่องของการให้คำปรึกษาอยู่นะคะ เพราะว่ามีหลายเคสเหมือนกันที่เขาจะชอบมาปรึกษา โดยเฉพาะเรื่องการท้องก่อนวัยอันควรก็จะมีมาปรึกษาบ้าง ซึ่งเราก็จะแนะนำไปหรือจะเป็นในเรื่องของการคุมกำเนิด เราก็จะช่วยเบื้องหลังอยู่แล้ว แต่ถามว่าวันหนึ่งจะกลับมาไหม อันนี้ก็ไม่แน่เหมือนกันค่ะเพราะปัจจุบันเรายังชอบที่จะค้าขายอยู่

ทุกวันนี้มีคนชวนลี่เปิดคลินิกความงามนะคะแต่ว่าเรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมเพราะลี่คิดว่าก่อนที่เราจะทำอะไร เราต้องมีความรู้ในด้านนั้นๆ ถ้าเราจะทำจริงๆ เราก็อาจจะไปเรียนเพิ่ม ไม่ใช่แค่ว่าเรามีเงิน เราลงทุนไปแล้วก็ไปจ้างใครมาทำก็ได้ คือลี่มองว่าถ้าตัวเรายังไม่รู้ลี่ก็คงจะยังไม่ทำ ในอนาคตก็จะเป็นในแนวธุรกิจต่อไปตอนนี้เราก็เปิดในรูปแบบของบริษัทแล้ว ต่อไปเราก็อาจจะมองไปถึงการรับผลิต แล้วก็จะมีในเรื่องของการส่งออกต่างประเทศด้วยค่ะ (ยิ้ม)

 









 
Profile

ชื่อ : แพทย์หญิงชลธิรา ชินะกาญจน์
ชื่อเล่น : ลิลลี่
วันเกิด : 5 ตุลาคม 2529
อายุ : 29 ปี
การศึกษา : ปริญญาตรี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อาชีพ : ธุรกิจส่วนตัว



 

 

เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : วชิร สายจำปา

กำลังโหลดความคิดเห็น