คนรุ่นใหม่อาจจะรู้จักเธอสดๆ ร้อนๆ จากบท “ยายพละ” ในซีรีส์ฮอร์โมนส์ แต่คนรุ่นก่อน “วาสนา ชลากร” คือดาวเด่นหนึ่งดวงแห่งวงการบันเทิง และด้วยบทบาทซึ่งกินขาดด้านความเซ็กซี่ที่ได้ใจชายหนุ่ม สมัญญานาม “สาวไฟพะเนียง” จึงไม่ได้มาลอยๆ หากแต่เกิดจาก “วาสนาน้อยในชุดบิกินี่” ที่ส่งให้เธอรั้งเก้าอี้ “เซ็กซี่สตาร์” คนหนึ่งแห่งยุคนั้น
เป็นเวลากว่า 50 ปีที่ “วาสนา ชลากร” โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ผ่านงานมาหลายรูปแบบ ทั้งถ่ายแฟชั่น ร้องเพลง หรือแม้กระทั่งบทบาทการแสดงที่ส่งให้เธอกลายเป็นเซ็กซี่สตาร์ หรือที่ผู้คนในสมัยนั้นนิยมเรียกขานกันว่า “ดาวโป๊ - ดาวยั่ว” แต่เมื่อเร็วๆ นี้ หลายคนอาจะรู้จักหญิงสูงวัยผู้นี้จากบท “ยายพละ” ในซีรีส์ฮอร์โมนส์ 3...
“ดีเกินคาดมากเลยค่ะ ไม่คิดว่ากระแสมันจะแรงขนาดนี้นะ”
“ยายพละ” หรือ “วาสนา ชลากร” เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เวลาเราไปไหน ก็จะมีแฟนละครรุ่นเด็กๆ ที่จำได้ เรียกคุณยายพละๆ เต็มเลย จนเราก็นึกว่าเรียกคนผิดหรือเปล่า ก็เท่ากับว่าช่วงนี้ก็มีแฟนคลับเป็นเด็กๆ เยอะเลย (หัวเราะเบาๆ) สมัยสาวๆ มันก็โอเค เวลาเราไปไหน บางคนไม่ค่อยเห็นดาราตัวจริงนะคะ เพราะส่วนมากไม่ค่อยได้ออกทีวี ไม่ค่อยไปเดินตามห้าง เราจะไม่ไปเดินชอปปิ้ง เราจะเก็บตัวกัน นอกจากว่าบางครั้งมีการถ่ายทำในตลาด เขาถึงจะเห็นเรา แต่สมัยนี้ ดาราออกทีวี ไปเดินชอปปิ้ง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา”
จากลูกสาวชาวนา
เป็นดาราเพราะอยากช่วยแม่
ย้อนกลับในช่วงทศวรรษ 2490 อันเป็นช่วงเวลาที่วาสนาถือกำเนิดและเติบโตมาในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก และจากความตั้งใจทั้งของตัวเธอและทางบ้าน ที่ต้องการให้มีความรู้ มีการศึกษาที่ดี แต่เมื่อองค์ประกอบไม่อำนวย จึงทำให้วาสนา ยอมที่จะละทิ้งความก้าวหน้าในด้านนี้ และเริ่มต้นที่จะหาเงินเพื่อมาจุนเจือทางบ้าน
“เราเป็นลูกชาวนา ความใฝ่ฝันจริงๆ อยากตั้งใจเรียนให้สูงๆ แต่ว่าสูงไม่ได้ เพราะด้วยสภาวะเศรษฐกิจในสมัยนั้น บวกกับสภาพทางบ้านเราที่ทำให้ไม่เหมาะกับการเรียนสูง อีกทั้งสมัยก่อน คิดว่าไม่ต้องเรียนมากหรอก เราช่วยอะไรพ่อแม่ได้ก็ช่วย ก็ได้เรียนแค่นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็กระโดดเข้ามาวงการเพื่อหารายได้มาช่วยที่บ้าน หนีโรงเรียนไปเลย (หัวเราะ)
“ในกระเป๋าไม่มีหนังสือเรียนนะ มีชุดเสื้อผ้าที่เราจะต้องไปเปลี่ยน ไปสมัครงาน หางานทำ คุณแม่มาส่งหน้าโรงเรียน แต่ลูกหนีออกหลังโรงเรียน ไม่ได้ไปเกเรที่ไหนหรอก อยากช่วยที่บ้าน อยากทำงาน เพราะคุณแม่ท่านก็แก่แล้วแต่ยังต้องทำงานอยู่ ก็สงสารแก ตอนนั้นเลยตัดสินใจว่า “แม่ หนูลุยเอง” ซึ่งท่านก็ไม่ได้สนับสนุนนะคะ ความตั้งใจของคุณแม่จริงๆ คืออยากให้เรียนสูงๆ แต่เราไม่เรียน เพราะว่า เรารู้สถานะของครอบครัวว่าเป็นยังไง ก็เลยไม่เรียน
“แค่ต้องการอยากทำงานช่วยที่บ้าน ก็เลยกระโดดเข้ามาทำงานในวงการ เพราะไม่ต้องใช้ความรู้อะไร ก็ไปสมัครงานต่างๆ ที่นั่นที่นี่ ด้วยตัวเอง ไปสมัครร้องเพลงหลายๆ แห่ง เขาก็รับ ซึ่งตอนนั้นอายุยังน้อยเลย แค่ 16-17 เอง”
และด้วยความพยายาม ในที่สุด โอกาสแรกของเธอก็มาถึง เมื่อได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในนักร้องของวงดนตรีสุนทราภรณ์ของครูเอื้อ สุนทรสนาน วงดนตรีแนวเพลงลูกกรุงที่ขึ้นชื่อวงหนึ่งในเวลานั้น วาสนาได้ฝึกร้องเพลงกับคณะดนตรีดังกล่าว จนได้ตำแหน่งนักร้องดาวรุ่งพรุ่งนี้ และต่อมาวาสนาจึงออกไปทำงานเป็นนักร้องแผนกดนตรีของโรงงานยาสูบและอยู่ในความดูแลของครูนารถ ถาวรบุตร และครูสมาน กาญจนผลิน ตามลำดับ
“เราทำงานร้องเพลงมาพักหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีเดินแฟชั่นและเล่นละครให้กับทางค่ายดาราวิดีโอด้วย ประมาณ 30 กว่าเรื่อง ก่อนที่คุณชรินทร์ นันทนาคร ซึ่งขณะนั้นเขามีค่ายหนังที่มีชื่อว่านันทนาครภาพยนตร์ มาพบเราขณะกำลังร้องเพลง เลยชักชวนให้มาแสดงภาพยนตร์ ซึ่งกำลังจะสร้างเรื่อง “แมวไทย” ที่มีคุณมิตร ชัยบัญชา และคุณเพชรา เชาวราษฎร์ เป็นพระเอกกับนางเอก โดยมอบให้เรารับบทเป็นสาวเซ็กซี่ยั่วยวนผู้ชาย”
ภาพยนตร์เรื่องนั้นเข้าฉายในปี พ.ศ.2511 ซึ่งเวลานั้น วาสนาอยู่ในช่วงอายุเพียงเลขสิบปลายๆ เท่านั้น แต่ด้วยบทบาทที่ได้รับนั่นเอง ทำให้ถือได้ว่าตัวเธอแจ้งเกิดในบทบาทใหม่ และเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์เดิมให้เป็นที่สนใจ
กำเนิด “สาวไฟพะเนียง”
ร้อนแรงยิ่งกว่าถูกเขวี้ยงทุเรียนใส่
หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘แมวไทย’ สร้างชื่อให้กับวาสนาในฐานะ “เซ็กซี่สตาร์”
ชื่อเสียงและความนิยมในตัวเธอก็เพิ่มขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ก็เริ่มได้รับความนิยมนะคะ มีบริษัทต่างๆ เข้ามาติดต่อ เป็นช่วงขาขึ้นของเราเลย ได้ทั้งรถ ได้ทั้งบ้าน ได้ทุกอย่าง ซึ่งสมัยก่อนเวลาเล่นหนังเรื่องหนึ่ง อย่างพระเอกเช่นคุณมิตร ก็จะได้ราคา 35,000 บาท ส่วนเราก็จะได้ประมาณ 10,000 กว่าบาทบ้าง 8,000 บาทบ้าง ซึ่งค่าครองชีพจะไม่เหมือนสมัยนี้ แต่บังเอิญเราเป็นคนไม่เที่ยวไง ไม่เล่นการพนัน เอาเงินมาปลูกบ้าน บ้านหลังปัจจุบันที่เราอยู่ในกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่
“เพราะเรารู้ดีว่าการทำงานในวงการบันเทิง มันไม่มีอะไรแน่นอน ฉะนั้น เราต้องเก็บ ความรู้เราก็น้อย อันนี้คือเตือนใจตัวเองเสมอเลย แล้ววงการนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน เราต้องเก็บหอมรอมริบตั้งแต่ตอนนั้น ไม่งั้นเราคงไม่มีที่อยู่หรอก (หัวเราะ) ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่เดิมนะ ตั้งแต่เรียนหนังสือ เข้าวงการใหม่ๆ จนถึงช่วงเลิกไปพักหนึ่ง แล้วกลับมา จนกลับมาเล่นเรื่อง “ชัตเตอร์” จากเรื่องนั้น ก็เล่นยาวมาตลอดเลย ซึ่งเราก็ไม่คิดเหมือนกันนะว่าจะเล่นได้ เพราะสมัยก่อน ผู้กำกับหรือผู้ช่วยผู้กำกับจะบอกบทให้นักแสดง ตอนนั้นในหนึ่งวัน เราเล่นประมาณ 5-6 เรื่อง โดดไปกองถ่ายนั้น กองถ่ายนี้ เราไม่ต้องอ่านบท มาถึงแต่ละเรื่อง มีคนบอกบทก็พูดไป ถ้าน้ำเสียงเขาหนัก ก็ไปหนัก ถ้าเขาเบาก็เบาลงตาม ไปตามเสียงคนบอกบท”
ด้วยภาพลักษณ์และรูปร่างของเธอในเวลานั้น ที่ไม่เหมาะกับบทบาทนางเอก จึงทำให้เธอแปรสภาพมาเป็นดาวยั่วและดาวโป๊ ตามคำเรียกในช่วงเวลานั้น
“ผู้กำกับภาพยนตร์ ให้เรามาเป็นแบบนี้ เราก็ต้องมาทางนี้ หุ่นและหน้าตาเราเป็นแบบนี้ นางเอกจะเป็นสไตล์หนึ่ง เรียบร้อย ตัวเล็กๆ บางๆ ส่วนเราจะเป็นแบบตัวอวบอั๋น เราก็จะไปอีกด้าน สมัยนั้นไม่มีบทแบบวัยรุ่นใสๆ เลยนะคะ จะมีเรียกว่าดาวโป๊ ดาวยั่ว ซึ่งมีบทบาทแย่งพระเอกจากนางเอก ไม่มีใสๆ เลย มาปุ๊บเซ็กซี่เลย”
เมื่อมองภาพลิมิตความเซ็กซี่ ในสมัยประมาณกว่า 40-50 ปีก่อน หากมีหญิงสาวคนใดถ่ายภาพในลักษณะเหลือแค่บิกินี่ชุดเดียว ก็ถือได้ว่าเพียงพอสำหรับความเป็นเซ็กซี่สตาร์ สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการแสดงสวมบทบาท ก็ต้องมีนักแสดงแทน ทำหน้าที่อยู่ดี
“สมัยก่อนจะถูกเรียกเลยว่า ดาวโป๊มาแล้ว วาสนา ชลากร บางครั้ง เราถ่ายแบบก็จะมีผ้าบางๆ ปิด ตอนนั้นเรานี่คือตัวแม่เลย ถ่ายแบบลักษณะนี้ตลอด (หัวเราะ) ถ่ายแบบนี้ ต้องนอนถ่ายแบบในท่านี้ แต่ก็ไม่ได้โป๊หมด แต่ถ้าโป๊เปลือยเลย ก็จะใช้สแตนด์อิน ก็หาผู้หญิงที่รูปร่างคล้ายๆ เรา หรือบางครั้งมีเปลือยอกบ้างก็จะไม่ใช่เรา หรือบทจูบก็จะใช้การถ่ายแบบบังเอา แล้วเราเล่นที่มือ ไม่ได้จูบจริง คือมันก็โป๊นะ แต่ก็ไม่ได้ถอดอะไรมากมาย เต็มที่ก็เป็นบิกินี่ สมมติว่าเราเล่นบทฉากที่เปลือย ก็ต้องมีสแตนด์อิน แต่บางคนเขาไม่เข้าใจ เขาจะคิดว่าเป็นเรา ก็จะมีแบบว่า “โห ดูอีนี่สิ เล่นโป๊จัง มันแก้ผ้าหมด” แต่เขาก็มองว่าดีเนอะ สมบทบาทดี เราก็ไม่เป็นไร แต่ก็ต้องอธิบายให้ฟังว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่
“แต่บางคนเขาก็ห่วงนะว่าทำไมถึงเล่นขนาดนั้นล่ะ ทำไมไม่รักษาเนื้อรักษาตัว สงวนความเป็นลูกผู้หญิงบ้าง เราก็บอกไปว่านั่นมันสแตนด์อิน ตอนไปเจอผู้ใหญ่ เขาก็จะบอกเราว่า เล่นแย่งนางเอกก็แย่งไป เล่นยั่วก็ยั่วไปสิ ทำไมถึงต้องโป๊ด้วย เขาก็จะวิจารณ์เรา เราก็ต้องมานั่งอธิบายอีก ถ้ามาเปรียบกับตอนนี้ก็คือปกติไปเลย แต่บิกินี่ในตอนนั้น ก็ถือว่าแรง ตอนนั้นจึงได้ฉายา “สาวไฟพะเนียง” เพราะไฟมันไม่ดับ ส่องวับๆ ตลอดเวลา ซึ่งฉายานี้มาจากยุคสมัยก่อน ที่ผู้สื่อข่าวและผู้กำกับตั้งให้ มีฉายาเดียว อาจจะมาจากภาพลักษณ์ที่เราแสดงนี่แหละ คือเรายังคงสภาพเราได้ตลอด”
และแน่นอน เมื่อถึงจุดสูงสุดของอาชีพการแสดง ในฐานะ “เซ็กซี่สตาร์” ก็ต้องแลกมาด้วยคำติฉินนินทาตามมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือบางครั้งก็ต้องพบถึงขั้นด่าทอเลยก็มี
“มีการใช้คำพูดที่รุนแรงกับเรา เพราะคนดูจะรักนางเอกมาก อย่างเวลาเราแสดงฉากที่มีการตบตีนางเอก แล้วเวลาคนดูไปดูหนัง ทีมงานของหนังจะไม่ให้คนเห็นเราเลย เพราะเกรงว่าจะมีการรุมทำร้ายเรา (หัวเราะ)
“คนดูสมัยก่อน เขาอินกับตัวงานมาก เวลาเราไปข้างนอก ก็จะถูกด่าเลย ‘อีอย่างงั้น อีอย่างงี้’ แต่เราก็ต้องทน ถึงขนาดที่คุณแม่ของเราไปทะเลาะกับแฟนคลับ เราก็ปรามเลยว่าอย่าไปทะเลาะกับเขา เราอธิบายว่ามันเป็นแค่บทบาท เขาไม่เข้าใจ เราต้องพูดคุยให้เขาฟัง เวลาไปไหน แฟนคลับก็มามุงรุมด่าเรา
“แต่มันก็เป็นแค่ในบทบาทการแสดงของเราเท่านั้นนะคะ และเมื่อเราได้คุยได้สัมผัสกับแฟนคลับ ลักษณะการพูดหรือการกระทำของเราทำให้เขาเห็นว่ามันไม่ใช่เหมือนในหนังนี่ ก็จะโอเค มีบางส่วนที่ยังเข้าใจอยู่ แต่ต้องได้พูดได้คุยนะคะ ถ้าไม่ได้คุยกันก็จะแหลกราญเลย เวลาขับรถผ่าน ก็จะโดนเลยว่า ‘เฮ้ย อีนี่ไง’ ที่อย่างงั้นอย่างงี้ ถ้าเจอมันตบซักฉาดเลย ยิ่งตอนเวลารถติดไฟแดง เราต้องรีบล็อกรถเลย โดยเฉพาะคนดูที่เป็นชาวบ้าน เขาจะอินมาก ไปไหนมาไหนก็อันตราย จะตบจะตีเรา โดนด่าบ้าง แรงบ้าง แต่ต้องรับให้ได้”...
• ความเซ็กซี่ของคุณในตอนนั้น ก็คือเป็นไปตามสมัยนิยมปกติ
สมัยก่อนแค่บิกินี่ก็เซ็กซี่มากแล้ว แต่การถ่ายแบบแบบบิกินี่ก็ต่างกันไป มีทั้งเแบบน้อยชิ้นหรือมากชิ้นหน่อย คืออิงตามเมืองนอก แต่ยังน้อยกว่าเขาอยู่ดี แต่สมัยนี้ บิกินี่หลุด สุดยอดของความเซ็กซี่เลย (หัวเราะ) แต่เขาก็สวยนะ รูปร่างก็โอเค แต่ก็เข้าใจว่า เราต้องแข่งกับต่างประเทศ สมัยก่อน ด้วยความที่เป็นคนไทย เราก็จะมีการโดนติฉินนินทาเหมือนกันว่าไม่เหมาะ ถ้าเราได้ยิน เราก็จะอธิบาย มันต้องอย่างงี้ๆ หรือรอให้อ่านตามข่าวก็โอเค แต่ข่าวบางฉบับ เขาก็เขียนมาด้วยรักเรานะ ไม่ใช่เกลียดเรา มันก็ต้องมีการสร้างกระแส เพื่อให้มันดังตลอด แน่นอนมันเหมือนกันทุกยุค คือเราจะรู้กันน่ะ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ โดนด่าก็โดนไปไม่เป็นไร แต่ดังและเพื่อปากท้อง (หัวเราะเบาๆ)
• ลองยกตัวอย่างสักเหตุการณ์ที่ทำให้คุณรู้สึกว่า “ที่สุดของอาชีพ” ในช่วงเวลานั้นหน่อยครับ
มีช่วงหนึ่ง เราไปซื้อผ้าแถวสะพานหัน ซึ่งเราก็ไม่คิดว่าคนจะต้อนรับขนาดนั้นนะ เยอะมาก ถึงขนาดที่ตำรวจต้องมาเลย พอเขาประกาศชื่อเรา ดูแล้วมีค่ามากเลย เพราะเขาไม่เคยเห็นเราจากทีวีเลย ดาราสมัยนั้นไม่ค่อยได้ออกทีวีกัน ปรากฏตัวจริงทีหนึ่งก็จะมีคุณค่า แต่การทำงานก็หนักไม่แพ้กับพระเอกนางเอก
บางวันเราเล่นถึง 5-6 เรื่องนี้ ทำงานข้ามจังหวัด จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ช่วงนั้นขับรถเองด้วย เพราะเป็นวัยรุ่นอยู่ และไม่มีวันหยุดด้วย ทำทั้งเดือน มีพักแค่ช่วงขับรถ กับตอนกินข้าว ถึงขั้นอดนอนและการทำงานก็ง่ายๆ แต่มันก็เปรียบกับเมืองนอกในช่วงเวลาเดียวกันนี่ มันเปรียบไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเรายังมีประเพณีไทยกีดกั้นอยู่ ก็ยังไม่ได้มากมายขนาดนั้น แค่บิกินี่ก็ยังโดนสับแหลกเลย (หัวเราะ) ส่วนเมืองนอกเขาเล่นถอดจริงๆ และไม่ใช้สแตนด์อิน วงการบ้านเรายังไม่ถึงขั้นเท่าเขา
• มีความคิดเห็นยังไงกับสาวๆ สมัยนี้ ที่กล้าแต่งหวิวนอกจอมากขึ้น
เดี๋ยวนี้มันเหมือนสากลมากขึ้นแล้วนะคะ ไปไกลแล้ว เราแข่งกับต่างประเทศได้ แต่ถ้าเทียบกับยุคเราแข่งไม่ได้หรอก แต่ก็อย่างว่า ก็มีการติติงอยู่บ้างว่า ดารายุคนี้ไม่เหมือนยุคนั้น ทำไมไม่วางตัว ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่พูด ซึ่งถ้าเราได้บอกเขาก็คงจะบอกว่า มันเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยแล้ว มันย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว ยุคนี้เยอะมาก เก่ง เก่งไปทุกอย่าง ยุคนั้นไม่ได้เป็นแค่ดารา แต่ต้องรักษาประเพณีด้วย มันผิดกัน ยุคนั้น เราจะรักกันเหมือนพี่น้อง แม้กระทั่งผู้สื่อข่าว เราก็จะรักกัน และเข้าใจเยอะ
อนุสติ
จากเซ็กซ์ซิมโบลรุ่นเก๋า
เมื่อผ่านช่วงเวลาของความรุ่งโรจน์ วาสนาเลือกอยากที่จะมีครอบครัว และได้ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับชายชาวอเมริกันและอำลาวงการบันเทิงที่สร้างทุกๆ อย่างให้กับเธอ เวลาผ่านไปประมาณ 10 ปี สามีของเธอได้เสียชีวิตลง วาสนาจึงตัดสินใจกลับประเทศไทย และประจวบเหมาะ ได้รับการติดต่อให้กลับมามีบทบาทการแสดงในวงการบันเทิงอีกครั้ง
“ตอนนั้นไปอยู่อเมริกา อยู่เป็น 10 ปี เพราะช่วงนั้นไปแต่งงานกับคนอเมริกา เลยไปอยู่ที่นั่น แล้วพอดีสามีเสียก็กลับมา ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังตามหาตัวอยู่พอดีเลย คือช่วงก่อนแต่งงานก็ยังพอมีบ้างนะคะ แต่เราในตอนนั้น อยากที่จะมีครอบครัวแล้ว ก็ลาจากวงการไป ตอนนั้นก็ยังมีใจหายอยู่ คิดถึงวงการอยู่ แต่พออยู่ๆ ไปก็ลืม แล้วพอกลับมาก็มีคนมาตาม ความรู้สึกนั้น ก็กลับมาใหม่อีก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่ายแล้ว แต่ก็ต้องลองดู ก็กลับมาเล่นเรื่อง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” เป็นเรื่องแรก
“หลังจากที่กลับมา ถือว่าทำการบ้านหนักเลย เพราะสมัยก่อน สบาย มีผู้ช่วยและผู้กำกับคอยบอกบทให้เรา เราก็ว่าไปตามบท มายุคนี้ไม่สบายแล้ว มันต้องศึกษาบท อ่านแล้วอ่านอีก ทำไมเราต้องเป็นตัวนี้ให้ได้ ไปอ่านครั้ง 2 ครั้ง ไม่ได้ ต้องอ่านแล้วอ่านอีก ถึงเราจะบทไม่เยอะนะ แต่ก็ขออ่านทั้งเล่ม เพื่อที่จะได้เข้าใจ สมมติว่าได้เล่น 5 ตอน เราจะขออ่านบทเรื่องนั้นทั้งเล่มเลย ว่าทำไมบทเราถึงมาเป็นแบบนี้ ให้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละคร”
หลังจากที่ได้รับเลือกให้มีบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” (2547) วาสนาก็กลับมามีชีวิตชีวาบนวงการบันเทิงอีกครั้ง ด้วยภาพลักษณ์ใหม่นั่นคือ ‘บทของหญิงสูงวัยที่มีลักษณะเก็บกด’ หรือ “หญิงโรคจิต” ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแจ้งเกิดใหม่และทำให้ผู้ชมในยุคหลัง ได้รู้จักเธอมากยิ่งขึ้น
“ถ้าภาพลักษณ์ตอนนี้ เรารู้สึกเหมือนว่าน่าสงสารนะ หมายถึงในบทบาทนะคะ บางทีก็เล่นเป็นคนโรคจิตบ้าง เหมือนกดดัน แต่เราก็ชอบในการเล่นแบบนี้นะ คือเราเริ่มมาตั้งแต่ชัตเตอร์ เก็บกดมาตลอดเลย ก็เลยจะมาถนัดกับบทแบบนี้ อีกอย่างเราก็ไปโรงพยาบาลศรีธัญญาบ่อย เรามีลูกบุญธรรมซึ่งตอนหลังเขามีปัญหาสุขภาพ เลยพาเขาไปรักษาที่นั่น และนำลักษณะของเขามาประยุกต์ใช้กับงาน พลิกวิกฤตเป็นโอกาส จากตัวเขาด้วย เพราะอะไรเขาถึงเป็น ดูจากสีหน้า จากท่าทาง เอามาใช้กับหนังที่ให้เล่นบททางจิต เราก็เอาวิกฤตให้เป็นโอกาส ก็จับการแสดงออกของผู้ป่วยในแต่ละคนทีละนิดทีละหน่อยเข้ามาเล่น ซึ่งถือว่าพัฒนาการในเรื่องการแสดงมีมากกว่าเมื่อก่อนที่ทำตามๆ ที่เขาบอกมา คือเป็นคำพูด แต่สายตาและความรู้สึกมันไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนี้มันเหมือนว่า เราเป็นจริงๆ ของบทนี้
“พอมาตอนหลังค่อยๆ พัฒนาตัวเอง ซึ่งมีเรื่องหนึ่ง THE 8TH DAY แปดวัน แปลกคน ซึ่งเรื่องนี้เราได้เข้าชิงสุพรรณหงส์ (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประจำปี 2551) เป็นหนังขาวดำและเสี่ยงมากที่จะไปสู้กับหนังทั่วไป ณ ตอนนั้น ปรากฏว่าเราได้เข้าชิง แต่หนังได้รางวัลแต่งหน้าดีเด่น เพลงประกอบยอดเยี่ยม ซึ่งสื่อมวลชนก็เชียร์เราว่าสมควรได้นะ แต่เราก็ดีใจที่หนังก็ได้รางวัลอื่น”
• พอเวลาผ่านไป คุณก็กลายเป็นอีกส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของความเป็นเซ็กซี่สตาร์ รู้สึกยังไงบ้างครับ
เราก็ภูมิใจนะคะว่าครั้งหนึ่งว่าเราเคยเป็นในหนึ่งในตำนาน ว่าเราเคยดังทั่วประเทศ ก็ภูมิใจ ก็จะเขียนไดอารีของตัวเองไว้เหมือนกัน มีคนบอกตลอดเวลาค่ะว่าไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย เมื่อก่อนเซ็กซี่มากเลย เดี่ยวนี้ก็ต้องตามอายุเรา คือต้องเรียบร้อย ไม่ใช่แบบเซ็กซี่ตลอดเวลา แล้วพอเด็กๆ รุ่นหลัง มาชมผลงานในอดีตของเราแล้วชม ก็ดีใจค่ะที่ยังชมเราอยู่ แทนที่จะว่าเรา เขากลับชม ก็เข้าใจเด็กสมัยนี้ค่ะ (หัวเราะเบาๆ) คล้ายกับสังคมเปลี่ยนไปแล้ว
• นอกจากการแสดงแล้ว ชีวิตในปัจจุบัน คุณทำอะไรบ้างครับ
ชีวิตของเราก็อยู่กับสุนัขหมาแมว เพราะเราไม่มีลูก เราก็เอายามว่างของเรา มาดูแลสัตว์ที่พิการ ก็มีความสุขดี พอได้เงินจากการแสดงก็ไปสร้างบ้านที่ฉะเชิงเทราเป็นไร่เลย มีคนดูแล หรืออย่างมูลนิธิต่างๆ ก็มีไปช่วยให้อาหารบ้าง ก็จะได้จากผู้บริจาคจากข่าวที่เขาเคยมาทำ ให้เขาไปถ่ายที่ไร่
ในบ้านเราตอนนี้หมาแมวที่บ้านก็ประมาณ 100 ตัวแล้ว แถมตามซอยอีก เราก็ให้แม่บ้านไปซื้ออาหารไปให้พวกมัน นี่คือปัญหาของสังคม หมาแมวเมื่อหมดความหมายก็มักจะถูกทิ้ง เราก็ทนไม่ได้ พอมีเวลาว่างทีไร ก็จะทำอะไรเพื่อสังคมดีกว่า ขนาดในหลวงรับคุณทองแดงมาเลี้ยงเป็นตัวอย่าง เราก็เลยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ แทนที่เราจะไปเที่ยว เราก็ต้องมีการดูแลตัวเอง ออกกำลังกายเพื่อให้เราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เช้ามาก็ต้องทำโยคะ ถือว่าสุขใจที่เราได้ทำ เราออกกำลังกายทุกวันเพื่อที่จะได้มีแรงดูแลพวกเขา
สัตว์เร่ร่อนสมัยนี้มันเยอะมากเลย เยอะกว่าเมื่อก่อน ซึ่งสมัยเราเป็นวัยรุ่น มันไม่เยอะขนาดนี้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไมทิ้งขว้างเยอะขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าพอมีขี้เรื้อนมา แล้วแก่ตัวไปอีก ไม่สวยก็ไม่เอาแล้ว อย่างบางตัวที่สิ้นใจ เราก็เอาไปจัดการศพให้นะ ไม่ไปทิ้งขว้าง สงสารมัน ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราดูแลเขาได้ ก็จะดูแลต่อไป ยังพอมีกำลัง ถ้าได้เงินมาก็เอาไปบริจาคต่อ เพราะยังมีอีกหลายที่ที่ต้องการ อย่างบางที แมวนอกบ้านมาจากไหนไม่รู้ มาเกาะรั้วบ้านเรา เข้าใจว่าคงได้กลิ่นอาหารจากบ้านเรา เราก็จะให้แม่บ้านเอาปลาทูมาให้พวกมัน คอยวางตามรั้ว ยิ่งช่วงเย็นเดินตามรั้วเต็มเลย
• สุดท้าย อยากให้ช่วยฝากแง่คิดให้กับคนที่อยากเข้ามาในวงการหน่อยครับ
การที่เข้ามาในวงการยุคนี้ ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิต เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง หนึ่ง ในเมื่อเข้ามาแล้ว ต้องตรงต่อเวลา และต้องมีสัมมาคารวะ จากเราเป็นรุ่นเด็ก ต้องเคารพรุ่นที่โตกว่า ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ เราก็จะอยู่ได้นาน โดยเฉพาะการตรงต่อเวลา งานจะไม่มีวันตก อย่างเขานัด 6 โมงเช้า เราก็จะไปตั้งแต่ตี 4 เลย เราต้องไปก่อน ไม่ใช่เขามารอเรา จะเป็นอย่างงี้ตั้งแต่เด็กๆ
ทุกวันนี้ เวลาเลิกงาน เราก็จะไปสวัสดีทุกคน คือคิดว่าเราเทียบเท่ากันหมด สมัยก่อน เวลาคุณมิตรทานข้าว ทุกคนจะทานพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าไม่กินพร้อมกัน คุณมิตรไม่กินเลยนะ ไม่มีแบ่งเลย ซึ่งเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้าย้อนกลับมาเป็นแบบนี้ได้ก็ดีนะ จะได้เสมอภาคกัน
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
เป็นเวลากว่า 50 ปีที่ “วาสนา ชลากร” โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ผ่านงานมาหลายรูปแบบ ทั้งถ่ายแฟชั่น ร้องเพลง หรือแม้กระทั่งบทบาทการแสดงที่ส่งให้เธอกลายเป็นเซ็กซี่สตาร์ หรือที่ผู้คนในสมัยนั้นนิยมเรียกขานกันว่า “ดาวโป๊ - ดาวยั่ว” แต่เมื่อเร็วๆ นี้ หลายคนอาจะรู้จักหญิงสูงวัยผู้นี้จากบท “ยายพละ” ในซีรีส์ฮอร์โมนส์ 3...
“ดีเกินคาดมากเลยค่ะ ไม่คิดว่ากระแสมันจะแรงขนาดนี้นะ”
“ยายพละ” หรือ “วาสนา ชลากร” เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เวลาเราไปไหน ก็จะมีแฟนละครรุ่นเด็กๆ ที่จำได้ เรียกคุณยายพละๆ เต็มเลย จนเราก็นึกว่าเรียกคนผิดหรือเปล่า ก็เท่ากับว่าช่วงนี้ก็มีแฟนคลับเป็นเด็กๆ เยอะเลย (หัวเราะเบาๆ) สมัยสาวๆ มันก็โอเค เวลาเราไปไหน บางคนไม่ค่อยเห็นดาราตัวจริงนะคะ เพราะส่วนมากไม่ค่อยได้ออกทีวี ไม่ค่อยไปเดินตามห้าง เราจะไม่ไปเดินชอปปิ้ง เราจะเก็บตัวกัน นอกจากว่าบางครั้งมีการถ่ายทำในตลาด เขาถึงจะเห็นเรา แต่สมัยนี้ ดาราออกทีวี ไปเดินชอปปิ้ง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา”
จากลูกสาวชาวนา
เป็นดาราเพราะอยากช่วยแม่
ย้อนกลับในช่วงทศวรรษ 2490 อันเป็นช่วงเวลาที่วาสนาถือกำเนิดและเติบโตมาในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก และจากความตั้งใจทั้งของตัวเธอและทางบ้าน ที่ต้องการให้มีความรู้ มีการศึกษาที่ดี แต่เมื่อองค์ประกอบไม่อำนวย จึงทำให้วาสนา ยอมที่จะละทิ้งความก้าวหน้าในด้านนี้ และเริ่มต้นที่จะหาเงินเพื่อมาจุนเจือทางบ้าน
“เราเป็นลูกชาวนา ความใฝ่ฝันจริงๆ อยากตั้งใจเรียนให้สูงๆ แต่ว่าสูงไม่ได้ เพราะด้วยสภาวะเศรษฐกิจในสมัยนั้น บวกกับสภาพทางบ้านเราที่ทำให้ไม่เหมาะกับการเรียนสูง อีกทั้งสมัยก่อน คิดว่าไม่ต้องเรียนมากหรอก เราช่วยอะไรพ่อแม่ได้ก็ช่วย ก็ได้เรียนแค่นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็กระโดดเข้ามาวงการเพื่อหารายได้มาช่วยที่บ้าน หนีโรงเรียนไปเลย (หัวเราะ)
“ในกระเป๋าไม่มีหนังสือเรียนนะ มีชุดเสื้อผ้าที่เราจะต้องไปเปลี่ยน ไปสมัครงาน หางานทำ คุณแม่มาส่งหน้าโรงเรียน แต่ลูกหนีออกหลังโรงเรียน ไม่ได้ไปเกเรที่ไหนหรอก อยากช่วยที่บ้าน อยากทำงาน เพราะคุณแม่ท่านก็แก่แล้วแต่ยังต้องทำงานอยู่ ก็สงสารแก ตอนนั้นเลยตัดสินใจว่า “แม่ หนูลุยเอง” ซึ่งท่านก็ไม่ได้สนับสนุนนะคะ ความตั้งใจของคุณแม่จริงๆ คืออยากให้เรียนสูงๆ แต่เราไม่เรียน เพราะว่า เรารู้สถานะของครอบครัวว่าเป็นยังไง ก็เลยไม่เรียน
“แค่ต้องการอยากทำงานช่วยที่บ้าน ก็เลยกระโดดเข้ามาทำงานในวงการ เพราะไม่ต้องใช้ความรู้อะไร ก็ไปสมัครงานต่างๆ ที่นั่นที่นี่ ด้วยตัวเอง ไปสมัครร้องเพลงหลายๆ แห่ง เขาก็รับ ซึ่งตอนนั้นอายุยังน้อยเลย แค่ 16-17 เอง”
และด้วยความพยายาม ในที่สุด โอกาสแรกของเธอก็มาถึง เมื่อได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในนักร้องของวงดนตรีสุนทราภรณ์ของครูเอื้อ สุนทรสนาน วงดนตรีแนวเพลงลูกกรุงที่ขึ้นชื่อวงหนึ่งในเวลานั้น วาสนาได้ฝึกร้องเพลงกับคณะดนตรีดังกล่าว จนได้ตำแหน่งนักร้องดาวรุ่งพรุ่งนี้ และต่อมาวาสนาจึงออกไปทำงานเป็นนักร้องแผนกดนตรีของโรงงานยาสูบและอยู่ในความดูแลของครูนารถ ถาวรบุตร และครูสมาน กาญจนผลิน ตามลำดับ
“เราทำงานร้องเพลงมาพักหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีเดินแฟชั่นและเล่นละครให้กับทางค่ายดาราวิดีโอด้วย ประมาณ 30 กว่าเรื่อง ก่อนที่คุณชรินทร์ นันทนาคร ซึ่งขณะนั้นเขามีค่ายหนังที่มีชื่อว่านันทนาครภาพยนตร์ มาพบเราขณะกำลังร้องเพลง เลยชักชวนให้มาแสดงภาพยนตร์ ซึ่งกำลังจะสร้างเรื่อง “แมวไทย” ที่มีคุณมิตร ชัยบัญชา และคุณเพชรา เชาวราษฎร์ เป็นพระเอกกับนางเอก โดยมอบให้เรารับบทเป็นสาวเซ็กซี่ยั่วยวนผู้ชาย”
ภาพยนตร์เรื่องนั้นเข้าฉายในปี พ.ศ.2511 ซึ่งเวลานั้น วาสนาอยู่ในช่วงอายุเพียงเลขสิบปลายๆ เท่านั้น แต่ด้วยบทบาทที่ได้รับนั่นเอง ทำให้ถือได้ว่าตัวเธอแจ้งเกิดในบทบาทใหม่ และเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์เดิมให้เป็นที่สนใจ
กำเนิด “สาวไฟพะเนียง”
ร้อนแรงยิ่งกว่าถูกเขวี้ยงทุเรียนใส่
หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘แมวไทย’ สร้างชื่อให้กับวาสนาในฐานะ “เซ็กซี่สตาร์”
ชื่อเสียงและความนิยมในตัวเธอก็เพิ่มขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ก็เริ่มได้รับความนิยมนะคะ มีบริษัทต่างๆ เข้ามาติดต่อ เป็นช่วงขาขึ้นของเราเลย ได้ทั้งรถ ได้ทั้งบ้าน ได้ทุกอย่าง ซึ่งสมัยก่อนเวลาเล่นหนังเรื่องหนึ่ง อย่างพระเอกเช่นคุณมิตร ก็จะได้ราคา 35,000 บาท ส่วนเราก็จะได้ประมาณ 10,000 กว่าบาทบ้าง 8,000 บาทบ้าง ซึ่งค่าครองชีพจะไม่เหมือนสมัยนี้ แต่บังเอิญเราเป็นคนไม่เที่ยวไง ไม่เล่นการพนัน เอาเงินมาปลูกบ้าน บ้านหลังปัจจุบันที่เราอยู่ในกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่
“เพราะเรารู้ดีว่าการทำงานในวงการบันเทิง มันไม่มีอะไรแน่นอน ฉะนั้น เราต้องเก็บ ความรู้เราก็น้อย อันนี้คือเตือนใจตัวเองเสมอเลย แล้ววงการนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน เราต้องเก็บหอมรอมริบตั้งแต่ตอนนั้น ไม่งั้นเราคงไม่มีที่อยู่หรอก (หัวเราะ) ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่เดิมนะ ตั้งแต่เรียนหนังสือ เข้าวงการใหม่ๆ จนถึงช่วงเลิกไปพักหนึ่ง แล้วกลับมา จนกลับมาเล่นเรื่อง “ชัตเตอร์” จากเรื่องนั้น ก็เล่นยาวมาตลอดเลย ซึ่งเราก็ไม่คิดเหมือนกันนะว่าจะเล่นได้ เพราะสมัยก่อน ผู้กำกับหรือผู้ช่วยผู้กำกับจะบอกบทให้นักแสดง ตอนนั้นในหนึ่งวัน เราเล่นประมาณ 5-6 เรื่อง โดดไปกองถ่ายนั้น กองถ่ายนี้ เราไม่ต้องอ่านบท มาถึงแต่ละเรื่อง มีคนบอกบทก็พูดไป ถ้าน้ำเสียงเขาหนัก ก็ไปหนัก ถ้าเขาเบาก็เบาลงตาม ไปตามเสียงคนบอกบท”
ด้วยภาพลักษณ์และรูปร่างของเธอในเวลานั้น ที่ไม่เหมาะกับบทบาทนางเอก จึงทำให้เธอแปรสภาพมาเป็นดาวยั่วและดาวโป๊ ตามคำเรียกในช่วงเวลานั้น
“ผู้กำกับภาพยนตร์ ให้เรามาเป็นแบบนี้ เราก็ต้องมาทางนี้ หุ่นและหน้าตาเราเป็นแบบนี้ นางเอกจะเป็นสไตล์หนึ่ง เรียบร้อย ตัวเล็กๆ บางๆ ส่วนเราจะเป็นแบบตัวอวบอั๋น เราก็จะไปอีกด้าน สมัยนั้นไม่มีบทแบบวัยรุ่นใสๆ เลยนะคะ จะมีเรียกว่าดาวโป๊ ดาวยั่ว ซึ่งมีบทบาทแย่งพระเอกจากนางเอก ไม่มีใสๆ เลย มาปุ๊บเซ็กซี่เลย”
เมื่อมองภาพลิมิตความเซ็กซี่ ในสมัยประมาณกว่า 40-50 ปีก่อน หากมีหญิงสาวคนใดถ่ายภาพในลักษณะเหลือแค่บิกินี่ชุดเดียว ก็ถือได้ว่าเพียงพอสำหรับความเป็นเซ็กซี่สตาร์ สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการแสดงสวมบทบาท ก็ต้องมีนักแสดงแทน ทำหน้าที่อยู่ดี
“สมัยก่อนจะถูกเรียกเลยว่า ดาวโป๊มาแล้ว วาสนา ชลากร บางครั้ง เราถ่ายแบบก็จะมีผ้าบางๆ ปิด ตอนนั้นเรานี่คือตัวแม่เลย ถ่ายแบบลักษณะนี้ตลอด (หัวเราะ) ถ่ายแบบนี้ ต้องนอนถ่ายแบบในท่านี้ แต่ก็ไม่ได้โป๊หมด แต่ถ้าโป๊เปลือยเลย ก็จะใช้สแตนด์อิน ก็หาผู้หญิงที่รูปร่างคล้ายๆ เรา หรือบางครั้งมีเปลือยอกบ้างก็จะไม่ใช่เรา หรือบทจูบก็จะใช้การถ่ายแบบบังเอา แล้วเราเล่นที่มือ ไม่ได้จูบจริง คือมันก็โป๊นะ แต่ก็ไม่ได้ถอดอะไรมากมาย เต็มที่ก็เป็นบิกินี่ สมมติว่าเราเล่นบทฉากที่เปลือย ก็ต้องมีสแตนด์อิน แต่บางคนเขาไม่เข้าใจ เขาจะคิดว่าเป็นเรา ก็จะมีแบบว่า “โห ดูอีนี่สิ เล่นโป๊จัง มันแก้ผ้าหมด” แต่เขาก็มองว่าดีเนอะ สมบทบาทดี เราก็ไม่เป็นไร แต่ก็ต้องอธิบายให้ฟังว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่
“แต่บางคนเขาก็ห่วงนะว่าทำไมถึงเล่นขนาดนั้นล่ะ ทำไมไม่รักษาเนื้อรักษาตัว สงวนความเป็นลูกผู้หญิงบ้าง เราก็บอกไปว่านั่นมันสแตนด์อิน ตอนไปเจอผู้ใหญ่ เขาก็จะบอกเราว่า เล่นแย่งนางเอกก็แย่งไป เล่นยั่วก็ยั่วไปสิ ทำไมถึงต้องโป๊ด้วย เขาก็จะวิจารณ์เรา เราก็ต้องมานั่งอธิบายอีก ถ้ามาเปรียบกับตอนนี้ก็คือปกติไปเลย แต่บิกินี่ในตอนนั้น ก็ถือว่าแรง ตอนนั้นจึงได้ฉายา “สาวไฟพะเนียง” เพราะไฟมันไม่ดับ ส่องวับๆ ตลอดเวลา ซึ่งฉายานี้มาจากยุคสมัยก่อน ที่ผู้สื่อข่าวและผู้กำกับตั้งให้ มีฉายาเดียว อาจจะมาจากภาพลักษณ์ที่เราแสดงนี่แหละ คือเรายังคงสภาพเราได้ตลอด”
และแน่นอน เมื่อถึงจุดสูงสุดของอาชีพการแสดง ในฐานะ “เซ็กซี่สตาร์” ก็ต้องแลกมาด้วยคำติฉินนินทาตามมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือบางครั้งก็ต้องพบถึงขั้นด่าทอเลยก็มี
“มีการใช้คำพูดที่รุนแรงกับเรา เพราะคนดูจะรักนางเอกมาก อย่างเวลาเราแสดงฉากที่มีการตบตีนางเอก แล้วเวลาคนดูไปดูหนัง ทีมงานของหนังจะไม่ให้คนเห็นเราเลย เพราะเกรงว่าจะมีการรุมทำร้ายเรา (หัวเราะ)
“คนดูสมัยก่อน เขาอินกับตัวงานมาก เวลาเราไปข้างนอก ก็จะถูกด่าเลย ‘อีอย่างงั้น อีอย่างงี้’ แต่เราก็ต้องทน ถึงขนาดที่คุณแม่ของเราไปทะเลาะกับแฟนคลับ เราก็ปรามเลยว่าอย่าไปทะเลาะกับเขา เราอธิบายว่ามันเป็นแค่บทบาท เขาไม่เข้าใจ เราต้องพูดคุยให้เขาฟัง เวลาไปไหน แฟนคลับก็มามุงรุมด่าเรา
“แต่มันก็เป็นแค่ในบทบาทการแสดงของเราเท่านั้นนะคะ และเมื่อเราได้คุยได้สัมผัสกับแฟนคลับ ลักษณะการพูดหรือการกระทำของเราทำให้เขาเห็นว่ามันไม่ใช่เหมือนในหนังนี่ ก็จะโอเค มีบางส่วนที่ยังเข้าใจอยู่ แต่ต้องได้พูดได้คุยนะคะ ถ้าไม่ได้คุยกันก็จะแหลกราญเลย เวลาขับรถผ่าน ก็จะโดนเลยว่า ‘เฮ้ย อีนี่ไง’ ที่อย่างงั้นอย่างงี้ ถ้าเจอมันตบซักฉาดเลย ยิ่งตอนเวลารถติดไฟแดง เราต้องรีบล็อกรถเลย โดยเฉพาะคนดูที่เป็นชาวบ้าน เขาจะอินมาก ไปไหนมาไหนก็อันตราย จะตบจะตีเรา โดนด่าบ้าง แรงบ้าง แต่ต้องรับให้ได้”...
• ความเซ็กซี่ของคุณในตอนนั้น ก็คือเป็นไปตามสมัยนิยมปกติ
สมัยก่อนแค่บิกินี่ก็เซ็กซี่มากแล้ว แต่การถ่ายแบบแบบบิกินี่ก็ต่างกันไป มีทั้งเแบบน้อยชิ้นหรือมากชิ้นหน่อย คืออิงตามเมืองนอก แต่ยังน้อยกว่าเขาอยู่ดี แต่สมัยนี้ บิกินี่หลุด สุดยอดของความเซ็กซี่เลย (หัวเราะ) แต่เขาก็สวยนะ รูปร่างก็โอเค แต่ก็เข้าใจว่า เราต้องแข่งกับต่างประเทศ สมัยก่อน ด้วยความที่เป็นคนไทย เราก็จะมีการโดนติฉินนินทาเหมือนกันว่าไม่เหมาะ ถ้าเราได้ยิน เราก็จะอธิบาย มันต้องอย่างงี้ๆ หรือรอให้อ่านตามข่าวก็โอเค แต่ข่าวบางฉบับ เขาก็เขียนมาด้วยรักเรานะ ไม่ใช่เกลียดเรา มันก็ต้องมีการสร้างกระแส เพื่อให้มันดังตลอด แน่นอนมันเหมือนกันทุกยุค คือเราจะรู้กันน่ะ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ โดนด่าก็โดนไปไม่เป็นไร แต่ดังและเพื่อปากท้อง (หัวเราะเบาๆ)
• ลองยกตัวอย่างสักเหตุการณ์ที่ทำให้คุณรู้สึกว่า “ที่สุดของอาชีพ” ในช่วงเวลานั้นหน่อยครับ
มีช่วงหนึ่ง เราไปซื้อผ้าแถวสะพานหัน ซึ่งเราก็ไม่คิดว่าคนจะต้อนรับขนาดนั้นนะ เยอะมาก ถึงขนาดที่ตำรวจต้องมาเลย พอเขาประกาศชื่อเรา ดูแล้วมีค่ามากเลย เพราะเขาไม่เคยเห็นเราจากทีวีเลย ดาราสมัยนั้นไม่ค่อยได้ออกทีวีกัน ปรากฏตัวจริงทีหนึ่งก็จะมีคุณค่า แต่การทำงานก็หนักไม่แพ้กับพระเอกนางเอก
บางวันเราเล่นถึง 5-6 เรื่องนี้ ทำงานข้ามจังหวัด จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ช่วงนั้นขับรถเองด้วย เพราะเป็นวัยรุ่นอยู่ และไม่มีวันหยุดด้วย ทำทั้งเดือน มีพักแค่ช่วงขับรถ กับตอนกินข้าว ถึงขั้นอดนอนและการทำงานก็ง่ายๆ แต่มันก็เปรียบกับเมืองนอกในช่วงเวลาเดียวกันนี่ มันเปรียบไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเรายังมีประเพณีไทยกีดกั้นอยู่ ก็ยังไม่ได้มากมายขนาดนั้น แค่บิกินี่ก็ยังโดนสับแหลกเลย (หัวเราะ) ส่วนเมืองนอกเขาเล่นถอดจริงๆ และไม่ใช้สแตนด์อิน วงการบ้านเรายังไม่ถึงขั้นเท่าเขา
• มีความคิดเห็นยังไงกับสาวๆ สมัยนี้ ที่กล้าแต่งหวิวนอกจอมากขึ้น
เดี๋ยวนี้มันเหมือนสากลมากขึ้นแล้วนะคะ ไปไกลแล้ว เราแข่งกับต่างประเทศได้ แต่ถ้าเทียบกับยุคเราแข่งไม่ได้หรอก แต่ก็อย่างว่า ก็มีการติติงอยู่บ้างว่า ดารายุคนี้ไม่เหมือนยุคนั้น ทำไมไม่วางตัว ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่พูด ซึ่งถ้าเราได้บอกเขาก็คงจะบอกว่า มันเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยแล้ว มันย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว ยุคนี้เยอะมาก เก่ง เก่งไปทุกอย่าง ยุคนั้นไม่ได้เป็นแค่ดารา แต่ต้องรักษาประเพณีด้วย มันผิดกัน ยุคนั้น เราจะรักกันเหมือนพี่น้อง แม้กระทั่งผู้สื่อข่าว เราก็จะรักกัน และเข้าใจเยอะ
อนุสติ
จากเซ็กซ์ซิมโบลรุ่นเก๋า
เมื่อผ่านช่วงเวลาของความรุ่งโรจน์ วาสนาเลือกอยากที่จะมีครอบครัว และได้ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับชายชาวอเมริกันและอำลาวงการบันเทิงที่สร้างทุกๆ อย่างให้กับเธอ เวลาผ่านไปประมาณ 10 ปี สามีของเธอได้เสียชีวิตลง วาสนาจึงตัดสินใจกลับประเทศไทย และประจวบเหมาะ ได้รับการติดต่อให้กลับมามีบทบาทการแสดงในวงการบันเทิงอีกครั้ง
“ตอนนั้นไปอยู่อเมริกา อยู่เป็น 10 ปี เพราะช่วงนั้นไปแต่งงานกับคนอเมริกา เลยไปอยู่ที่นั่น แล้วพอดีสามีเสียก็กลับมา ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังตามหาตัวอยู่พอดีเลย คือช่วงก่อนแต่งงานก็ยังพอมีบ้างนะคะ แต่เราในตอนนั้น อยากที่จะมีครอบครัวแล้ว ก็ลาจากวงการไป ตอนนั้นก็ยังมีใจหายอยู่ คิดถึงวงการอยู่ แต่พออยู่ๆ ไปก็ลืม แล้วพอกลับมาก็มีคนมาตาม ความรู้สึกนั้น ก็กลับมาใหม่อีก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่ายแล้ว แต่ก็ต้องลองดู ก็กลับมาเล่นเรื่อง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” เป็นเรื่องแรก
“หลังจากที่กลับมา ถือว่าทำการบ้านหนักเลย เพราะสมัยก่อน สบาย มีผู้ช่วยและผู้กำกับคอยบอกบทให้เรา เราก็ว่าไปตามบท มายุคนี้ไม่สบายแล้ว มันต้องศึกษาบท อ่านแล้วอ่านอีก ทำไมเราต้องเป็นตัวนี้ให้ได้ ไปอ่านครั้ง 2 ครั้ง ไม่ได้ ต้องอ่านแล้วอ่านอีก ถึงเราจะบทไม่เยอะนะ แต่ก็ขออ่านทั้งเล่ม เพื่อที่จะได้เข้าใจ สมมติว่าได้เล่น 5 ตอน เราจะขออ่านบทเรื่องนั้นทั้งเล่มเลย ว่าทำไมบทเราถึงมาเป็นแบบนี้ ให้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละคร”
หลังจากที่ได้รับเลือกให้มีบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” (2547) วาสนาก็กลับมามีชีวิตชีวาบนวงการบันเทิงอีกครั้ง ด้วยภาพลักษณ์ใหม่นั่นคือ ‘บทของหญิงสูงวัยที่มีลักษณะเก็บกด’ หรือ “หญิงโรคจิต” ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแจ้งเกิดใหม่และทำให้ผู้ชมในยุคหลัง ได้รู้จักเธอมากยิ่งขึ้น
“ถ้าภาพลักษณ์ตอนนี้ เรารู้สึกเหมือนว่าน่าสงสารนะ หมายถึงในบทบาทนะคะ บางทีก็เล่นเป็นคนโรคจิตบ้าง เหมือนกดดัน แต่เราก็ชอบในการเล่นแบบนี้นะ คือเราเริ่มมาตั้งแต่ชัตเตอร์ เก็บกดมาตลอดเลย ก็เลยจะมาถนัดกับบทแบบนี้ อีกอย่างเราก็ไปโรงพยาบาลศรีธัญญาบ่อย เรามีลูกบุญธรรมซึ่งตอนหลังเขามีปัญหาสุขภาพ เลยพาเขาไปรักษาที่นั่น และนำลักษณะของเขามาประยุกต์ใช้กับงาน พลิกวิกฤตเป็นโอกาส จากตัวเขาด้วย เพราะอะไรเขาถึงเป็น ดูจากสีหน้า จากท่าทาง เอามาใช้กับหนังที่ให้เล่นบททางจิต เราก็เอาวิกฤตให้เป็นโอกาส ก็จับการแสดงออกของผู้ป่วยในแต่ละคนทีละนิดทีละหน่อยเข้ามาเล่น ซึ่งถือว่าพัฒนาการในเรื่องการแสดงมีมากกว่าเมื่อก่อนที่ทำตามๆ ที่เขาบอกมา คือเป็นคำพูด แต่สายตาและความรู้สึกมันไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนี้มันเหมือนว่า เราเป็นจริงๆ ของบทนี้
“พอมาตอนหลังค่อยๆ พัฒนาตัวเอง ซึ่งมีเรื่องหนึ่ง THE 8TH DAY แปดวัน แปลกคน ซึ่งเรื่องนี้เราได้เข้าชิงสุพรรณหงส์ (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประจำปี 2551) เป็นหนังขาวดำและเสี่ยงมากที่จะไปสู้กับหนังทั่วไป ณ ตอนนั้น ปรากฏว่าเราได้เข้าชิง แต่หนังได้รางวัลแต่งหน้าดีเด่น เพลงประกอบยอดเยี่ยม ซึ่งสื่อมวลชนก็เชียร์เราว่าสมควรได้นะ แต่เราก็ดีใจที่หนังก็ได้รางวัลอื่น”
• พอเวลาผ่านไป คุณก็กลายเป็นอีกส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของความเป็นเซ็กซี่สตาร์ รู้สึกยังไงบ้างครับ
เราก็ภูมิใจนะคะว่าครั้งหนึ่งว่าเราเคยเป็นในหนึ่งในตำนาน ว่าเราเคยดังทั่วประเทศ ก็ภูมิใจ ก็จะเขียนไดอารีของตัวเองไว้เหมือนกัน มีคนบอกตลอดเวลาค่ะว่าไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย เมื่อก่อนเซ็กซี่มากเลย เดี่ยวนี้ก็ต้องตามอายุเรา คือต้องเรียบร้อย ไม่ใช่แบบเซ็กซี่ตลอดเวลา แล้วพอเด็กๆ รุ่นหลัง มาชมผลงานในอดีตของเราแล้วชม ก็ดีใจค่ะที่ยังชมเราอยู่ แทนที่จะว่าเรา เขากลับชม ก็เข้าใจเด็กสมัยนี้ค่ะ (หัวเราะเบาๆ) คล้ายกับสังคมเปลี่ยนไปแล้ว
• นอกจากการแสดงแล้ว ชีวิตในปัจจุบัน คุณทำอะไรบ้างครับ
ชีวิตของเราก็อยู่กับสุนัขหมาแมว เพราะเราไม่มีลูก เราก็เอายามว่างของเรา มาดูแลสัตว์ที่พิการ ก็มีความสุขดี พอได้เงินจากการแสดงก็ไปสร้างบ้านที่ฉะเชิงเทราเป็นไร่เลย มีคนดูแล หรืออย่างมูลนิธิต่างๆ ก็มีไปช่วยให้อาหารบ้าง ก็จะได้จากผู้บริจาคจากข่าวที่เขาเคยมาทำ ให้เขาไปถ่ายที่ไร่
ในบ้านเราตอนนี้หมาแมวที่บ้านก็ประมาณ 100 ตัวแล้ว แถมตามซอยอีก เราก็ให้แม่บ้านไปซื้ออาหารไปให้พวกมัน นี่คือปัญหาของสังคม หมาแมวเมื่อหมดความหมายก็มักจะถูกทิ้ง เราก็ทนไม่ได้ พอมีเวลาว่างทีไร ก็จะทำอะไรเพื่อสังคมดีกว่า ขนาดในหลวงรับคุณทองแดงมาเลี้ยงเป็นตัวอย่าง เราก็เลยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ แทนที่เราจะไปเที่ยว เราก็ต้องมีการดูแลตัวเอง ออกกำลังกายเพื่อให้เราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เช้ามาก็ต้องทำโยคะ ถือว่าสุขใจที่เราได้ทำ เราออกกำลังกายทุกวันเพื่อที่จะได้มีแรงดูแลพวกเขา
สัตว์เร่ร่อนสมัยนี้มันเยอะมากเลย เยอะกว่าเมื่อก่อน ซึ่งสมัยเราเป็นวัยรุ่น มันไม่เยอะขนาดนี้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไมทิ้งขว้างเยอะขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าพอมีขี้เรื้อนมา แล้วแก่ตัวไปอีก ไม่สวยก็ไม่เอาแล้ว อย่างบางตัวที่สิ้นใจ เราก็เอาไปจัดการศพให้นะ ไม่ไปทิ้งขว้าง สงสารมัน ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราดูแลเขาได้ ก็จะดูแลต่อไป ยังพอมีกำลัง ถ้าได้เงินมาก็เอาไปบริจาคต่อ เพราะยังมีอีกหลายที่ที่ต้องการ อย่างบางที แมวนอกบ้านมาจากไหนไม่รู้ มาเกาะรั้วบ้านเรา เข้าใจว่าคงได้กลิ่นอาหารจากบ้านเรา เราก็จะให้แม่บ้านเอาปลาทูมาให้พวกมัน คอยวางตามรั้ว ยิ่งช่วงเย็นเดินตามรั้วเต็มเลย
• สุดท้าย อยากให้ช่วยฝากแง่คิดให้กับคนที่อยากเข้ามาในวงการหน่อยครับ
การที่เข้ามาในวงการยุคนี้ ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิต เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง หนึ่ง ในเมื่อเข้ามาแล้ว ต้องตรงต่อเวลา และต้องมีสัมมาคารวะ จากเราเป็นรุ่นเด็ก ต้องเคารพรุ่นที่โตกว่า ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ เราก็จะอยู่ได้นาน โดยเฉพาะการตรงต่อเวลา งานจะไม่มีวันตก อย่างเขานัด 6 โมงเช้า เราก็จะไปตั้งแต่ตี 4 เลย เราต้องไปก่อน ไม่ใช่เขามารอเรา จะเป็นอย่างงี้ตั้งแต่เด็กๆ
ทุกวันนี้ เวลาเลิกงาน เราก็จะไปสวัสดีทุกคน คือคิดว่าเราเทียบเท่ากันหมด สมัยก่อน เวลาคุณมิตรทานข้าว ทุกคนจะทานพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าไม่กินพร้อมกัน คุณมิตรไม่กินเลยนะ ไม่มีแบ่งเลย ซึ่งเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้าย้อนกลับมาเป็นแบบนี้ได้ก็ดีนะ จะได้เสมอภาคกัน
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน